เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ หลอกง่ายตลอดเสี่ยวหนานเฟิงกระโดดขึ้นมาอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนเล่นกับลูกชายด้วยความรักและเอ็นดูอยู่พักหนึ่ง จากนั้นป้อนข้าวและเครื่องเคียงให้เขา แล้วอุ้มเขานอนบนเตียงหลังใหญ่เมื่อได้กลิ่นของผู้เป็นแม่ เสี่ยวหนานเฟิงก็รู้สึกปลอดภัยมาก จนหลับลึกไปในเวลาเพียงไม่นานอินชิงเสวียนดึงผ้าห่มคลุมตัวลูกชาย แล้วหายตัวออกจากมิตินางต้องแสดงละคร เพื่อให้พวกเขาคิดว่าเสี่ยวหนานเฟิงหายไปแล้วจริงๆ เพื่อกันไม่ให้กำลังภายในไม่เพียงพอ อินชิงเสวียนใช้พลังมิติอีก แล้วซัดฝ่ามือออกไปหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นประตูหินหนาก็ถูกพังออกเป็นสองส่วน จากนั้นเหาะลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว และกระอักเลือดเต็มปาก“อ้าก! คืนลูกชายมาให้ข้า!”นางตะโกนเสียงแหลมเสียงร้องแหลมสูงดังก้องขึ้นกลางความเงียบสงบของยามค่ำคืนในทันที เสียงสะท้อนก้องกังวานท่ามกลางภูเขาปังอินชิงเสวียนชนต้นไม้โบราณขนาดสองคนโอบเข้าอย่างจัง ความเจ็บปวดสาหัสทำให้นางหายใจไม่ออกในไม่ช้าก็มีเสียงเสื้อผ้าแหวกอากาศดังขึ้นจากด้านบนผู้อาวุโสหันอุ้มนางขึ้นมา แล้วถามอย่างเย็นชา “เกิดอะไรขึ้น”ดวงตาของอินชิงเสวียนเป็นสีแดง
เฟิงเอ้อร์เหนียงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แสงในดวงตาค่อยๆ จางลงนางจ้องมองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า แล้วพูดเสียงเบาหวิว “ศิษย์พี่เหมยเป็นศิษย์พี่หญิงของเรา ครั้งหนึ่งตอนที่นางลงเขาไปทำธุระ ก็ได้พบกับเฮ่อยวนเจ้าเมืองหนุ่มแห่งอิ๋นเฉิง นางตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น มอบตัวให้กับเขา ต่อมาผู้อาวุโสหันทราบเรื่อง จึงกักขังศิษย์พี่เหมยไว้ในผาเฟิงเริ่น ต้องทุกข์ตรมต่อความเจ็บปวดจากการต้องลมหนาวเสียดกระดูกทุกวัน”ที่แท้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแบบนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าแม้ว่าแม่ของเจ้าของร่างเดิมจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็มีชีวิตอยู่แบบอยู่มิสู้ตาย“เหตุใดผู้อาวุโสหันจึงทำเช่นนี้”อินชิงเสวียนถามอีกครั้งเฟิงเอ้อร์เหนียงพูดด้วยทื่อๆ “หันเจิงหมิงลูกชายของเขาชอบพี่หญิงใหญ่ เขาอยากได้ศิษย์พี่เป็นลูกสะใภ้มาโดยตลอด เมื่อเขารู้ว่าพี่หญิงใหญ่มอบกายให้คนอื่นแล้ว หันเจิงหมิงก็ธาตุไฟเข้าแทรก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ผู้อาวุโสเกลียดศิษย์พี่มาก”เมื่อพูดจบ นางก็กล่าวเสริมอีกว่า“นี่เป็นการคาดเดาของข้าเอง”“ผาเฟิงเริ่นอยู่ที่ไหน แล้ว...ลิ่นเซียวอาศัยอยู่ที่ไหน”เฟิงเอ้อร์เหนียงชี้ไปที่บนหัวเหมือนหุ่นเชิด“ผาเฟิงเริ่นอยู่ท
