“เจ้าตำหนักเหมย!”อินชิงเสวียนรีบพุ่งไปข้างหน้า ปราดเข้าไปประคองเหมยชิงเกอลิ่นเซียวยืนมองดูนางอยู่ที่เดิม“นางเป็นเจ้าตำหนักจริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นเรื่องจริง ท่านอาจารย์ไม่สนใจเรื่องทางโลก จึงไม่รู้ว่าวันนี้เป็นพิธีสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักคนใหม่ ผู้อาวุโสเหมยผู้นี้เป็นศิษย์ของเจ้าตำหนักคนเก่า”ลิ่นเซียวร้องอ้อ และพูดว่า “ที่แท้ข้าก็ถูกคนบ้าหลอก ข้าจะไปทวงความยุติธรรมจากเขา”ทันทีที่ร่างหายวับ เขาก็ไล่ตามหันเจิงหมิงไปแล้วเหมยชิงเกอคว้ามือของอินชิงเสวียนทันที พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ชิงเสวียนได้โปรดส่งข้ากลับไปที่พักของข้าด้วย ห้ามให้เหล่าศิษย์เห็นข้าเด็ดขาด”ทันทีที่พูดจบ เย่จิ่งอวี้ก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงตามมาถึงแล้ว“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อินชิงเสวียนหันกลับมาแล้วพูดว่า “ข้าสบายดี ผู้อาวุโสเหมยได้รับบาดเจ็บ เราไปส่งนางกลับก่อนเถอะ”เมื่อเห็นมิตรภาพอันลึกซึ้งในแววตาของทั้งสองคน เหมยชิงเกอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยนี่คือลูกสาวของนาง ทำไมถึงต้องเสียนางไปให้ผู้ชายคนอื่น ลูกสาวของนางฉลาดหลักแหลมโดดเด่นมากขนาดนี้ ยังมีทักษะวรยุทธ์ที่ยอ
ทั้งสามคนตอบรับและค่อยๆ เดินออกไปถึงอย่างไรอินชิงเสวียนก็เป็นคนนอก ธุระกงการของผู้อื่นนั้น นางย่อมไม่สะดวกพูดมากอยู่แล้วแต่สำหรับคำพูดของฉุยอวี้นั้น นางกลับไม่รู้สึกแปลกใจมากนักที่ฉุยอวี้สามารถดำรงในตำแหน่งเจ้าสำนักเซียวเหยาได้นั้น สิ่งที่ต้องพึ่งพาไม่แค่ความงามอย่าง่ายๆ เช่นนั้น สำหรับการรับมือกับสำนักชั่วร้ายเหล่านั้น หากไม่โหดเหี้ยมมากพอ เกรงว่าแม้แต่ศิษย์ในสำนักก็ไม่อาจทำให้หวาดกลัวได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลยเหมยชิงเกอถอนหายใจเบาๆ“ชิงเสวียน เจ้าจะหัวเราะเยาะข้าไหม”อินชิงเสวียนยิ้มบางๆ“มีอะไรให้หัวเราะ คนที่ให้ความรัก ก็มักจะได้รับความรักตอบแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสเหมยที่เป็นคนโดดเด่นขนาดนี้”เมื่อได้ยินคำชมของลูกสาว ดวงตาของ เหมยชิงเกอก็เป็นประกายสว่างขึ้นทันที“เจ้า...คิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ”“แน่นอนเจ้าค่ะ”“ขอบคุณนะชิงเสวียน แต่ข้าไม่ดีพอ ไม่สามารถปกป้องคนที่ข้ารักที่สุดได้”เหมยชิงเกอก้มศีรษะลงในขณะนี้ ดูเหมือนว่านางจะถอดชุดเกราะที่มีหนามออก ร่างกายก็เปล่งแสงอันนุ่มนวลของมารดาออกมาอินชิงเสวียนรู้ว่านางกำลังพูดถึงใคร แต่ไม่ง่ายเลยที่จะตอบ ถ้านางพูด
