ชายวัยกลางคนนั่งริมหน้าต่าง โบกมือให้เย่จิ่งอวี้“ทางนี้”เย่จิ่งอวี้เดินไปอย่างรวดเร็ว กางเสื้อคลุมออก และนั่งลงตรงข้ามเขา“ต้องให้ผู้อาวุโสรอแล้ว”ชายวัยกลางคนยิ้มและพูดว่า “การที่คุณชายยอมรับขอทานน้อยไว้ แสดงให้เห็นว่ามีจิตใจเมตตา ข้ารอเจ้าเพียงครู่เดียวเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”เขาหยิบกาสุราขึ้นมา เทสุราให้เย่จิ่งอวี้ด้วยตัวเอง แล้ววางไว้ตรงหน้าเขาเย่จิ่งอวี้ยกจอกสุราขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง อันแสดงถึงความเคารพ พูดอย่างนอบน้อม “ผู้อาวุโสเกรงใจไปแล้ว เห็นความอยุติธรรมแล้วชักดาบช่วยเหลือ เป็นหน้าที่ที่เราควรกระทำ แม้ว่าคนคนเดียวจะไม่สามารถขจัดความอยุติธรรมในใต้หล้าได้ทั้งหมด แต่เมื่อได้พบเจอ ย่อมไม่ปล่อยผ่านไปอยู่แล้ว”ดวงตาของชายวัยกลางคนแสดงความชื่นชม“พูดได้ดี ข้าขอดื่มให้กับประโยคนี้ของคุณชาย”เขายกจอกสุราขึ้น แล้วเงยหน้าขึ้นดื่มจนหมดจอก ท่วงท่ากล้าหาญเปิดเผยเย่จิ่งอวี้ก็ตามมาติดๆ ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอกชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“คุณชายใจป้ำจริงๆ ข้าจะรินให้เจ้าอีกจอก”“ขอบคุณผู้อาวุโส”เย่จิ่งอวี้ลดจอกสุราลง แล้วชนจอกกับชายวัยกลางคน เพื่อแสดงความเคาร
เมื่อเฉิงเฟิ่งโหลวหันกลับมา ก็เห็นเย่จิ่งอวี้ทันที จึงหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ก้มหัวแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเฉิงเฟิ่งโหลวน้อมคำนับคุณชายขอรับ”“ลุกขึ้นเถิด”เย่จิ่งอวี้เดินอย่างรวดเร็วและเบาหวิวราวกับสายลม เพียงพริบตาก็มาอยู่ข้างหน้าอินชิงเสวียนเฉิงเฟิ่งโหลวโขกศีรษะคำนับขอบคุณเขาอีกครั้ง จากนั้นลุกขึ้นข้างๆ อย่างแสดงความเคารพเย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขา แล้วหันความสนใจไปที่อินชิงเสวียน“ลำบากเสวียนเอ๋อร์แล้ว วันนี้ได้พบกับผู้อาวุโสท่านหนึ่ง บุคลิกไม่ธรรมดา รู้สึกเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก จึงอดไม่ได้ที่จะดื่มไปหลายจอก”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมองชัดเจน พูดด้วยรอยยิ้ม “น้อยมากที่ได้ยินอาอวี้ยกย่องใครสักคนขนาดนี้ พูดจนข้าอยากพบบ้างแล้ว”“หากคราวหน้าได้พบกันอีก ข้าจะแนะนำเจ้าให้รู้จักอย่างแน่นอน จ้าวเอ๋อร์ล่ะ?”“เล่นกับไป๋เสวี่ยสักพัก แล้วก็กลับไปนอนแล้ว”อินชิงเสวียนเหลือบมองหมาป่าขาวที่อยู่กับไป๋เสวี่ย อาจเป็นเพราะดื่มน้ำพุวิญญาณ เจ้าหมาป่าขาวก็เป็นมิตรกับเสี่ยวหนานเฟิงมาก สายตาไม่ดุดันเหมือนเมื่อพบกันครั้งแรก นับว่าฉลาดแสนรู้อยู่บ้างเพียงแต่ว่าสัตว์ร้ายก็คือสัตว์ร้าย ความคิดยากท
