“แม่นางอิน! แม่นางอิน?”เฟิงเอ้อร์เหนียงก้าวไปข้างหน้า และมีร่างหนึ่งเหาะลงมาจากข้างบนพูดเสียงเรียบ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ให้นางตายหรอก”เฟิงเอ้อร์เหนียงคุกเข่าลงกับพื้นทันที“ผู้อาวุโสหันได้โปรดรักษาสัญญาด้วย ขอเพียงแม่นางอินส่งมอบน้ำพุวิญญาณ ก็ปล่อยนางกลับไปยังเมืองหลวง นางเป็นเพียงเด็กรุ่นหลัง ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ควรให้นางเข้ามาพัวพันกับความแค้นของคนรุ่นก่อน”ผู้อาวุโสหันแค่นเสียงกล่าวว่า “เรื่องพวกนี้ต้องให้เจ้าสอนด้วยรึ”เฟิงเอ้อร์เหนียงโขกศีรษะคำนับทันที“เฟิงอวิ๋นลี่ไม่กล้า ผู้อาวุโสหันได้โปรดปลดการควบคุมฉุยอวี้ด้วย พวกเราพี่น้องสัญญาว่าจะอยู่ในตำหนักเทพแต่โดยดี จะอุทิศตนเพื่อศึกการแย่งชิงทางสู่วิถีแห่งสวรรค์”ผู้อาวุโสหันไม่ตอบ เพียงโบกมือสั่งการคนที่อยู่ข้างหลัง“พาตัวอินชิงเสวียนไป!”ทันใดนั้นเฟิงเอ้อร์เหนียงก็เริ่มวิตกกังวล นางเอื้อมมือออกไปคว้ากางเกงของผู้อาวุโสหัน แต่ถูกผู้อาวุโสหันเตะออกไป“เฝ้าดูฉุยอวี้ไว้ให้ดี เมื่อเสร็จงานแล้ว จะไปหานางเอง”ยังพูดไม่ทันขาดคำ ตัวเขาก็เหาะออกไปแล้ว“ผู้อาวุโสหัน ผู้อาวุโสหัน!”เฟิงเอ้อร์เหนียงไล่ตามไปหลายก้าว และทันใดนั้
อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ย่อมต่างอยู่แล้ว อย่างไรข้าก็ต้องรู้จำนวนคนก่อน จึงจะสามารถเอาน้ำออกมาได้ ถึงอย่างไรน้ำก็มีจำกัด ใช่ว่าจะไม่มีวันหมด”ผู้อาวุโสหันขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ คงจะขัดกฎสวรรค์เกินไป หากสามารถนำสิ่งล้ำค่าเช่นนี้ได้ออกมาได้อย่างไม่จำกัดเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เจ้าเอาออกมาได้เท่าไหร่”อินชิงเสวียนกล่าวว่า “ห้าสิบถัง”ทันใดนั้นดวงตาของผู้อาวุโสหันก็สว่างขึ้นด้วยความดีใจ นี่ค่อนข้างมากแล้ว“งั้นข้าจะไปเตรียมถังไม้เดี๋ยวนี้”อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ“ตอนนี้ยังไม่ได้ ถ้าผู้อาวุโสหันต้องการน้ำพุวิญญาณ ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”ผู้อาวุโสหันกล่าวทันที “เรื่องเย่หนานเฟิง ข้าได้แจ้งให้เหล่าชาวยุทธ์ทราบแล้ว ขอเพียงได้รับข่าว พวกเขาจะมาขอรับผลตอบแทนแน่นอน”อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ข้ากำลังพูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งนี้ล้ำค่ามาก ข้าต้องการรู้ว่าใครจะเป็นคนดื่ม”“นอกจากศิษย์ไม่กี่คนแล้ว ส่วนที่เหลือจะเป็นของอาคันตุกะของตำหนักเทพ”แม้ว่าผู้อาวุโสหันไม่เต็มใจที่จะมอบน้ำพุวิญญาณเหล่านี้ให้กับบุคคลภายนอก แต่ความสามารถของพวกเขานั้
ศิษย์เดินออกมาปลดโซ่ทันที แล้วอินชิงเสวียนก็ขยับข้อมือเล็กน้อย“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสหันตั้งใจจะเรียกรวมพลอาคันตุกะเหล่านี้เมื่อใด”ผู้อาวุโสหันหรี่ตา รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง“แม่นางอินดูเหมือนจะกระตือรือร้นกับข้ามาก?”อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เฟิงเอ้อร์เหนียงบอกว่าเฮ่อยวนฆ่าแม่ของข้า ในฐานะลูกสาวการจะแก้แค้นแทนแม่ย่อมเป็นเรื่องปกติ ข้ารู้ว่าด้วยความสามารถของข้านั้นไม่สามารถเอาชนะเฮ่อยวนได้ จำต้องรับความช่วยเหลือจากตำหนักเทพ หากผู้อาวุโสหันเต็มใจที่จะช่วยข้า บุญคุณความแค้นระหว่างท่านกับข้าก็สามารถถูกลบล้างได้เช่นกัน”ผู้อาวุโสหันหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น เดิมทีแม่ของเจ้าก็เป็นคนของตำหนักเทพ ที่ข้าเร่งร้อนจะเลื่อนขั้นกำลังภายในของทุกคน ก็เพื่อต้องการทวงความยุติธรรมให้กับแม่ของเจ้า”“งั้นก็ต้องขอบคุณมาก”อินชิงเสวียนโบกมือ บนพื้นก็ปรากฏถังพลาสติกที่บรรจุน้ำพุวิญญาณสองถัง ซึ่งในนั้นนางเพิ่มส่วนผสมพิเศษลงไป“ส่วนของผู้อาวุโสหันข้าจะเอาให้ท่านก่อน หวังว่าผู้อาวุโสหันจะระดมพลได้โดยเร็ว อย่าปล่อยให้เสียเวลา”ผู้อาวุโสหันไม่เคยเห็นพลาสติกมาก่อน เมื่อเห็นวัต
หลังจากได้ยินสิ่งที่อินชิงเสวียนพูด ลิ่นเซียวก็ค่อนข้างประหลาดใจ เขาไม่ได้ถามอินชิงเสวียน แต่สายตากลับเคลือบแคลงสงสัยอย่างมาก“ชิงเสวียนไม่กล้าโกหกอาจารย์ อาจารย์เป็นถึงปรมาจารย์กระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ระดับความรู้ลึกซึ้งในด้านกำลังภายในใช่ว่าคนรุ่นหลังจะเทียบเคียงได้ ชิงเสวียนโกหกหรือไม่ อาจารย์ลองดูก็ย่อมรู้เอง”อินชิงเสวียนยื่นมือออกมา ทันใดนั้นแจกันลายครามอันงดงามก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนางลิ่นเซียวรับไว้อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เปิดจุกขวด และแน่นอนว่าได้กลิ่นพลังวิญญาณจริงๆเขากระดกขวบขึ้นจิบ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงกระแสน้ำใสไหลลงคอของเขา ทันใดนั้นก็ระดมกำลังภายในไปที่จุดตันเถียน และหลอมรวมเข้าด้วยกันนความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลิ่นเซียวอีกครั้ง เขาดื่มน้ำพุวิญญาณทั้งหมดในอึกเดียว จากนั้นนั่งขัดสมาธิ และทำการโคจรพลังลมปราณอินชิงเสวียนไม่รีบร้อน นางยืนรออยู่ข้างๆ อย่างอดทน จนกระทั่งลิ่นเซียวลุกขึ้นยืนด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่ง“คิดไม่ถึงว่าในโลกจะมีของวิเศษเช่นนี้!”ลิ่นเซียวมีสีหน้าปลงอนิจจัง“โลกใหญ่ไพศาล ครอบคลุมสรรพสิ่ง ทุกสิ่งไม่เป็นที่รู้จัก ผู้เยาว์ก็มีโอกาสโ
อินชิงเสวียนเพ่งมองอยู่นาน แต่แล้วก็พบว่ามันเป็นผ้าไหมธรรมดาจริงๆ “ดูท่าทาง ตำหนักเทพต้องการชักภัยไปสู่ไปเมืองเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงจริงๆ ต่ำช้ามาก”เย่จั้นพยักหน้าและกล่าวว่า “เพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงเปิดเมืองแล้ว ข้าเคยไปที่นั่นเมื่อไม่กี่วันก่อน ค่อนข้างแตกต่างจากการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดของตำหนักเทพมาก”“เสด็จอาคิดว่าที่ไหนดีกว่ากัน”อินชิงเสวียนถามเย่จั้นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “อิ๋นเฉิงมีความเป็นเมืองมนุษย์มากกว่า ทั้งยังมีมนุษยธรรมมากกว่า พวกเขาสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของชาวบ้านโดยไม่คิดเงิน ซึ่งทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ”จากนั้นเขาก็ถามอีกครั้ง “จ้าวเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ทำไมถึงไม่เห็นอยู่กับฮองเฮา”อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “จ้าวเอ๋อร์อยู่ในมิติของข้าแล้ว เสด็จอาไม่ต้องกังวล”เย่จั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ดีแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮองเฮาก็รีบลงเขาเถิด ไม่เห็นหน้ากันนาน ฝ่าบาทจะต้องคิดถึงมากแน่นอน”อินชิงเสวียนยิ้มอย่างขมขื่น“ข้าไม่รู้วิธีแก้เพลงลืมกลุ้ม ที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีการบันทึกวิธีแก้ไขเพลงนี้ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ของเขาคงจะไม่มีวันจำข้ากับเสี่ยว
เย่จั้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง“แม่นาง ข้า...คือข้า...”เขากำลังจะบอกว่าเขาเป็นอาคันตุกะที่มาใหม่ แต่สตรีในชุดขาวก็เดินตรงผ่านเขาไป และหยุดที่ลำธารนางยืนตัวตรง ชุดผ้าโปร่งสีขาวราวกับหิมะปลิวไปตามสายลม ราวกับเป็นนางฟ้าที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์ เมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์อันหนาวเย็น นางยิ่งดูประณีตไร้มลทินดุจเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ขณะมองดูนางยืน เย่จั้นก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์โดยไม่รู้ตัวหลายปีที่ผ่านมา เขาเคยเห็นผู้หญิงที่สง่างามเช่นนี้นอกวัดสุ่ยจิ้งในเมืองหลวง นางเป็นเหมือนดอกดารารัตน์ที่ชุ่มชื้นอยู่ริมน้ำ นางยืนเงียบๆ ใต้แสงจันทร์ เลิกคิ้วงามขึ้นน้อยๆ ประหนึ่งมีเรื่องกลุ้มใจที่แก้ไม่ตกเย่จั้นไม่เคยเห็นผู้หญิงที่พิเศษเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นเอง จิตใจทั้งหมดเหมือนจะถูกคว้าไว้ด้วยมือที่มองไม่เห็น และไม่สามารถหลุดพ้นได้อีกต่อไป...เมื่อนึกถึงสตรีที่เฝ้าคะนึงหามาตลอดหลายปี เย่จั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจ เดินไปหาสตรีในชุดขาวโดยไม่รู้ตัว“แม่นาง”เขาเรียกเบาๆ ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้ยินอะไรเลย ดวงตาสุกใสดุจธารายังคงมองไปข้างหน้าเย่จั้นกระแอมไอแห้งๆ “แม่นางไม่ต้องกลัวนะ ข้า
“อินหลี?”เย่จั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยนี่มันไม่ถูกต้อง!อินหลีผลักเขาออกไป แล้วเดินไปทางลำธารอย่างดื้อรั้นเย่จั้นเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของอินหลี ทันใดนั้นก็ได้ยินคนถามว่า “นั่นใคร”เย่จั้นจี้สกัดจุดของอินหลีทันที และอุ้มนางเหาะไปที่ถ้ำร้างในเวลานี้ อินชิงเสวียนกลับมาบนเขาแล้วเดิมทีนางคิดที่จะไปหาฉุยอวี้ ลังเลที่ประตูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงล้มเลิกความตั้งใจเฟิงเอ้อร์เหนียงเพิ่งวางยานาง หากพบนางในตอนนี้คงจะรู้สึกอึดอัดแน่ๆ ตอนนี้นางไม่สามารถช่วยฉุยอวี้ได้ในขณะนี้ ไม่สู้ใช้คืนนี้ให้เป็นประโยชน์ ฝึกรวบรวมพลังยุทธ์ ไว้รอรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้เพื่อไม่ให้เหมยชิงเกอมีคำถามมากเกินไป ดังนั้นอินชิงเสวียนจึงปิดหน้าจอแสดงผลในมิติ และนั่งขัดสมาธิบนเตียงหินนางใช้ความคิดระดมกำลังภายในทั้งหมด รวบรวมไว้ในจุดตันเถียน ทันใดนั้น การฝึกวิทยายุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนก็แวบเข้ามาในหัวของนางเองอินชิงเสวียนไม่เคยศึกษาวิทยายุทธ์เหล่านี้อย่างละเอียด วันนี้สงบจิตใจ ตัดสินใจที่จะพิจารณาให้ละเอียดยิ่งขึ้นในบรรดาวิทยายุทธ์ทั้งหมด มีวิชาฝ่ามือ วิชากระบี่ และวิชาดัชนี อินชิงเสวียนหลับตาเล็กน้อย
สีหน้าท่าทางของฉางเฮิ่นเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย“แม่นางอินหมายความว่า...”อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “ทำข้อตกลงกัน เราต่างคนต่างได้สิ่งที่เราต้องการ”ฉางเฮิ่นเทียนลังเล ถามว่า “แม่นางอินต้องการให้ข้าทำอะไร”อินชิงเสวียนพูดอย่างสงบ “ง่ายมาก ยืนอยู่ข้างข้า หลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้น ข้าจะให้น้ำพุวิญญาณแก่เจ้าเท่าที่เจ้าต้องการ”ฉางเฮิ่นเทียนถามอย่างระมัดระวัง “แม่นางอินต้องการเผชิญหน้าสู้กับผู้อาวุโสหัน?”อินชิงเสวียนแค่นเสียงหึเบาๆ “มีเรื่องกันมาขนาดนี้แล้ว เจ้าคิดว่าเขากับข้าจะยังสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้งั้นหรือ”“แต่เรื่องการตามหาเด็ก...ยังต้องการกำลังของตำหนักเทพ”ใบหน้าของฉางเฮิ่นเทียนจริงใจ แต่ดวงตามีความสงสัยเล็กน้อยอินชิงเสวียนพูดอย่างเย็นชา “ผ่านมาสองวันแล้ว ถ้าเขาหาเจอ คงจะมีข่าวคราวนานแล้ว ในเมื่อไม่เจอ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาไม่เห็นลูกชายของข้าอยู่ในสายตาเลย”ฉางเฮิ่นเทียนถอนหายใจ “จริงๆ แล้วจะโทษผู้อาวุโสหันทั้งหมดก็ไม่ได้ สองวันที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย วันก่อนข้าได้ยินมาว่าปีศาจที่ถูกคุมขังในผาเฟิงเริ่นหลบหนีไปได้ ผู้อาวุโส
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง