เย่จิ่งอวี้ก็เห็นเช่นกัน เรียวตาหงส์เบิกโพลง “นี่คือลางบอกเหตุอะไร?”อินชิงเสวียนระงับความรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ แล้วพูดปลอบใจ “ในสมัยของเราเรียกว่าดาวตก เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติชนิดหนึ่ง อาอวี้ไม่ต้องคิดมาก”เย่จิ่งอวี้มองอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าเมื่อทั้งสองมาถึงเมือง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้วไป๋เสวี่ยตัวสีขาวและหมาป่าสีขาวที่อยู่ข้างนอกทำให้ผู้คนหวาดกลัว อินชิงเสวียนจึงให้พวกมันรออยู่นอกเมืองก่อน แล้วค่อยผิวปากเป็นสัญญาณประชากรในเมืองไม่มาก แต่เดี๋ยวนี้จู่ๆ ก็มีชาวยุทธ์มาจากภายนอกจำนวนมาก อยู่ๆ ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาทั้งสองเจอร้านอาหารเล็กๆ ที่เปิดเช้า รับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ แล้วถามว่ามีใครขายบ้านแถวๆ นี้บ้างไหมเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนพูดจามีมารยาท ทั้งยังมอบเงินก้อนหยวนเป่าให้พิเศษ ก็เริ่มสนใจทันที“ข้ามีบ้านอยู่หลังหนึ่ง แต่ทำเลค่อนข้างไกล บ้านก็นับว่าสะอาดสะอ้าน ถ้าทั้งสองท่านไม่รังเกียจ ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูเดี๋ยวนี้”อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณมากเถ้าแก่มาก”เมื่อพวกเขามาถึงที่พัก อินชิงเสวียนก็รู้สึกชอบที่นี่มากบ้านสร้างอยู่ในป่าไผ่ โด
ชายผู้นี้ให้กลิ่นอายอันสุขุมเยือกเย็น แค่มองแวบแรกก็รู้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วเย่จิ่งอวี้รู้ว่าที่นี่มีทั้งคนดีคนเลวปะปนกันมั่ว ยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน จึงช่วยพยุงขอทานน้อยขึ้นมา และหยิบแท่งเงินมูลค่าสิบตำลึงออกมาจากแขนเสื้อ“เอาเงินนี้ไปซื้อเสื้อผ้าซื้อของกินนะ ไปเถอะ”ขอทานน้อยไม่เคยเห็นแท่งเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาก่อน จากเดิมที่ร้องไห้โอดโอย เพียงวิบตาหยาดน้ำตาก็แห้งเหือดไป เขาประคองแท่งเงินด้วยสองมือ คุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวขอบคุณซ้ำๆเมื่อเห็นว่าหลายคนกำลังมองดูเงินในมือขอทานน้อย เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอย่างคำที่ว่าอย่าอวดร่ำรวย เงินจำนวนนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจอยู่ในใจ ไม่รู้ว่านี่จะเป็นการทำร้ายเขาหรือไม่แต่เขาที่อยู่ในฐานะฮ่องเต้ เมื่อได้สละเงินของตัวเองแล้ว ย่อมไม่สามารถเอาคืนได้ ในขณะที่กำลังจะไปส่งขอทานน้อย ขอทานน้อยกลับคุกเข่าลงดังตุบ “ขอบคุณคุณชายมากขอรับ ข้าน้อยไม่มีพ่อแม่ ขอคุณชายได้โปรดรับไว้ด้วย ข้าน้อยทำได้ทุกอย่าง ขอแค่คุณชายให้อาหารกิน จะเป็นวัวเป็นม้า ข้าน้อยก็ไม่บ่นเลย”เมื่อเห็นว่าเขาอายุเพียงเจ็ดแปดขวบ เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ไ
ชายวัยกลางคนนั่งริมหน้าต่าง โบกมือให้เย่จิ่งอวี้“ทางนี้”เย่จิ่งอวี้เดินไปอย่างรวดเร็ว กางเสื้อคลุมออก และนั่งลงตรงข้ามเขา“ต้องให้ผู้อาวุโสรอแล้ว”ชายวัยกลางคนยิ้มและพูดว่า “การที่คุณชายยอมรับขอทานน้อยไว้ แสดงให้เห็นว่ามีจิตใจเมตตา ข้ารอเจ้าเพียงครู่เดียวเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”เขาหยิบกาสุราขึ้นมา เทสุราให้เย่จิ่งอวี้ด้วยตัวเอง แล้ววางไว้ตรงหน้าเขาเย่จิ่งอวี้ยกจอกสุราขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง อันแสดงถึงความเคารพ พูดอย่างนอบน้อม “ผู้อาวุโสเกรงใจไปแล้ว เห็นความอยุติธรรมแล้วชักดาบช่วยเหลือ เป็นหน้าที่ที่เราควรกระทำ แม้ว่าคนคนเดียวจะไม่สามารถขจัดความอยุติธรรมในใต้หล้าได้ทั้งหมด แต่เมื่อได้พบเจอ ย่อมไม่ปล่อยผ่านไปอยู่แล้ว”ดวงตาของชายวัยกลางคนแสดงความชื่นชม“พูดได้ดี ข้าขอดื่มให้กับประโยคนี้ของคุณชาย”เขายกจอกสุราขึ้น แล้วเงยหน้าขึ้นดื่มจนหมดจอก ท่วงท่ากล้าหาญเปิดเผยเย่จิ่งอวี้ก็ตามมาติดๆ ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอกชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“คุณชายใจป้ำจริงๆ ข้าจะรินให้เจ้าอีกจอก”“ขอบคุณผู้อาวุโส”เย่จิ่งอวี้ลดจอกสุราลง แล้วชนจอกกับชายวัยกลางคน เพื่อแสดงความเคาร
เมื่อเฉิงเฟิ่งโหลวหันกลับมา ก็เห็นเย่จิ่งอวี้ทันที จึงหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ก้มหัวแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเฉิงเฟิ่งโหลวน้อมคำนับคุณชายขอรับ”“ลุกขึ้นเถิด”เย่จิ่งอวี้เดินอย่างรวดเร็วและเบาหวิวราวกับสายลม เพียงพริบตาก็มาอยู่ข้างหน้าอินชิงเสวียนเฉิงเฟิ่งโหลวโขกศีรษะคำนับขอบคุณเขาอีกครั้ง จากนั้นลุกขึ้นข้างๆ อย่างแสดงความเคารพเย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขา แล้วหันความสนใจไปที่อินชิงเสวียน“ลำบากเสวียนเอ๋อร์แล้ว วันนี้ได้พบกับผู้อาวุโสท่านหนึ่ง บุคลิกไม่ธรรมดา รู้สึกเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก จึงอดไม่ได้ที่จะดื่มไปหลายจอก”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมองชัดเจน พูดด้วยรอยยิ้ม “น้อยมากที่ได้ยินอาอวี้ยกย่องใครสักคนขนาดนี้ พูดจนข้าอยากพบบ้างแล้ว”“หากคราวหน้าได้พบกันอีก ข้าจะแนะนำเจ้าให้รู้จักอย่างแน่นอน จ้าวเอ๋อร์ล่ะ?”“เล่นกับไป๋เสวี่ยสักพัก แล้วก็กลับไปนอนแล้ว”อินชิงเสวียนเหลือบมองหมาป่าขาวที่อยู่กับไป๋เสวี่ย อาจเป็นเพราะดื่มน้ำพุวิญญาณ เจ้าหมาป่าขาวก็เป็นมิตรกับเสี่ยวหนานเฟิงมาก สายตาไม่ดุดันเหมือนเมื่อพบกันครั้งแรก นับว่าฉลาดแสนรู้อยู่บ้างเพียงแต่ว่าสัตว์ร้ายก็คือสัตว์ร้าย ความคิดยากท