เมื่อฟังคำรักอันหวานซึ้งของฮ่องเต้หนุ่ม อินชิงเสวียนรู้สึกอ่อนหวานในใจ“อาอวี้ ขอบคุณนะ”เย่จิ่งอวี้ก้มศีรษะลง แล้วลูบปลายจมูกของอินชิงเสวียนเบาๆ“เด็กโง่ เกรงใจข้าทำไม เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบพักผ่อนเร็วเถอะ”เขานอนลงข้างๆ อินชิงเสวียน โอบหญิงสาวร่างบางไว้ในอ้อมแขนอินชิงเสวียนซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่จิ่งอวี้เหมือนลูกแมว นางอ้าปากหาว“ถ้าอย่างนั้นข้าจะนอนจริงๆ แล้วนะ”“นอนเถอะ พักผ่อนดีย่อมเป็นผลดีต่อลูก”เย่จิ่งอวี้รออยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ยินหญิงสาวพูดอะไรอีก ฟังเสียงลมหายใจอันสม่ำเสมอของนาง จึงรู้ว่านางผล็อยหลับไปแล้วเขาลูบหลังนางเบาๆ เหมือนลูบหลังเด็ก อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงรูปร่างหน้าตาของลูกสาวในอนาคตคงผิวขาวราวไข่ปอกเหมือนนาง เฉลียวฉลาดเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าผู้ชายแบบไหนจะคู่ควรกับลูกสาวที่รักของเขาเมื่อนึกถึงว่าในอนาคตต้องส่งมอบลูกสาวที่เขาฟูมฟักเลี้ยงดูมานานหลายปีให้กับชายแปลกหน้าคนอื่น เย่จิ่งอวี้รู้สึกตงิดๆ ใจเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ลูกสาวแต่งงาน เว้นแต่อีกฝ่ายคือชายที่นางรักอย่างสุดซึ้ง ไม่งั้นใครก็อย่าคิดจะมาแหย็ม หลังจากคิดฟุ้งซ่านอยู่พักหนึ่ง เขาก็หล
ฉีอวิ๋นจื่อจ้องมองด้วยตาข้างเดียว มองไปยังสถานที่ที่เฮ่อยวนหายตัวไปด้วยสายตาเย็นชา แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองแค่เหมยชิงเกอเสียชีวิตไปคนเดียว เขากลับคิดจะสละทางสู่วิถีแห่งสวรรค์จริงไป ผู้ชายแบบนี้ ช่างทำให้นางผิดหวังจริงๆยิ่งไปกว่านั้นเหมยชิงเกอยังไม่ตาย ถ้าเฮ่อยวนรู้เรื่องนี้ เกรงว่าแม้แต่อิ๋นเฉิงก็ยินดีจะมอบให้คนอื่นไปได้ยินมาว่าสถานที่จัดการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ถูกกำหนดให้จัดอยู่ที่ตำหนักเทพหอทองคำ เฮ่อยวนต้องสืบข่าวเรื่องเหมยชิงเกอแน่ๆ ดูเหมือนว่านางจะต้องกลับไปที่ตำหนักเทพ ไปพบกับผู้อาวุโสหันสักครั้งขณะที่ยังฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ ฉีอวิ๋นจื่อมองไปรอบๆ และเดินเข้าไปในป่าหมอกอย่างรวดเร็วเมื่อมาถึงตลาด ฉีอวิ๋นจื่อมีรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไป ตอนนี้นางดูเหมือนอายุสามสิบกลางๆ แม้ว่าใบหน้าจะมีริ้วรอยแห่งวัยเล็กน้อย เมื่อพิจารณาจากใบหน้า หากเด็กกว่านี้สักสิบปี ความงดงามของนางคงมิอาจทำให้ใครลืมเลือนนางเดินไปรอบๆ ตลาดเหมือนคนธรรมดา และไม่นานก็เดินออกจากเมืองเล็กหลังจากออกจากเมือง ฉีอวิ๋นจื่อก็ใช้วิชาตัวเบา ตรงไปที่ยอดเขาบรรจบสวรรค์ในตำหนักเทพเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ผู้คนภายใต้ดวงอ
ห่างออกไปหลายสิบลี้ ดูเหมือนเฮ่อยวนจะรู้สึกอะไรบางอย่าง และจู่ๆ ก็มีความอบอุ่นที่ระเบิดขึ้นในหูข้างขวาคนโบราณมักพูดว่า ถ้าหูอุ่นขึ้น แสดงว่ามีคนเรียกชื่อของเจ้าอยู่ แต่เฮ่อยวนไม่เคยเชื่อเรื่องนี้เลยเขาเดินตามถนนบนภูเขาที่อยู่ตรงหน้า เดินเข้าไปในหุบเขาลึกๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังเดินเล่นสบายๆ แต่ไม่ใช่แค่การเดินธรรมดาเท่านั้น ที่นี่มีค่ายกลที่อิ๋นเฉิงวางเอาไว้ เว้นแต่จะมีใครนำทางมา ไม่เช่นนั้นก็คงจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตด้วยเหตุนี้ ที่นี่จึงไม่ได้ส่งคนมาอารักขาประมาณสิบห้านาที ยอดเขาสูงตระหง่านก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าเฮ่อยวนยืนอยู่ที่ตีนเขา มองดูอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ดึงพลังลมปราณขึ้นมา และทะยานขึ้นไปราวกับนกตัวใหญ่ หลังจากนั้นอีกสามอึดใจ เขาก็ขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วบนยอดเขามีก้อนหินขนาดใหญ่หนึ่งก้อน สูงหลายจั้ง บนก้อนหินแกะสลักด้วยลวดลายที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง และมีประตูหินขนาดใหญ่สองบาน ที่สามารถให้คนเดินเข้ามาพร้อมกันได้มากกว่าสิบคนขณะนี้ ประตูหินทั้งสองถูกปิดผนึก แทบไม่มีช่องว่างระหว่างประตูหินเหล่านี้ มีชาวยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการอ้างสิทธิ์ของตนเองในการขึ้นทางสู่วิถีแห่งสวร
“บ้าเอ๊ย”เย่จิ่งหลานสบถสาปแช่งเสียงดังลั่น จากนั้นแยกเขี้ยวยิงฟัน ขยับมือขวาไปมาเจ็บจริงๆถ้าเขาไม่เหลือกำลังภายในไว้ปกป้องแขนของตัวเอง เกรงว่าแขนข้างนี้คงจะพิการไปแล้ว“นายท่าน ท่านไม่เป็นไรนะ”หวังซุ่นลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเย่จิ่งหลานกัดฟันแล้วพูดว่า “ยังไม่ตาย”เขาสะบัดแขนอีกสองครั้ง จากนั้นใบหน้าที่ดุร้ายก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม จากนั้นก็ล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า จุดอย่างชำนาญ สูดเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ของสิ่งนี้ทุบยากยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไม่ใช่ของที่จะจัดการได้ง่ายจริงๆ”“ใช่ไหมล่ะ ท่านควรจะนั่งพักสักพักดีกว่า ไว้เราค่อยคิดหาทางใหม่”หวังซุ่นใช้แขนเสื้อเช็ดบนแท่นหินข้างๆ จนสะอาด แล้วค่อยๆ พยุงเย่จิ่งหลานไปนั่งที่หินเย่จิ่งหลานไม่ยอมรับความจริง เขาโบกมือ และหยิบสว่านไฟฟ้าแบบชาร์จได้ออกมาจากมิติ“ข้าไม่เชื่อว่าสิ่งนี้ไม่สามารถงัดแงะเปิดได้ แม้ว่าจะทำจากเหล็ก ข้าก็จะเจาะรูให้ได้”หวังซุ่นเคยเห็นความร้ายกาจของสิ่งนี้แล้ว ในตอนที่สร้างเรือในเป่ยไห่ เย่จิ่งหลานใช้สิ่งนี้บ่อยครั้ง แน่นอนว่าแลกมาด้วยคะแนนสะสมของอินชิงเสวียน คะแนนสะสมในปัจจุบันของเขา สามารถรักษาสถานการณ์ปัจจุบันใ
“ที่นี่แหละ”อินชิงเสวียนชี้ไปที่ด้านข้างของภูเขา แล้วกระซิบสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากลำธารที่นางได้พบกับอินหลี นางค้นพบสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญ อย่างไรก็ตามหน้าผาค่อนข้างสูงชัน อาจต้องใช้ความพยายามพอสมควรถึงจะปีนขึ้นได้เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นมองและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีปัญหา ขึ้นหลังข้าสิ”“นี่...ได้จริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนถามอย่างไม่แน่ใจหน้าผาเกือบจะเป็นเส้นตรง ที่ให้ปีนป่ายก็ไม่มีมากนัก“งั้นเอาแบบนี้ ข้าขึ้นหลังอาอวี้ก่อน แล้วเข้าไปในมิติ แบบนี้ก็ไม่ต้องหนักแล้ว หลังจากอาอวี้ถึงยอดเขาแล้ว ข้าค่อยออกมา”“ไม่ลำบากขนาดนั้น ข้ายังมีความมั่นใจอยู่บ้าง มาเถอะ”เย่จิ่งอวี้ย่อตัวลงเล็กน้อย อินชิงเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ปีนขึ้นไปบนหลังของเขา“เข้าที่แล้วนะ”เย่จิ่งอวี้ดึงพลังลมปราณขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดขึ้นไปหนึ่งจั้ง มือทั้งสองยึดข้างจับแง่หิน จากนั้นก็เหนี่ยวกายปีนขึ้นไปอีกหลายเมตรคนทั้งคนดูเบาราวกับปุยนุ่น เหมือนไร้น้ำหนักอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจบางทีนางอาจจะทำได้ แต่ก็ไม่กล้าลองทำง่ายๆ ลำพังแค่ความสูงเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำ
ทั้งสองมองหน้ากัน นัยน์ตาฉายแววตกใจสุดขีดแม้ว่าจะมีการคาดเดากันมาก่อน แต่ถึงอย่างไรการคาดเดาและความจริงก็เป็นคนละเรื่องกัน คิดไม่ถึงว่าตู้เยี่ยนจะยังมีชีวิตอยู่จริงๆ!ฉีอวิ๋นจื่อก็ตกใจเช่นกัน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าคือตู้เยี่ยนใช่หรือไม่”ฉางเฮิ่นเทียนค่อยๆ ยกมือขึ้น ในพริบตาเดียว เขาก็ซัดฝ่ามือโจมตีออกไปหลายครั้งรูม่านตาของฉีอวิ๋นจื่อหดลงทันทีเพียวเหมี่ยวสิบแปดท่า!เคล็ดวิชาลับนี้มีเพียงเจ้าเมืองและรองเจ้าเมืองอิ๋นเฉิงเท่านั้นถึงจะสามารถร่ำเรียนได้ บุคคลนี้ไม่อาจเป็นเพียงคนครัวธรรมดาฉีอวิ๋นจื่อมองขึ้นลงซ้ายและขวาอย่างพิจารณา“ถ้าเจ้าเป็นตู้เยี่ยน อย่างน้อยต้องมีอายุสี่สิบปี ทำไมถึงดูเด็กขนาดนี้”ฉางเฮิ่นเทียนพูดนิ่งๆ “ในเมื่อเจ้ารู้จักอิ๋นเฉิงเป็นอย่างดี เช่นนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือว่ามีวรยุทธ์ในอิ๋นเฉิง วิชานี้คือวิชาต้องห้ามอิ๋นเฉิง สามารถทำให้วิญญาณของคนออกจากร่าง และย้ายไปสู่ร่างใหม่ได้”สีหน้าของฉีอวิ๋นจื่อเปลี่ยนไปอีกครั้งตอนที่นางอยู่ในอิ๋นเฉิงเคยได้ยินเรื่องศาสตร์วิชาที่ชั่วร้ายนี้เช่นกัน ได้ยินว่ามันถูกซ่อนไว้อย่างสมบูรณ์ หากคนผู้นี้คือตู้เยี่ยนจริงๆ ก
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี