จู่ๆ อินชิงเสวียนก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีและก็เป็นไปตามคาด ไทเฮาหัวเราะกล่าวว่า “เสียนเฟยเป็นคนแรกที่เข้าวัง ตอนนี้นางไร้ทายาท ทำไมไม่ส่งเด็กไปที่วังจิ้งอาน ให้นางรับเลี้ยง ให้ถือว่าเป็นบุตรบุณธรรม เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลหรอกรึ”ขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะพูด ก็ได้ยินเย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบ “ไม่ได้ วันๆ เสียนผินเอาแต่ก่อปัญหา จะสั่งสอนเด็กให้ดีได้อย่างไร ข้าจะหาที่อื่นให้เด็กเอง ไทเฮาไม่ต้องกังวล”ทันใดนั้นสีหน้าของไทเฮาก็ดูบิดเบี้ยว แต่นางก็ยังคงยิ้มออกมา “ไม่ทราบว่าฮ่องเต้ต้องการส่งเขาไปที่ใด”อินชิงเสวียนคุกเข่าลงทันที แล้วพูดด้วยความเคารพนบนอบ “เด็กคนนี้เข้าวังมาก็มีแต่กระหม่อมที่คอยดูแล หวังว่าฝ่าบาทและไทเฮาจะกรุณา มอบเสี่ยวหนานเฟิงให้กระหม่อมดูแล เขาคุ้นเคยกับกระหม่อมดี หากอยู่ๆ ถูกส่งไปอยู่ที่อื่น เด็กจะต้องป่วยไข้อย่างแน่นอน จึงควรอยู่กับกระหม่อมจะดีกว่า”เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงอืมเบาๆ และพูดอย่างสงบ “ไว้ค่อยหารือเรื่องนี้ในภายหลัง หากไม่มีสิ่งใดแล้ว เชิญไทเฮาเสด็จกลับเถิด”ไทเฮากำมือแน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทันใดนั้น ดวงตาก็ฉายแววยินดีในความทุกข์ของผู้อื่นนางก้าวไปข้างหน้าสองก
เย่จิ่งอวี้จ้องมองหลี่เต๋อฝูอย่างเย็นชาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะลั่นทันที“ดี ช่างดีจริงๆ!”หลี่เต๋อฝูขนลุกเพราะเสียงหัวเราะนั้น“ฝ่าบาท...”“ออกไป!”“พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เต๋อฝูออกมาจากห้องโถงด้านในด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ในห้องโถง นิ้วเรียวของเขากำหมัดแน่นเสียงหักข้อต่อดังกรอบชั่วครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็เป็นเสียงกระแทกโต๊ะอย่างแรงอินชิงเสวียนตัวดี กล้าวางอุบายจักจั่นลอกคราบกับเขาเสียได้เสียแรงที่เขาไว้วางใจนางมาโดยตลอด นางขั้นกล้าล้อเล่นกับเขาถึงเพียงนี้!ยิ่งเย่จิ่งอวี้คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น ฝ่ามือกวาดชุดน้ำชาบนโต๊ะตกพื้นกาน้ำกระเบื้องเคลือบชั้นดีร่วงลงสู่พื้น เศษที่กระเด็นก็เฉือนเข้ามือ เลือดไหลออกมาจากหลังมือ ไหลลงมาและหยดลงบนพื้นหลี่เต๋อฝูได้ยินเสียงดัง จึงรีบเข้าไปทันที และได้บังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้จึงหน้าซีดด้วยความตกใจ“ฝ่าบาท กระหม่อมจะไปตามหมอหลวงเดี๋ยวนี้”เย่จิ่งอวี้หันขวับทันที ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับคมมีด“ไปซะ!”หลี่เต๋อฝูตกใจมากจนต้องถอยกลับไปแต่ในใจรู้สึกหนักอึ้งราวกับแบกถังน้ำอยู่หลายถังเมื่อฝ่าบา
บัดซบ!ถ้านางกล้าพาลูกชายของเขาออกจากวัง เขาจะไล่ตามนางจนสุดหล้าฟ้าเขียว!และเด็กก็ไม่สามารถอยู่ในวังเย็นได้อีกต่อไปเย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ให้พวกเขาซ่อมแซมตำหนักจินหวู่ ข้าจะให้เสี่ยวหนานเฟิงอาศัยอยู่ที่นี่”เมื่อได้ยินดังนี้ หลี่เต๋อฝูก็รู้สึกยินดี รีบคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปแจ้งคนงานในวังเดี๋ยวนี้”เย่จิ่งอวี้พูดอีกครั้ง “ให้นางำนัลสองคนจากวังเย็นเข้ามาอยู่ด้วย”“ส่วนเสี่ยวเสวียนจื่อ...”เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงขึ้นจมูก พูดว่า “ข่าวการเสียชีวิตของสนมในวังเย็นได้ถูกประกาศให้รับรู้กันทั่วแผ่นดินแล้ว จะให้ข้าดึงตัวนางออกมาประกาศว่ายังไม่ตายอีกงั้นรึ เจ้าคนบัดซบนี่ เสียแรงที่ข้าเก็บรักษากระดูกเอาไว้ เพื่อไว้ฝังในสุสานหลวง” หลี่เต๋อฝูพูดอย่างกล้าหาญ “เด็กมักต้องการมารดาผู้ให้กำเนิดอยู่เคียงข้าง...”เย่จิ่งอวี้หยิบชาขึ้นมาจิบแล้วพูดช้าๆ “ข้าจะให้เสี่ยวเสวียนจื่อมารับใช้ที่ตำหนักจินหวู่ เช่นนี้แล้วพวกนางสองแม่ลูกจะได้ไม่ต้องแยกจากกัน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ค่อยให้นางเปลี่ยนชื่อแซ่ และกลับเข้ามาในวังอีกครั้ง”หลี่เต๋อฝูหัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “ฝ
อินชิงเสวียนตกตะลึง ดวงตาของนางเบิกกว้างเย่จิ่งอวี้เบนสายตาไปที่สวีจือย่วนแล้วพูดเบาๆ “เด็กๆ ไปส่งนายหญิงสวีกลับตำหนัก”“ฝ่าบาท!”สวีจือย่วนรู้ว่าตัวตนของอินชิงเสวียนไม่อาจถูกเปิดเผยได้ ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลน้ำเสียงของเย่จิ่งอวี้ลึกล้ำ“กลับไปซะ วันหลังข้าค่อยไปหาเจ้า”หลี่เต๋อฝูเดินเข้ามาจากด้านนอกทันที“เชิญนายหญิงสวี”สวีจือย่วนไม่กล้าขัดขืนคำสัง จำใจต้องจากไป ก่อนจากไปนางเหลือบมองอินชิงเสวียนแวบหนึ่ง แล้วกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแรงหวังว่านางจะสามารถพลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้ห้องโถงตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง เหลือเพียงสองคน บรรยากาศหยุดนิ่งชั่วขณะหนึ่งอินชิงเสวียนหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท พระองค์สับสนหรือเปล่า กระหม่อมเป็นชาย จะนอนกับพระองค์ได้อย่างไร”เย่จิ่งอวี้ใช้ดวงตาหงส์จ้องมองตรงไปยังใบหน้าของนางนิ่งๆการจ้องมองด้วยสายตากดดัน ทำให้อินชิงเสวียนตื่นตระหนกและหายใจไม่ออกพูดอย่างจำใจ “ฝ่าบาท พระองค์จะไม่มีความคิดแปลกๆ เพราะคำพูดของไทเฮาหรอกกระมัง”เย่จิ่งอวี้ยังคงนิ่งเงียบ ความเงียบแปลกๆ นี้บีบบังคับให้คนอึดอัดจนแทบระเบิดอินชิงเสวียนก
เย่จิ่งอสรุปเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านโหวเหนือกลับมายังราชสำนัก ทำให้ข้าคลายความกังวลได้พอดี ข้าได้เตรียมมอบหมายให้ท่านโหวเหนือและอันผิงอ๋องนำกองกำลังไปยังเจียงวูเพื่อปราบกบฏ พวกท่านคิดว่าอย่างไร”แม่ทัพที่อยู่ในราชสำนักอยู่อย่างสบายมานานแล้ว ไม่เลือดร้อนเหมือนเมื่อก่อน เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีใครพูดคัดค้าน แม้แต่แม่ทัพที่วิพากษ์วิจารณ์ขันทีว่าอ่อนแอเหมือนไก่ก็ยังเงียบเหมือนไก่เสียเอง ไม่เปล่งเสียงออกมาด้วยซ้ำขณะที่มองดูเศษสวะไร้ประโยชน์เหล่านี้ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็เปล่งประกายด้วยความเหยียดหยัน“ในเมื่อทุกท่านไม่พูดอะไร เช่นนี้ก็ตกลงตามนี้ ถ้าไม่มีใครจะถวายฎีกาอีก ก็เลิกประชุมเถอะ”โหราจารย์พูดเสียงดังทันที “กระหม่อมน้อมส่งฝ่าบาท”ทันทีที่เขาพูด ทุกคนก็พูดคล้อยตาม เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น เย่จิ่งอวี้ก็หายไปแล้วณ ตำหนักฉือหนิงเรื่องที่ฮ่องเต้จะรับดาวมงคลย้ายเข้าไปในตำหนักจินหวู่ ในไม่ช้าก็ไปถึงหูของไทเฮา ในเวลาเดียวกัน นางก็ได้ยินว่าเย่จิ่งอวี้ให้อันผิงอ๋องออกศึกแดนไกล นางโกรธมากจนตัวสั่น ปลายนิ้วก็สั่นไหวๆนางคว้าหยกหรูอี้ซึ่งปกติมักจะถือเล่นด้วยแรงทั้งหมด ก
เกี้ยวพระที่นั่งของฮองเฮารึอินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อยดูเหมือนจะไม่เหมาะตามกฎเกณฑ์เท่าใดนัก แม้ว่านางจะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับพิธีการในวังมากนัก แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะนั่งบนพระที่นั่งหงส์ได้ไม่รู้ว่าในอนาคตจะถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่เสี่ยวอานจื่อที่ร้อนใจอยู่แล้ว รีบเร่งเร้าทันที “เร็วเข้า ฝ่าบาทกำลังรออยู่ที่ตำหนักจินหวู่”อินชิงเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำสั่งของเย่จิ่งอวี้อยู่แล้ว ช่างเถอะทันทีที่ยกเกี้ยวขึ้น พระที่นั่งหงส์ก็ค่อยๆ ถูกยกขึ้น และเคลื่อนตัวออกจากวังเย็นตอนแรกอินชิงเสวียนรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะกลัวว่าจะตกลงมา หลังจากเดินได้สักพัก ร่างกายของนางก็ผ่อนคลายในที่สุด และนางก็ค่อยๆ เอนกายบนที่นั่งนุ่มๆ เสี่ยวหนานเฟิงที่อยู่ในอ้อมแขนก็ยื่นมือเล็กป้อมออกมาคว้าพู่ที่ห้อยอยู่ แล้วปากเล็กๆ ก็เริ่มเปล่งสำเนียงอ้อแอ้อินชิงเสวียนจูบใบหน้าเล็กๆ แก้มยุ้ยๆ ของเสี่ยวหนานเฟิง แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ชอบหรือไม่”เสี่ยวหนานเฟิงยิ่งมีความสุข บั้นท้ายเล็กๆ เด้งขึ้นมา มือเล็กจ้อยก็คว้าพู่สีแดงแล้วเขย่าเล่นแรงๆเ
อินชิงเสวียนไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไร ดังนั้นนางสะบัดเสื้อคลุมคุกเข่าลงทันที“ขอบพระทัยสำหรับความเมตตาของฝ่าบาท กระหม่อมเป็นเพียงขันทีตัวเล็กๆ มีคุณสมบัติไปนั่งบนพระที่นั่งหงส์ได้อย่างไร เป็นเพราะอาศัยบารมีของเสี่ยวหนานเฟิงล้วนๆ”แล้วจึงอาศัยจังหวะที่อินชิงเสวียนก้มศีรษะ เย่จิ่งอวี้รีบจูบแก้มเสี่ยวหนานเฟิงเร็วๆ จากนั้นแสร้งทำเป็นไม่แยแสและพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง เจ้าไม่ต้องตกประหม่า”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”อินชิงเสวียนลูบเข่ายืนขึ้น แต่เห็นเสี่ยวหนานเฟิงหัวเราะเบาๆ จับมือของเย่จิ่งอวี้ และเล่นกับธำมรงค์หยกบนนิ้วหัวแม่มือของเขา“เอ่อ...ลูกของกระหม่อมค่อนข้างซุกซน ให้กระหม่อมอุ้มดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ต้อง ที่ข้ารั้งเจ้าไว้เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้า”เย่จิ่งอวี้มองดูมืออ้วนจ้ำม่ำของเสี่ยวหนานเฟิง แล้วมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มจากนั้นก็ตีหน้านิ่ง พูดอย่างเคร่งขรึม “พรุ่งนี้ครบกำหนดสิห้าวันถึงสัปดาห์การแสดงยุทธ์แล้ว ไม่เพียงแต่ข้าจะไปดูเท่านั้น แต่ยังจะเชิญขุนนางในราชสำนักไปดูด้วย เจ้าห้ามทำให้ให้ข้าอับอายเด็ดขาด”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะต้องชนะอย่างงดงามแน่นอน”เมื่อนึก
เมื่อเห็นว่าปู่ดูโกรธมาก กวนลี่จือก็ไม่กล้าพูดเรื่องไร้สาระ เดินสะบัดแขนเสื้อออกจากห้องไปอาโฉ่วยืนอยู่ที่ประตู เมื่อกวนลี่จือเห็นเขา ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกชี้หน้าด่าเขาว่า “เจ้าเศษสวะ ปกติมีความสามารถมากไม่ใช่หรือ องครักษ์สองคนเจ้าก็เอาชนะมาแล้ว เจ้ายังมีหน้ามาอยู่ในตระกูลกวนอีกรึ รีบไสหัวออกไปจากเร็วๆ ซะ”อาโฉ่วมีสีหน้าตื่นตระหนก รีบคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ“คุณชายโปรดระงับโทสะด้วย อาโฉ่วไม่มีที่ไป ขอคุณชายรับเลี้ยงไว้ด้วย”กวนลี่จือเตะไหล่เขา แล้วตำหนิด้วยความโกรธ “ขยะอย่างเจ้า เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์”อาโฉ่วหดคอ โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อขอความเมตตา“คุณชายโปรดยกโทษให้ด้วย คุณชายโปรดยกโทษให้ด้วย”ในตอนนี้เอง ยามที่เฝ้าประตูใหญ่ก็เข้ามารายงานว่าโหวเหนือและอันผิงอ๋องมาถึงแล้วกวนลี่จือจึงให้อาโฉ่วไสหัวไป เร้นกายออกจากจวนเสนาบดีผ่านประตูเล็กๆ อาโฉ่วติดตามกวนลี่จือไปอย่างใกล้ชิด ความตื่นตระหนกในดวงตาของเขาหายไป และดวงตาของเขาก็สงบราวกับบ่อน้ำนิ่งด้านนอกมุมประตู มีม้าผูกอยู่ กวนลี่จือขึ้นหลังม้า แล้วพูดเสียงชั่วร้าย “ไปโรงบ่อน ถ้าวันนี้ชนะก็แล้วไป แต่ถ้าแพ้ ข้าจะถลกหน