เมื่อฟังคำรักอันหวานซึ้งของฮ่องเต้หนุ่ม อินชิงเสวียนรู้สึกอ่อนหวานในใจ“อาอวี้ ขอบคุณนะ”เย่จิ่งอวี้ก้มศีรษะลง แล้วลูบปลายจมูกของอินชิงเสวียนเบาๆ“เด็กโง่ เกรงใจข้าทำไม เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบพักผ่อนเร็วเถอะ”เขานอนลงข้างๆ อินชิงเสวียน โอบหญิงสาวร่างบางไว้ในอ้อมแขนอินชิงเสวียนซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่จิ่งอวี้เหมือนลูกแมว นางอ้าปากหาว“ถ้าอย่างนั้นข้าจะนอนจริงๆ แล้วนะ”“นอนเถอะ พักผ่อนดีย่อมเป็นผลดีต่อลูก”เย่จิ่งอวี้รออยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ยินหญิงสาวพูดอะไรอีก ฟังเสียงลมหายใจอันสม่ำเสมอของนาง จึงรู้ว่านางผล็อยหลับไปแล้วเขาลูบหลังนางเบาๆ เหมือนลูบหลังเด็ก อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงรูปร่างหน้าตาของลูกสาวในอนาคตคงผิวขาวราวไข่ปอกเหมือนนาง เฉลียวฉลาดเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าผู้ชายแบบไหนจะคู่ควรกับลูกสาวที่รักของเขาเมื่อนึกถึงว่าในอนาคตต้องส่งมอบลูกสาวที่เขาฟูมฟักเลี้ยงดูมานานหลายปีให้กับชายแปลกหน้าคนอื่น เย่จิ่งอวี้รู้สึกตงิดๆ ใจเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ลูกสาวแต่งงาน เว้นแต่อีกฝ่ายคือชายที่นางรักอย่างสุดซึ้ง ไม่งั้นใครก็อย่าคิดจะมาแหย็ม หลังจากคิดฟุ้งซ่านอยู่พักหนึ่ง เขาก็หล
ฉีอวิ๋นจื่อจ้องมองด้วยตาข้างเดียว มองไปยังสถานที่ที่เฮ่อยวนหายตัวไปด้วยสายตาเย็นชา แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองแค่เหมยชิงเกอเสียชีวิตไปคนเดียว เขากลับคิดจะสละทางสู่วิถีแห่งสวรรค์จริงไป ผู้ชายแบบนี้ ช่างทำให้นางผิดหวังจริงๆยิ่งไปกว่านั้นเหมยชิงเกอยังไม่ตาย ถ้าเฮ่อยวนรู้เรื่องนี้ เกรงว่าแม้แต่อิ๋นเฉิงก็ยินดีจะมอบให้คนอื่นไปได้ยินมาว่าสถานที่จัดการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ถูกกำหนดให้จัดอยู่ที่ตำหนักเทพหอทองคำ เฮ่อยวนต้องสืบข่าวเรื่องเหมยชิงเกอแน่ๆ ดูเหมือนว่านางจะต้องกลับไปที่ตำหนักเทพ ไปพบกับผู้อาวุโสหันสักครั้งขณะที่ยังฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ ฉีอวิ๋นจื่อมองไปรอบๆ และเดินเข้าไปในป่าหมอกอย่างรวดเร็วเมื่อมาถึงตลาด ฉีอวิ๋นจื่อมีรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไป ตอนนี้นางดูเหมือนอายุสามสิบกลางๆ แม้ว่าใบหน้าจะมีริ้วรอยแห่งวัยเล็กน้อย เมื่อพิจารณาจากใบหน้า หากเด็กกว่านี้สักสิบปี ความงดงามของนางคงมิอาจทำให้ใครลืมเลือนนางเดินไปรอบๆ ตลาดเหมือนคนธรรมดา และไม่นานก็เดินออกจากเมืองเล็กหลังจากออกจากเมือง ฉีอวิ๋นจื่อก็ใช้วิชาตัวเบา ตรงไปที่ยอดเขาบรรจบสวรรค์ในตำหนักเทพเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ผู้คนภายใต้ดวงอ
ห่างออกไปหลายสิบลี้ ดูเหมือนเฮ่อยวนจะรู้สึกอะไรบางอย่าง และจู่ๆ ก็มีความอบอุ่นที่ระเบิดขึ้นในหูข้างขวาคนโบราณมักพูดว่า ถ้าหูอุ่นขึ้น แสดงว่ามีคนเรียกชื่อของเจ้าอยู่ แต่เฮ่อยวนไม่เคยเชื่อเรื่องนี้เลยเขาเดินตามถนนบนภูเขาที่อยู่ตรงหน้า เดินเข้าไปในหุบเขาลึกๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังเดินเล่นสบายๆ แต่ไม่ใช่แค่การเดินธรรมดาเท่านั้น ที่นี่มีค่ายกลที่อิ๋นเฉิงวางเอาไว้ เว้นแต่จะมีใครนำทางมา ไม่เช่นนั้นก็คงจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตด้วยเหตุนี้ ที่นี่จึงไม่ได้ส่งคนมาอารักขาประมาณสิบห้านาที ยอดเขาสูงตระหง่านก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าเฮ่อยวนยืนอยู่ที่ตีนเขา มองดูอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ดึงพลังลมปราณขึ้นมา และทะยานขึ้นไปราวกับนกตัวใหญ่ หลังจากนั้นอีกสามอึดใจ เขาก็ขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วบนยอดเขามีก้อนหินขนาดใหญ่หนึ่งก้อน สูงหลายจั้ง บนก้อนหินแกะสลักด้วยลวดลายที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง และมีประตูหินขนาดใหญ่สองบาน ที่สามารถให้คนเดินเข้ามาพร้อมกันได้มากกว่าสิบคนขณะนี้ ประตูหินทั้งสองถูกปิดผนึก แทบไม่มีช่องว่างระหว่างประตูหินเหล่านี้ มีชาวยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการอ้างสิทธิ์ของตนเองในการขึ้นทางสู่วิถีแห่งสวร
“บ้าเอ๊ย”เย่จิ่งหลานสบถสาปแช่งเสียงดังลั่น จากนั้นแยกเขี้ยวยิงฟัน ขยับมือขวาไปมาเจ็บจริงๆถ้าเขาไม่เหลือกำลังภายในไว้ปกป้องแขนของตัวเอง เกรงว่าแขนข้างนี้คงจะพิการไปแล้ว“นายท่าน ท่านไม่เป็นไรนะ”หวังซุ่นลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเย่จิ่งหลานกัดฟันแล้วพูดว่า “ยังไม่ตาย”เขาสะบัดแขนอีกสองครั้ง จากนั้นใบหน้าที่ดุร้ายก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม จากนั้นก็ล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า จุดอย่างชำนาญ สูดเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ของสิ่งนี้ทุบยากยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไม่ใช่ของที่จะจัดการได้ง่ายจริงๆ”“ใช่ไหมล่ะ ท่านควรจะนั่งพักสักพักดีกว่า ไว้เราค่อยคิดหาทางใหม่”หวังซุ่นใช้แขนเสื้อเช็ดบนแท่นหินข้างๆ จนสะอาด แล้วค่อยๆ พยุงเย่จิ่งหลานไปนั่งที่หินเย่จิ่งหลานไม่ยอมรับความจริง เขาโบกมือ และหยิบสว่านไฟฟ้าแบบชาร์จได้ออกมาจากมิติ“ข้าไม่เชื่อว่าสิ่งนี้ไม่สามารถงัดแงะเปิดได้ แม้ว่าจะทำจากเหล็ก ข้าก็จะเจาะรูให้ได้”หวังซุ่นเคยเห็นความร้ายกาจของสิ่งนี้แล้ว ในตอนที่สร้างเรือในเป่ยไห่ เย่จิ่งหลานใช้สิ่งนี้บ่อยครั้ง แน่นอนว่าแลกมาด้วยคะแนนสะสมของอินชิงเสวียน คะแนนสะสมในปัจจุบันของเขา สามารถรักษาสถานการณ์ปัจจุบันใ