เมื่ออินชิงเสวียนกลับมาถึงที่พัก เย่จิ่งอวี้สองอาหลานกำลังคุยกันอยู่ ในขณะที่อินหลีกำลังนั่งเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ข้างๆเมื่อมองดูฉากที่กลมเกลียวกันอย่างยิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็มั่นใจมากขึ้นว่านี่คือชีวิตที่นางต้องการแต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยมีความทะเยอทะยานมากนัก ไม่ได้คิดว่าจะมีอำนาจมากมาย หรือต้องมีเงินตรามากน้อยเพียงใดทัศนคติต่อชีวิตของอินชิงเสวียนนั้นเรียบง่ายมาโดยตลอด ได้พบผู้ชายที่รักนาง มีลูกที่น่ารัก และมีครอบครัวที่อบอุ่นก็เพียงพอแล้วบางทีสวรรค์อาจได้ยินความคิดของนางจริงๆ และตอบสนองความปรารถนาทั้งหมด ไม่เพียงแต่ประทานสามีที่หล่อเหลาเอาใจใส่เท่านั้น แต่ยังประทานลูกที่น่ารักร่าเริงมาให้นางด้วยความรักที่นางมีต่อเย่จิ่งอวี้ ไม่ใช้เพราะสถานะฮ่องเต้ของเขา แต่เป็นการสนับสนุนและความเอาใจใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเขา ที่ค่อยๆ ทำให้หัวใจของอินชิงเสวียนหวั่นไหว ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนนี้ ย่อมแข็งแกร่งกว่าการตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นเสมอ นี่คือความรักแบบที่นางต้องการ ไว้ใจซึ่งกันและกัน ไม่เคลือบแคลงสงสัยซึ่งกันและกัน“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว อาการบาดเจ็บของเจ้าตำหนักเหมยเป็นอย่างไรบ
เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้น พูดอย่างเคืองๆ “ทำไมเสวียนเอ๋อร์ถึงแสดงท่าทางเกรงใจข้าอยู่เรื่อย”อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ใครใช้ให้ข้าวาดรูปไม่เก่งล่ะ ไม่มีรูปเขาเก็บไว้เลย ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องรบกวนท่านหรอก ใช้เครื่องพิมพ์พิมพ์ออกมาเยอะๆ ทั้งสะดวกทั้งรวดเร็ว”เย่จิ่งอวี้พูดแดกดัน “แบบนี้นี่เอง ข้าคิดว่าไม่มีใครแทนข้าได้เสียอีก”ตาดำตัดกับตาขาวชัดเจนของอินชิงเสวียนกลอกไปมา เผยให้เห็นความเฉลียวฉลาดเหมือนแมว“แน่นอนว่าไม่มีใครแทนท่านได้ ได้ยินมาว่าอาอวี้ของเราได้รับการกล่าวขานว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมในด้านหมากรุก ตัวอักษร การวาดภาพ และวรยุทธ์ ข้าอยากเห็นทักษะการวาดภาพของฮ่องเต้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร”“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องแสดงฝีมมือให้เต็มที่แล้ว”เย่จิ่งอวี้ยิ้มพร้อมกัยรับพู่กันมา และเริ่มวาดภาพบนกระดาษเซวียนจื่อหลังจากนั้นไม่นาน ภาพวาดที่ราวกับคนมีชีวิตจริงๆ ก็ปรากฏบนกระดาษเมื่ออินชิงเสวียนเห็นดังนั้น ก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจนางเคยเห็นการสเก็ตช์ภาพในยุคปัจจุบัน แม้แต่นักเรียนศิลปะก็สามารถทำได้ แต่นางไม่เคยเห็นใครที่สามารถวาดภาพด้วยน้ำหมึกได้เทพขนาดนี้มาก่อนแม้แต่ท่าทางสบายๆ ของเย่จ
“ฉุยอวี้!”เหมยชิงเกอประคองคนขึ้น ทว่าฉุยอวี้ได้หมดสติไปแล้ว เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปากเหมยชิงเกอโคจรกำลังภายในอย่างรวดเร็ว วางฝ่ามือบนหลังของนาง พยายามรักษาอาการบาดเจ็บของฉุยอวี้ให้คงที่ แต่กลับถูกผลักออกไปด้วยกลิ่นอายที่ยุ่งเหยิงผิดปกติใบหน้าของเหมยชิงเกอเปลี่ยนสีกะทันหันฉุยอวี้ได้รับบาดเจ็บจากใครกันหรือว่านางได้เผชิญหน้ากับหันเจิงหมิงแล้ว?นางตรวจสอบอีกครั้ง แล้วก็ปฏิเสธความคิดของตัวเองนี่ไม่ใช่กำลังภายในของตำหนักเทพนางวางฉุยอวี้ไว้บนเตียงหินเบาๆ แล้วเดินไปมาในห้อง คงเป็นเพราะสองวันแล้วได้เปิดประตูตำหนักเทพ มีบุคคลภายนอกปะปนเข้ามา“ใครก็ได้ ไปผนึกค่ายกลแนวภูเขาเดี๋ยวนี้ แล้วเรียกผู้อาวุโสเฟิงมาหาข้า”ศิษย์หญิงที่รับใช้เหมยชิงเกอรับคำสั่งแล้วจากไป ไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมา เฟิงเอ้อร์เหนียงก็เดินเข้ามาจากด้านนอกเมื่อเห็นฉุยอวี้ปิดตาแน่น แถมยังกระอักเลือดไม่หยุด เฟิงเอ้อร์เหนียงก็ตกใจ“ศิษย์พี่ใหญ่ ฉุยอวี้นางเป็นอะไรไปเจ้าคะ”เหมยชิงเกอกล่าวด้วยสีหน้าหงุดหงิด “นางต้องการไปทดสอบวรยุทธ์ของฮ่องเต้หนุ่ม พอกลับมาก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว คงมีคนปะปนเข้ามาในตำหนักเทพ แอบโจมตีฉุยอวี้
“เสวียนเอ๋อร์”สามอึดใจต่อมา เย่จิ่งอวี้ก็มาอยู่ข้างๆ อินชิงเสวียนแล้ว“จะจากไปแบบนี้งั้นหรือ”เย่จิ่งอวี้หันหน้ามาถามอินชิงเสวียนยักไหล่อย่างซุกซน ถามกลับว่า “ไม่งั้นล่ะ นี่ไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดหรือ”“เจ้าคงไม่ได้หมายความว่า...”อินชิงเสวียนขัดคำพูดของเย่จิ่งอวี้“นี่เรียกว่าแผนการตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง ข้าเคยบอกว่าข้าต้องการชดเชยความสัมพันธ์แม่ลูกแทนอินชิงเสวียนจริงๆ แต่ว่า ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้นางได้สิ่งที่นางต้องการ แม้แต่ลูกๆ ก็มีความคิดของตัวเอง ไม่ใช่ทรัพย์สินของพ่อแม่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกควบคุมโดยพวกเขาทั้งหมด”ทันใดนั้นดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็แสดงความชื่นชม สมแล้วที่เป็นผู้หญิงของเย่จิ่งอวี้ ระดับความคิดนั้น ช่างแตกต่างจากคนอื่นมาก“หลักการเช่นนี้ทำให้รู้สึกแปลกใหม่ แต่ต้องยอมรับว่า เสวียนเอ๋อร์พูดถูก ดูเหมือนว่าต่อจากนี้ไปข้าควรให้พื้นที่แก่ลูกๆ ของเราอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้เป็นเหมือนเสวียนเอ๋อร์ ที่กำลังโกรธ แล้วทิ้งข้าไว้ลำพัง”อินชิงเสวียนหยุดฝีเท้า“อาอวี้คิดว่าข้าเย็นชางั้นหรือ”“ไม่หรอก ทุกคนควรมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ควรให้ความผูกพันทางครอบครัว
เย่จิ่งอวี้ก็เห็นเช่นกัน เรียวตาหงส์เบิกโพลง “นี่คือลางบอกเหตุอะไร?”อินชิงเสวียนระงับความรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ แล้วพูดปลอบใจ “ในสมัยของเราเรียกว่าดาวตก เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติชนิดหนึ่ง อาอวี้ไม่ต้องคิดมาก”เย่จิ่งอวี้มองอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าเมื่อทั้งสองมาถึงเมือง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้วไป๋เสวี่ยตัวสีขาวและหมาป่าสีขาวที่อยู่ข้างนอกทำให้ผู้คนหวาดกลัว อินชิงเสวียนจึงให้พวกมันรออยู่นอกเมืองก่อน แล้วค่อยผิวปากเป็นสัญญาณประชากรในเมืองไม่มาก แต่เดี๋ยวนี้จู่ๆ ก็มีชาวยุทธ์มาจากภายนอกจำนวนมาก อยู่ๆ ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาทั้งสองเจอร้านอาหารเล็กๆ ที่เปิดเช้า รับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ แล้วถามว่ามีใครขายบ้านแถวๆ นี้บ้างไหมเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนพูดจามีมารยาท ทั้งยังมอบเงินก้อนหยวนเป่าให้พิเศษ ก็เริ่มสนใจทันที“ข้ามีบ้านอยู่หลังหนึ่ง แต่ทำเลค่อนข้างไกล บ้านก็นับว่าสะอาดสะอ้าน ถ้าทั้งสองท่านไม่รังเกียจ ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูเดี๋ยวนี้”อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณมากเถ้าแก่มาก”เมื่อพวกเขามาถึงที่พัก อินชิงเสวียนก็รู้สึกชอบที่นี่มากบ้านสร้างอยู่ในป่าไผ่ โด
ชายผู้นี้ให้กลิ่นอายอันสุขุมเยือกเย็น แค่มองแวบแรกก็รู้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วเย่จิ่งอวี้รู้ว่าที่นี่มีทั้งคนดีคนเลวปะปนกันมั่ว ยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน จึงช่วยพยุงขอทานน้อยขึ้นมา และหยิบแท่งเงินมูลค่าสิบตำลึงออกมาจากแขนเสื้อ“เอาเงินนี้ไปซื้อเสื้อผ้าซื้อของกินนะ ไปเถอะ”ขอทานน้อยไม่เคยเห็นแท่งเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาก่อน จากเดิมที่ร้องไห้โอดโอย เพียงวิบตาหยาดน้ำตาก็แห้งเหือดไป เขาประคองแท่งเงินด้วยสองมือ คุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวขอบคุณซ้ำๆเมื่อเห็นว่าหลายคนกำลังมองดูเงินในมือขอทานน้อย เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอย่างคำที่ว่าอย่าอวดร่ำรวย เงินจำนวนนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจอยู่ในใจ ไม่รู้ว่านี่จะเป็นการทำร้ายเขาหรือไม่แต่เขาที่อยู่ในฐานะฮ่องเต้ เมื่อได้สละเงินของตัวเองแล้ว ย่อมไม่สามารถเอาคืนได้ ในขณะที่กำลังจะไปส่งขอทานน้อย ขอทานน้อยกลับคุกเข่าลงดังตุบ “ขอบคุณคุณชายมากขอรับ ข้าน้อยไม่มีพ่อแม่ ขอคุณชายได้โปรดรับไว้ด้วย ข้าน้อยทำได้ทุกอย่าง ขอแค่คุณชายให้อาหารกิน จะเป็นวัวเป็นม้า ข้าน้อยก็ไม่บ่นเลย”เมื่อเห็นว่าเขาอายุเพียงเจ็ดแปดขวบ เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ไ
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง