เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กป้อมออกมาทันที กอดคอของอินชิงเสวียน แล้วกดใบหน้าเล็กๆ ที่เรียบเนียนซุกคอของอินชิงเสวียน เฉกเช่นกระต่ายตัวน้อยที่รู้ความ“เด็จแม่ไม่ร้องไห้ ลูกไม่ลำบากเลย ถ้าท่านร้องไห้ ลูกจะไม่ชอบเอาน้า”เสี่ยวหนานเฟิงเกลือกใบหน้ากับตัวนาง จากนั้นถอยหลังเล็กน้อย ขมวดคิ้วมอง และเชิดริมฝีปากใส่อินชิงเสวียน แสดงท่าทางข่มขู่เล็กๆเมื่อเห็นเขาที่ดูเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็ก อินชิงเสวียนก็หัวเราะออกมา“เจ้าตัวแสบ กล้าขู่แม่งั้นรึ”เสี่ยวหนานเฟิงซบตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอินชิงเสวียนอีกครั้ง หอมแก้มนางอย่างอ่อนหวาน พูดด้วยเสียงเล็กๆ “ลูกไม่ขู่เด็จแม่เสียหน่อย ลูกชอบเด็จแม่ที่สุด คนแก่นั่นเป็นคนไม่ดี ลูกกลัวๆ”อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมานั่งบนตัก แล้วพูดปลอบใจ “ไม่กลัวนะคนดี แม่จะแก้แค้นแทนลูกรักแน่นอน แต่ในช่วงนี้ เกรงว่าเจ้าจะเหงานิดหน่อย ต้องอยู่เล่นในนี้คนเดียวแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นมาแล้วถามว่า “เด็จแม่จะไปตีคนแก่ชั่วคนนั้นหรือ”“อื้ม แม่จะหาทางจัดการกับเขา แม่จะไม่ให้เจ้าอยู่คนเดียวนานเกินไป ถ้าเจ้าพูด แม่ยังได้ยินเสียงเจ้าอยู่”อินชิงเสวียนโบกมือ ทันใด
เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ หลอกง่ายตลอดเสี่ยวหนานเฟิงกระโดดขึ้นมาอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนเล่นกับลูกชายด้วยความรักและเอ็นดูอยู่พักหนึ่ง จากนั้นป้อนข้าวและเครื่องเคียงให้เขา แล้วอุ้มเขานอนบนเตียงหลังใหญ่เมื่อได้กลิ่นของผู้เป็นแม่ เสี่ยวหนานเฟิงก็รู้สึกปลอดภัยมาก จนหลับลึกไปในเวลาเพียงไม่นานอินชิงเสวียนดึงผ้าห่มคลุมตัวลูกชาย แล้วหายตัวออกจากมิตินางต้องแสดงละคร เพื่อให้พวกเขาคิดว่าเสี่ยวหนานเฟิงหายไปแล้วจริงๆ เพื่อกันไม่ให้กำลังภายในไม่เพียงพอ อินชิงเสวียนใช้พลังมิติอีก แล้วซัดฝ่ามือออกไปหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นประตูหินหนาก็ถูกพังออกเป็นสองส่วน จากนั้นเหาะลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว และกระอักเลือดเต็มปาก“อ้าก! คืนลูกชายมาให้ข้า!”นางตะโกนเสียงแหลมเสียงร้องแหลมสูงดังก้องขึ้นกลางความเงียบสงบของยามค่ำคืนในทันที เสียงสะท้อนก้องกังวานท่ามกลางภูเขาปังอินชิงเสวียนชนต้นไม้โบราณขนาดสองคนโอบเข้าอย่างจัง ความเจ็บปวดสาหัสทำให้นางหายใจไม่ออกในไม่ช้าก็มีเสียงเสื้อผ้าแหวกอากาศดังขึ้นจากด้านบนผู้อาวุโสหันอุ้มนางขึ้นมา แล้วถามอย่างเย็นชา “เกิดอะไรขึ้น”ดวงตาของอินชิงเสวียนเป็นสีแดง
เฟิงเอ้อร์เหนียงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แสงในดวงตาค่อยๆ จางลงนางจ้องมองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า แล้วพูดเสียงเบาหวิว “ศิษย์พี่เหมยเป็นศิษย์พี่หญิงของเรา ครั้งหนึ่งตอนที่นางลงเขาไปทำธุระ ก็ได้พบกับเฮ่อยวนเจ้าเมืองหนุ่มแห่งอิ๋นเฉิง นางตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น มอบตัวให้กับเขา ต่อมาผู้อาวุโสหันทราบเรื่อง จึงกักขังศิษย์พี่เหมยไว้ในผาเฟิงเริ่น ต้องทุกข์ตรมต่อความเจ็บปวดจากการต้องลมหนาวเสียดกระดูกทุกวัน”ที่แท้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแบบนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าแม้ว่าแม่ของเจ้าของร่างเดิมจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็มีชีวิตอยู่แบบอยู่มิสู้ตาย“เหตุใดผู้อาวุโสหันจึงทำเช่นนี้”อินชิงเสวียนถามอีกครั้งเฟิงเอ้อร์เหนียงพูดด้วยทื่อๆ “หันเจิงหมิงลูกชายของเขาชอบพี่หญิงใหญ่ เขาอยากได้ศิษย์พี่เป็นลูกสะใภ้มาโดยตลอด เมื่อเขารู้ว่าพี่หญิงใหญ่มอบกายให้คนอื่นแล้ว หันเจิงหมิงก็ธาตุไฟเข้าแทรก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ผู้อาวุโสเกลียดศิษย์พี่มาก”เมื่อพูดจบ นางก็กล่าวเสริมอีกว่า“นี่เป็นการคาดเดาของข้าเอง”“ผาเฟิงเริ่นอยู่ที่ไหน แล้ว...ลิ่นเซียวอาศัยอยู่ที่ไหน”เฟิงเอ้อร์เหนียงชี้ไปที่บนหัวเหมือนหุ่นเชิด“ผาเฟิงเริ่นอยู่ท
ธิดาเทพคนใหม่?อินชิงเสวียน อดไม่ได้ที่จะมองผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งนางสวมผ้าคลุมสีขาวบริสุทธิ์ วางมือทับกันด้านหน้าอก ทำให้คนรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาทั้งคู่หลุบลงเล็กน้อย ทำให้ไม่สามารถตัดสินสีหน้าของนางได้แต่ดูจากรูปร่างแล้ว คงมีอายุไม่มากนักวินาทีต่อมา อินชิงเสวียนเห็นลิ่นเซียวที่มีผมสีขาวอยู่ท่ามกลางฝูงชนรูปร่างหน้าตาของเขายังคงหล่อเหลาเหมือนตอนที่พบครั้งแรก แต่แววตากลับดูวิปลาสกว่าตอนนั้นมีคนถามว่า “ผู้อาวุโสหัน เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเรียกทุกคนมาที่นี่กลางดึก”ผู้อาวุโสหันยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนแท่นสูง สายตาคมกริบดั่งสายฟ้า กวาดมองทุกคนทีละคน“วันนี้ข้าพาแม่ลูกคู่หนึ่งขึ้นมาบนเขา เมื่อสามสิบนาทีที่แล้ว เด็กคนนั้นถูกลักพาตัวไป ไม่ทราบว่าช่วงนี้มีใครออกไปข้างนอกบ้างหรือไม่”ทันทีที่ผู้อาวุโสหันพูดจบ ทุกคนก็มองหน้ากันด้วยความตกใจอาคันตุกะมักจะบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำของตน ยกเว้นศิษย์ที่ลาดตระเวนบนภูเขาแล้ว ก็แทบไม่มีใครเดินเพ่นพ่านในตอนกลางคืนลิ่นเซียวได้เห็นอินชิงเสวียนแล้ว จิตใจพลันเกิดความผันผวนทันทีเขาเหาะไปที่หน้าแท่น แล้วคว้าข้อมือของอินชิงเสวียนเขาถามด้วยน้
ความรู้สึกที่ได้จากตัวนางมีเพียงสองคำเท่านั้น นั่นคือเฉยเมยเหมือนกำลังหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ ทั้งยังเหมือนว่าไม่มีอะไรสามารถเข้าไปอยู่ในสายตาของนางได้เปรียบเหมือนสระน้ำนิ่ง ขว้างก้อนหินใหญ่แค่ไหนก็ไม่เกิดระลอกคลื่น“อวิ๋นลี่ เจ้ากับเฮิ่นเทียนอยู่กับชิงเสวียนให้มาก อย่าให้นางเศร้าเสียใจเกินไป เด็กจะไม่มีทางหายไปทั้งแบบนี้แน่ แล้วข้าจะให้คำอธิบายแก่นาง”เสียงของผู้อาวุโสหันดังขัดจังหวะความคิดของอินชิงเสวียน นางยิ้มเยาะในใจ ให้คำอธิบายกะผีน่ะสิ ถ้าเขาพบเสี่ยวหนานเฟิง ก็แสดงว่ามีผีอยู่ในโลกนี้แล้วแต่พูดอย่างคล้อยตาม “ขอบคุณผู้อาวุโส ตราบใดที่ผู้อาวุโสสามารถช่วยผู้เยาว์ตามหาลูกได้ ผู้เยาว์จะตอบแทนพระคุณด้วยชีวิต”ดวงตาของผู้อาวุโสหันกวาดไปทั่วใบหน้าของนาง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คนครอบครัวเดียวกันไยต้องพูดเกรงใจเช่นนี้ ตราบใดที่เจ้าเต็มใจที่จะแจกจ่ายน้ำพุวิญญาณให้กับศิษย์ของตำหนักเทพหอทองคำ ข้าก็จะซาบซึ้งใจอย่างสูงแล้ว”เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยังเหลือเวลาอีกสองเดือน การประลองระหว่าง ตำหนักเทพหอทองคำและเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น เฮ่อยวนในฐานะเจ้าเมือง
อินชิงเสวียนไม่รู้จักการฝังโลหิต เหตุผลที่เกิดความสงสัย เพราะนางเห็นเลือดในวรยุทธ์ของอีกฝ่าย ในการฝึกฝนวรยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ต้องใช้เลือดของตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องใช้เลือดของอีกฝ่ายด้วยหลังจากอยู่ในเป่ยไห่หลายวัน นางก็มีความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับวรยุทธ์ของสำนักต่างๆ ซึ่งพลังยุทธ์ที่ชั่วร้ายนั้น เหมือนจะมีเพียงการฝังโลหิตเท่านั้นแต่ทำไมฉางเฮิ่นเทียนถึงใช้พลังยุทธ์นี้นี่คือเคล็ดวิชาลับเฉพาะตัวของตู้เยี่ยนไม่ใช่หรือหรือว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของตู้เยี่ยน?หรือว่า เขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับตู้เยี่ยน?ในหัวของอินชิงเสวียนเกิดความสับสน แต่ไม่นานนางก็สงบลงแค่พรุ่งนี้ลองหาโอกาสถามฉางเฮิ่นเทียนว่าอยู่บนเขาตลอดเวลาหรือไม่ แล้วก็จะทราบทุกอย่างโดยกระจ่างเองหลังจากนั้นนางก็ใช้ ทักษะช่วงชิงโชคลาภกับเฟิงเอ้อร์เหนียงทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง มันได้จริงๆ ที่เหลือก็ดูว่าจะมีการจำกัดจำนวนครั้งหรือไม่เมื่อคิดถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนก็สงบจิตใจ นำกระแสพลังทั้งสองนี้ไปใช้เป็นประโยชน์ของตัวเองเวลาผ่านไป เมื่อท้องฟ้าเริ่มสางอินชิงเสวียนก็ตื่นขึ้นอ
เมื่อมองดูวัตถุสีใสนี้ ความโลภก็แวบขึ้นมาในดวงตาของผู้อาวุโสหันอินชิงเสวียนสวมมันบนข้อมืออีกครั้ง แล้วพูดประชด “ดูเหมือนว่าคนในตำหนักเทพ อาจไม่ใช่ทุกคนที่มีความคิดแบบเดียวกับผู้อาวุโสหัน ต้องมีคนรู้ว่าเราสองแม่ลูกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้อาวุโสหัน จึงมาลักพาตัวคนไป ผู้อาวุโสหันไม่กวาดล้างภายในให้สะอาด แต่กลับมาสงสัยข้า ไม่คิดว่าจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังผิดพลาดงั้นหรือ”ผู้อาวุโสหันหรี่ตาลง เป็นเรื่องจริงที่ในตำหนักแห่งนี้ไม่ได้มีแต่คนที่เขาไว้ใจได้ทั้งหมด แต่...ใครเล่าจะกล้าขนาดนั้นจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องยุแยงตะแคงรั่ว ข้ารู้ดีว่าศิษย์ของตำหนักเทพเป็นอย่างไร”“เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไรมาก ถ้าเจอเด็ก ข้าสามารถรับปากได้ทุกอย่าง ถ้าหาไม่เจอ ท่านกับข้าก็ไม่ต้องคุยกัน”อินชิงเสวียนหันกลับมานั่งลงบนเตียงหิน หลับตาและไม่พูดอะไรผู้อาวุโสหันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ“อินชิงเสวียน เจ้าอย่าบีบคั้นกันเกินไป!”อินชิงเสวียนเลิกคิ้วขึ้น“ผู้อาวุโสหันไม่ใช่หรือที่บีบบังคับข้า ท่านบอกว่าจะปกป้องเราสองแม่ลูกอย่างดี แต่ตอนนี้เพิ่งขึ้นเขาได้วันเดียว เด็กก็หายไปแล้ว หรือว่า
“แม่อยากปกป้องนาง จะต้องแข็งแกร่งขึ้นอยู่แล้ว อีกเรื่อง ถ้าเจ้าเห็นแม่เลือดออกก็ไม่ต้องกลัว แม่ใช้ซอสมะเขือเทศหลอกพวกเขา”อินชิงเสวียนโบกมือแลกขวดซอสมะเขือเทศมา แล้วทาที่มุมปากตัวเอง“ดูสิ แบบนี้ไง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นนิ้วออกมาจิ้มที่มุมปากของอินชิงเสวียนแลว้เอาไปชิม“หวานจัง!”“ใช่ ดังนั้นมันแค่ของปลอม บางทีแม่ต้องแกล้งทำเป็นอ่อนแอ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องระแวงแม่”เพื่อไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงเหงา จึงต้องเปิดหน้าจอในมิติตลอดเวลา หากตัวเองต่อสู้กับคนอื่นแล้วได้รับบาดเจ็บ ลูกต้องเป็นห่วงแน่ๆ ฉะนั้นจะต้องป้องกันก่อนเสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าทันที“ลูกเข้าใจแล้ว”“เด็กดี”อินชิงเสวียนใช้ช้อนแบ่งผลไม้ออกเป็นชิ้นเล็กๆ เสี่ยวหนานเฟิงกินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วกอดท้องกลมๆ แล้วพูดเห็นฟันขาวเล็กๆ ว่า “อิ่มมากๆ”“ถ้าอย่างนั้นเรามาเรียนบทกวีโบราณกันก่อน แล้วค่อยไปเล่นบ้านล้มปราสาท”“ดี!”สองแม่ลูกเล่นกันสักพัก แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงเสื้อผ้าดังขึ้นข้างนอกมิติ“แม่ต้องออกไปดูก่อน ถ้าคนเลวรู้ว่าเราซ่อนตัวอยู่ในมิติ พวกเขาต้องมาตามหาเราในนี้แน่นอน ลูกเล่นไปก่อนนะ”“เด็จแม่ลุยเลย ไม่ต้องห่วงลูก”