ธิดาเทพคนใหม่?อินชิงเสวียน อดไม่ได้ที่จะมองผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งนางสวมผ้าคลุมสีขาวบริสุทธิ์ วางมือทับกันด้านหน้าอก ทำให้คนรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาทั้งคู่หลุบลงเล็กน้อย ทำให้ไม่สามารถตัดสินสีหน้าของนางได้แต่ดูจากรูปร่างแล้ว คงมีอายุไม่มากนักวินาทีต่อมา อินชิงเสวียนเห็นลิ่นเซียวที่มีผมสีขาวอยู่ท่ามกลางฝูงชนรูปร่างหน้าตาของเขายังคงหล่อเหลาเหมือนตอนที่พบครั้งแรก แต่แววตากลับดูวิปลาสกว่าตอนนั้นมีคนถามว่า “ผู้อาวุโสหัน เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเรียกทุกคนมาที่นี่กลางดึก”ผู้อาวุโสหันยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนแท่นสูง สายตาคมกริบดั่งสายฟ้า กวาดมองทุกคนทีละคน“วันนี้ข้าพาแม่ลูกคู่หนึ่งขึ้นมาบนเขา เมื่อสามสิบนาทีที่แล้ว เด็กคนนั้นถูกลักพาตัวไป ไม่ทราบว่าช่วงนี้มีใครออกไปข้างนอกบ้างหรือไม่”ทันทีที่ผู้อาวุโสหันพูดจบ ทุกคนก็มองหน้ากันด้วยความตกใจอาคันตุกะมักจะบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำของตน ยกเว้นศิษย์ที่ลาดตระเวนบนภูเขาแล้ว ก็แทบไม่มีใครเดินเพ่นพ่านในตอนกลางคืนลิ่นเซียวได้เห็นอินชิงเสวียนแล้ว จิตใจพลันเกิดความผันผวนทันทีเขาเหาะไปที่หน้าแท่น แล้วคว้าข้อมือของอินชิงเสวียนเขาถามด้วยน้
ความรู้สึกที่ได้จากตัวนางมีเพียงสองคำเท่านั้น นั่นคือเฉยเมยเหมือนกำลังหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ ทั้งยังเหมือนว่าไม่มีอะไรสามารถเข้าไปอยู่ในสายตาของนางได้เปรียบเหมือนสระน้ำนิ่ง ขว้างก้อนหินใหญ่แค่ไหนก็ไม่เกิดระลอกคลื่น“อวิ๋นลี่ เจ้ากับเฮิ่นเทียนอยู่กับชิงเสวียนให้มาก อย่าให้นางเศร้าเสียใจเกินไป เด็กจะไม่มีทางหายไปทั้งแบบนี้แน่ แล้วข้าจะให้คำอธิบายแก่นาง”เสียงของผู้อาวุโสหันดังขัดจังหวะความคิดของอินชิงเสวียน นางยิ้มเยาะในใจ ให้คำอธิบายกะผีน่ะสิ ถ้าเขาพบเสี่ยวหนานเฟิง ก็แสดงว่ามีผีอยู่ในโลกนี้แล้วแต่พูดอย่างคล้อยตาม “ขอบคุณผู้อาวุโส ตราบใดที่ผู้อาวุโสสามารถช่วยผู้เยาว์ตามหาลูกได้ ผู้เยาว์จะตอบแทนพระคุณด้วยชีวิต”ดวงตาของผู้อาวุโสหันกวาดไปทั่วใบหน้าของนาง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คนครอบครัวเดียวกันไยต้องพูดเกรงใจเช่นนี้ ตราบใดที่เจ้าเต็มใจที่จะแจกจ่ายน้ำพุวิญญาณให้กับศิษย์ของตำหนักเทพหอทองคำ ข้าก็จะซาบซึ้งใจอย่างสูงแล้ว”เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยังเหลือเวลาอีกสองเดือน การประลองระหว่าง ตำหนักเทพหอทองคำและเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น เฮ่อยวนในฐานะเจ้าเมือง
อินชิงเสวียนไม่รู้จักการฝังโลหิต เหตุผลที่เกิดความสงสัย เพราะนางเห็นเลือดในวรยุทธ์ของอีกฝ่าย ในการฝึกฝนวรยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ต้องใช้เลือดของตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องใช้เลือดของอีกฝ่ายด้วยหลังจากอยู่ในเป่ยไห่หลายวัน นางก็มีความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับวรยุทธ์ของสำนักต่างๆ ซึ่งพลังยุทธ์ที่ชั่วร้ายนั้น เหมือนจะมีเพียงการฝังโลหิตเท่านั้นแต่ทำไมฉางเฮิ่นเทียนถึงใช้พลังยุทธ์นี้นี่คือเคล็ดวิชาลับเฉพาะตัวของตู้เยี่ยนไม่ใช่หรือหรือว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของตู้เยี่ยน?หรือว่า เขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับตู้เยี่ยน?ในหัวของอินชิงเสวียนเกิดความสับสน แต่ไม่นานนางก็สงบลงแค่พรุ่งนี้ลองหาโอกาสถามฉางเฮิ่นเทียนว่าอยู่บนเขาตลอดเวลาหรือไม่ แล้วก็จะทราบทุกอย่างโดยกระจ่างเองหลังจากนั้นนางก็ใช้ ทักษะช่วงชิงโชคลาภกับเฟิงเอ้อร์เหนียงทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง มันได้จริงๆ ที่เหลือก็ดูว่าจะมีการจำกัดจำนวนครั้งหรือไม่เมื่อคิดถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนก็สงบจิตใจ นำกระแสพลังทั้งสองนี้ไปใช้เป็นประโยชน์ของตัวเองเวลาผ่านไป เมื่อท้องฟ้าเริ่มสางอินชิงเสวียนก็ตื่นขึ้นอ
เมื่อมองดูวัตถุสีใสนี้ ความโลภก็แวบขึ้นมาในดวงตาของผู้อาวุโสหันอินชิงเสวียนสวมมันบนข้อมืออีกครั้ง แล้วพูดประชด “ดูเหมือนว่าคนในตำหนักเทพ อาจไม่ใช่ทุกคนที่มีความคิดแบบเดียวกับผู้อาวุโสหัน ต้องมีคนรู้ว่าเราสองแม่ลูกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้อาวุโสหัน จึงมาลักพาตัวคนไป ผู้อาวุโสหันไม่กวาดล้างภายในให้สะอาด แต่กลับมาสงสัยข้า ไม่คิดว่าจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังผิดพลาดงั้นหรือ”ผู้อาวุโสหันหรี่ตาลง เป็นเรื่องจริงที่ในตำหนักแห่งนี้ไม่ได้มีแต่คนที่เขาไว้ใจได้ทั้งหมด แต่...ใครเล่าจะกล้าขนาดนั้นจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องยุแยงตะแคงรั่ว ข้ารู้ดีว่าศิษย์ของตำหนักเทพเป็นอย่างไร”“เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไรมาก ถ้าเจอเด็ก ข้าสามารถรับปากได้ทุกอย่าง ถ้าหาไม่เจอ ท่านกับข้าก็ไม่ต้องคุยกัน”อินชิงเสวียนหันกลับมานั่งลงบนเตียงหิน หลับตาและไม่พูดอะไรผู้อาวุโสหันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ“อินชิงเสวียน เจ้าอย่าบีบคั้นกันเกินไป!”อินชิงเสวียนเลิกคิ้วขึ้น“ผู้อาวุโสหันไม่ใช่หรือที่บีบบังคับข้า ท่านบอกว่าจะปกป้องเราสองแม่ลูกอย่างดี แต่ตอนนี้เพิ่งขึ้นเขาได้วันเดียว เด็กก็หายไปแล้ว หรือว่า
“แม่อยากปกป้องนาง จะต้องแข็งแกร่งขึ้นอยู่แล้ว อีกเรื่อง ถ้าเจ้าเห็นแม่เลือดออกก็ไม่ต้องกลัว แม่ใช้ซอสมะเขือเทศหลอกพวกเขา”อินชิงเสวียนโบกมือแลกขวดซอสมะเขือเทศมา แล้วทาที่มุมปากตัวเอง“ดูสิ แบบนี้ไง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นนิ้วออกมาจิ้มที่มุมปากของอินชิงเสวียนแลว้เอาไปชิม“หวานจัง!”“ใช่ ดังนั้นมันแค่ของปลอม บางทีแม่ต้องแกล้งทำเป็นอ่อนแอ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องระแวงแม่”เพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงเหงา จึงต้องเปิดหน้าจอในมิติตลอดเวลา หากตัวเองต่อสู้กับคนอื่นแล้วได้รับบาดเจ็บ ลูกต้องเป็นห่วงแน่ๆ ฉะนั้นจะต้องป้องกันก่อนเสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าทันที“ลูกเข้าใจแล้ว”“เด็กดี”อินชิงเสวียนใช้ช้อนแบ่งผลไม้ออกเป็นชิ้นเล็กๆ เสี่ยวหนานเฟิงกินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วกอดท้องกลมๆ แล้วพูดเห็นฟันขาวเล็กๆ ว่า “อิ่มมากๆ”“ถ้าอย่างนั้นเรามาเรียนบทกวีโบราณกันก่อน แล้วค่อยไปเล่นบ้านล้มปราสาท”“ดี!”สองแม่ลูกเล่นกันสักพัก แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงเสื้อผ้าดังขึ้นข้างนอกมิติ“แม่ต้องออกไปดูก่อน ถ้าคนเลวรู้ว่าเราซ่อนตัวอยู่ในมิติ พวกเขาต้องมาตามหาเราในนี้แน่นอน ลูกเล่นไปก่อนนะ”“เด็จแม่ลุยเลย ไม่ต้องห่วงลูก”
เมืองหลวงเมื่อพระอาทิตย์ตกดินทางทิศตะวันตก แสงสีส้มของแสงอาทิตย์ก็ส่องให้เห็นทิวทัศน์อันเงียบสงบเย่จิ่งอวี้นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังฝูงชน กำลังฟังอย่างตั้งใจในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หลังจากเลิกประชุมเช้าเขาก็จะมาฟังเทศน์ที่อารามซ่างชิง รู้สึกเสมอว่าตัวเองได้สัมผัสบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็ขาดระดับความลึกซึ้งไปบ้างในขณะที่นั่งสมาธิอย่างเงียบๆ ในเวลากลางคืน เศษชิ้นส่วนความทรงจำสุดคณานับหลุดออกมาจากใจ ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความฝันหรือความจริงหรือว่าเป็นอย่างที่เจวี๋ยอิ่งพูด ในช่วงสองปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์เขาก็ทำงานหนักมาก ทำให้เหนื่อยล้าเกินไป?แต่เย่จิ่งอวี้ไม่รู้สึกเหนื่อย ร่างกายมีพลังท่วมท้น สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ซึ่งน่าแปลกจริงๆ “เอาล่ะ วันนี้พอเท่านั้นก่อน”นักพรตเทียนชิงยืนขึ้นอย่างช้าๆ มองไปยังชาวบ้านทุกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มทุกคนก็ยืนขึ้น โค้งคำนับและกล่าวขอบคุณ แล้วจึงแยกย้ายออกจากอารามซ่างชิงกวนนักพรตเทียนชิงเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ ทุกวันนี้ ทุกคนได้รับประโยชน์มากมายจากการฟังเทศน์และพูดคุยเกี่ยวกับลัทธิเต๋า ทุกคนต่างก็ให้ความเคารพเขาอย
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง