สองวันต่อมา พวกของลู่เจินทั้งสามคนได้เตรียมงานเลี้ยงไหว้ครู ชวนเสิ่นว่านจือไปที่ตึกว่างเจียง ยังชวนท่านอ๋องและพระชายาไปเป็นพยานด้วยเสิ่นว่านจือรู้สึกเสียใจเล็กน้อยหลังจากกลับบ้านในวันนั้น ด้วยนิสัยใจคอของนางจะรับลูกศิษย์ได้อย่างไร มันจะรู้สึกไม่เป็นอิสระเมื่อถูกอะไรผูกมัด และนางก็อายุน้อยกว่าพวกเขาเสียอีก ไม่ใช่ว่าไม่สามารถแสดงอำนาจของอาจารย์ไม่ได้ แต่เพราะมันไม่จำเป็นต้องรับลูกศิษย์จริงๆ แค่สอนฝีมืให้ การเป็นอาจารย์เสิ่นก็ดีแล้วแหละ?เมื่อนางพยายามหาทางปฏิเสธ พวกเขาบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงไหว้ครู และจะจัดขึ้นที่ตึกว่างเจียงด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสำคัญกับเรื่องนี้มาก นี่มันทำให้นางเกิดความรู้สึกภูมิใจในตัวอย่างเหลือเชื่อเลยหลังจากคิดดูเรื่องนี้ให้ดีๆ แล้ว นางรู้สึกว่าถึงยังไงสถาบันชื่อเยียนจะถูกส่งมอบให้กับนางในอนาคต ดังนั้นก็รับไปเถอะหลังจากคิดตกแล้ว นางก็เลือกอาวุธที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา และพาเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีไปที่ตึกว่างเจียง หลังจากที่เสิ่นว่านจือยอมรับการกราบไหว้และถวายชาแล้ว นางก็พูดว่า "ให้ข้าขอชี้แจงข้อหนึ่งก่อน ที่พวกเจ้าทั้งสามไหว้ข้าเป็นอาจารย์ก็อย่าไปพูดข้างนอกท
หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงไหว้ครู เสิ่นว่านจือพูดกับซ่งซีซีข้ามักจะรู้สึกว่างานเลี้ยงไหว้ครูนี้เป็นเหมือนเรื่องตลก ข้าเองก็ทำลูกศิษย์ไม่ดีด้วยซ้ำ แล้วจะไปรับลูกศิษย์อีก และพวกเขามีอายุมากกว่าข้ามาก พวกเขายังเป็นสมาชิกของกองทัพซวนเจีย ถ้าข้าสอนพวกเขาไม่ดี จะไม่นำปัญหามาสู่คเจ้าในอนาคตเหรอ?"ซ่งซีซีจับมือของเสิ่นว่านจือ และให้เซี่ยหลูโม่กลับเรือนก่อน นางกับว่านจือเดินเล่นในสวน"หากเจ้าไม่ยินยอมก็ถือว่างานเลี้ยงไหว้ครู้นั้นไม่เคยเกิดขึ้น เจ้าเป็นอาจารย์เสิ่นของพวกเขา ส่วนไม่ว่าเจ้าจะสอนงานได้ดีหรือไม่นั้น ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย อาจารย์แค่สอนให้เฉยๆ แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเขาที่เรียนรู้ถึงขั้นไหน เจ้ามีวรยุทธ์ที่ดี เจ้าก็สามารถควบคุมพวกเขาได้ ถ้าพวกเขาฝึกไม่ดี นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า""ข้าแค่คิดว่าพวกเขาเป็นข้าราชการในราชสำนัก แต่ข้าใช้วิธีแวดวงการต่อสู้ไปสอนพวกเขามันจะไม่ค่อยดีหรือเปล่า?""แน่นอนว่าฝ่าบาทต้องการให้กองทัพซวนเจียจะแข็งแกร่งขึ้น เพราะกองทัพซวนเจียและกองทหารรักษาการณ์ในเมืองหลวงเป็นผู้ปกป้องพระราชวัง"เสิ่นว่านจือพึมพำ "มันสำคัญมา
คืนนี้ที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง ในที่สุดทุกคนก็ทานอาหารเย็นร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาได้สักทีจากนั้น ซ่งซีซีก็ตระหนักได้ว่าศิษย์พี่เสิ่นยังไม่กลับภูเขาเหม่ยชานเลย นางรู้สึกประหลาดใจมาก "ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ยังไม่กลับเหรอ? ข้านึกว่าพี่กลับไปแล้ว และยังบ่นว่าทำไมไม่บอกสักหน่อยก็ไปแล้วนี่"ซ่งซีซีถูกตีที่หัวอีกครั้ง และเสิ่นชิงเหอก็พูดด้วยความโกรธ "เจ้านี่ใจร้ายจริงๆ ข้าเรียกเจ้ามาหลายครั้ง แต่เจ้าก็ไม่สนใจข้า ข้ายังคิดอยู่ว่าตนเองทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือเปล่า แต่แล้วเจ้าไม่เห็นข้าเนี่ยนะ"เซี่ยหลูโม่รู้สึกเจ็บปวดใจมาก เขาลูบหลังศีรษะให้นาง แล้วอธิบายว่า "ช่วงนี้นางยุ่งมาก คงกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่เลยไม่ได้ยินที่ศิษย์พี่เรียกนาง... แค่พูดก็พอ อย่าลงมือสิ"น้ำเสียงของเซี่ยหลูโม่มีความเคารพ ถึงยังไงเขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ แต่ก็บ่นเล็กน้อยเช่นกันเสิ่นชิงเหอหัวเราะ "ก็ไม่ได้ออกแรงใดๆ นอกจากนี้ นางก็ชินกับมันแล้วนี่ ถ้าบอกว่าคนที่สอนบทเรียนให้นางมากที่สุด ก็ต้องเป็นอาจารย์ของเจ้า ศิษย์อาของข้าเลย"เซี่ยหลูโม่เงียบไปครู่หนึ่ง "บางครั้งอาจารย์ก็ลงมือไม่รู้จักหนักเบาด้วย เดี๋ยวมีโอกาสข้าจะว่าเขาด้วย"เสิ
อาจารย์หยูกล่าวว่า "ส่งยาไปแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวว่าเขารอดชีวิตมาได้หรือไม่"เสิ่นชิงเหอซึ่งไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองกล่าวว่า "สถานการณ์เมืองซีจิงในตอนนี้ซับซ้อนมาก รัชทายาทได้ดูแลประเทศไปแล้ว แต่ฮ่องเต้ไม่สิ้นพระชนม์ ขณะนี้ขุนนางเก่าเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งในราชสำนักคัดค้านต่อนโยบายการปกครองที่เกินเลยของรัชทายาท ยิ่งกว่านั้นแม้ว่ารัชทายาทจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอดีตรัชทายาท แต่เขาไม่เห็นด้วยกับนโยบายของอดีตรัชทายาทเลย ซูลันจีเคยสนับสนุนอดีตรัชทายาทอย่างเต็มที่ ดังนั้นต่อให้เขาไม่ตาย เกรงว่าสถานการณ์ก็จะไม่ดีเช่นกัน""ฮ่องเต้ดวงแข็งจริงๆ" เสิ่นว่านจือกล่าว "ไหนบอกว่าเขากำลังจะตายไปนานแล้ว แต่เขายังไม่สิ้นลมหายใจ เขาใช้อะไรมายืดอายุขัยทำให้เขาไม่ยอมหลับตาสักที?"เสิ่นชิงเหอกล่าวว่า "แน่นอนว่ามีความโกลาหลครั้งใหญ่ในประเทศ อดีตรัชทายาทเอาชนะใจประชาชนมาโดยตลอด และการส่งมอบช่วงต่อระหว่างฮ่องเต้องค์เก่ากับอดีตรัชทายาทก็เกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่แล้งอดีตรัชทายาทจากไปก่อน แล้วเปลี่ยนรัชทายาทคนใหม่ โดยพื้นฐานแล้ว ข้าราชการทั้งหมดเป็นคนของอดีตรัชทายาท รัชทายาทคนใหม่แม้แต่ซูลันจีก็ไม่สนับสนุน
เขากล่าวเสริมว่า "อาจารย์ของข้าเคยกล่าวไว้ว่า ซีซีเป็นลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในด้านศิลปะการต่อสู้ที่เขาเคยเห็นมา ท่าต่างๆ นางแค่มองดูคั้งเดียวก็สามารถทำได้แล้ว"เสิ่นชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม "อาจารย์ของเจ้าได้พูดอย่างนั้นจริงๆ แต่มีอีกประโยคข้างหลังเขายังไม่ได้บอกกับเจ้า นั่นคือนางขี้เกียจเกินไป วันๆ คิดแต่วิ่งรอบภูเขา ปีนต้นไม้ขุดรังนก จับงูพิษในรู แล้วกระดิกหางของหนูไปขู่เด็กๆ ไปทั่ว"กุ้นเอ๋อร์พูดอย่างไม่ความรู้สึก "ข้าก็เป็นเหยื่อด้วย นางกระดิกหางหนูมาหา แต่นางโยนหนูใส่ข้า ข้าร้องไห้และกลับไปหาอาจารย์ อาจารย์ก็ลงโทษข้า โดยบอกว่าลูกผู้ชายร้องไห้ไม่ได้ แต่วันรุ่งขึ้น อาจารย์ก็ไปสถาบันว่านซงเหมินเพื่อเอาความแล้ว"เสิ่นว่านจือก็รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย และพูดต่อว่า "ในที่สุดก็บรรลุข้อตกลงและลดค่าเช่าเป็นเวลาหนึ่งปีให้"ความรู้สึกสะเทือนใจของซ่งซีซีก็หายวาบไว้ นางพูดด้วยความเขินอาย "เรากำลังพูดถึงเรื่องเมืองซีจิงอยู่เลย ทำไมพูดถึงวัยเยาว์ของข้าได้อย่างไร กินข้าว กินเลย"กุ้นเอ๋อร์วางตะเกียบลงแล้วมองไปที่เสิ่นว่านจือ "ลดค่าเช่าหนึ่งปีเหรอ? จริงเหรอ? เจ้ารู้ได้อย่างไร""สถาบันชื
ณ จวนแม่ทัพหลังจากที่หวังชิงหลูมีอารมณ์ฉุนเฉียวมาครั้งหนึ่ง บวกกับอายุครรภ์ก็มากขึ้นเรื่อยๆ นางก็หยุดสร้างปัญหาอีกเลยเพียงแต่อาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าแย่ลงพอเข้าสู่ฤดูหนาว กินยามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ป่วยอยู่ตลอดพวกเขายังคงไม่สามารถตามหาหมอมหัศจรรย์ดันมาได้ เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกไม่สบาย ก็จะบ่นว่าหวังชิงหลูไม่มีความสามารถอย่างกับซ่งซีซี ซ่งซีซีรู้จักคนได้มากมายจริงๆหวังชิงหลูก็ไม่เอาแต่ใจนาง อย่าว่าแต่ดูแลผู้ป่วย แม้แต่มาทักทายก็ไม่มา แต่ละวันมีแต่นางหมิน ลูกสะใภ้คนโตคอยดูแลนางตลอดฮูหยินผู้เฒ่าบ่นกับจ้านเป่ยว่างว่า "ตอนนี้เจ้าเป็นผู้นำองครักษ์รักษาพระองค์แล้ว ทำไมแม้แต่ภรรยาของตนเองยังสั่งสอนไม่ได้ นางอกตัญญู ต่อต้าน และมักจะขัดแย้งกับแม่อยู่เสมอ มีภรรยาที่ไม่ดีจะนำความหายนะมาสู่สามชั่วอายุคนนะ"ตอนนี้ จ้านเป่ยว่างกำลังพัฒนาอาชีพการงานของเขาอยู่ และไม่ต้องการทะเลาะกับหวังชิงหลู ทุกครั้งต้องทะเลาะอย่างเหนื่อยทั้งกายและใจ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงปลอบแม่ในขณะที่ขอร้องให้พี่สาวดูแลท่านแม่ให้มากหน่อยนางหมินยังตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก "น้องรองดูแลท่านแม่เป็นหน้าที่ของข้
เมื่อกลับมาถึงเรือน หวังชิงหลูกำลังเย็บปักถักร้อย นางได้ทำตัวว่าง่ายขึ้นมากหลังจากทะเลาะในครั้งนั้นจ้านเป่ยว่างบอกนางด้วยความวิตกกังวลว่ามอบอำนาจในการดูแลบ้านให้กับพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว หวังชิงหลูเงยหน้าขึ้นและจ้องมองเขา "มันควรจะมอบให้กับพี่สะใภ้อยู่แล้ว อย่าว่าแต่ข้าท้องในตอนนี้ แม้ว่าข้าไม่ได้ท้องก็ไม่ควรให้ข้ามาดูแลจวน"จ้านเป่ยว่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก นั่งลงแล้วมองดูนาง แล้วพูดว่า "งานเย็บปักถักร้อยจะไม่ดีกับสายตาเจ้าอย่าทำเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่คนใช้ไป ข้าจำได้ว่างานเย็บปักถักร้อยของหงเอ๋อร์ก็ค่อนข้างดีเช่นกัน งั้นก็ให้นางทำเลย""ข้าในฐานะแม่ ข้าก็ต้องทำเสื้อผ้าให้ลูกตนเองสักสองสามชินสิ" หวังชิงหลูเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า "นอกจากนี้ แม้ว่าครอบครัวของเรามีสามคนมีเงินเดือน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่เช่นนี้ ท่านแม่ยังต้องกินยา ดังนั้นก็ช่วยประหยัดเงินด้วย"จ้านเป่ยว่างไม่รู้ว่าทำไมนางถึงพูดถึงการประหยัดเงิน ให้คนใช้ไปทำงานพวกนี้ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับประหยัดเงินนี่แต่ว่า ขอแค่นางไม่อารมณ์เสียก็พอ ตราบใดที่บ้านไม่เกิดปัญหา ชีวิตก็ยังไปต่อได้ตอนน
วันรุ่งขึ้น จ้านเป่ยว่าง เลิกงานดึก เลยซื้อเม็ดซืนเจียวไม่ได้ เลยฝากนางหมินไปซื้อเม็ดซืนเจียวที่ร้านขายยาเย่าหวังแปดเม็ดในวันพรุ่งนี้ จากนั้นช่วยคัดเลือกแม่นมและผดุงครรภ์ด้วยนางหมินรับปาก เพราะก็ต้องเตรียมยาดันเสวี่ยล่วงหน้าให้กับท่านแม่ด้วยแม้ว่านางก่อนหน้านี้นางอ้างว่าตนเองไม่สบายเลยไม่ได้ดูแลงานในบ้าน แต่ก็รู้ว่าจริงๆ แล้ว จวนแม่ทัพที่ดูยิ่งใหญ่นั้นมีเงินในบัญชีไม่เท่าไร ดังนั้นก่อนที่นางจะออกไปซื้อยาในวันรุ่งขึ้น จึงไปเบิกเงินที่ห้องบัญชี แต่กลับพบว่ามีเงินเพียงสิบตำลึงเท่านั้นนางรู้ว่าไม่มีเงิน แต่ไม่รู้ว่ามีเงินเหลือเพียงสิบตำลึงในจวนแม่ทัพเท่านั้น ซึ่งทำให้นางตกใจมากนางคิดว่าน่าจะมีอย่างน้อยสองสามร้อยตำลึงในบัญชี เพราะบ้านรองไม่ได้แยกออกไป และรายได้ส่วนใหญ่จากบ้านรองก็จะมอบให้บัญชีส่วนกลางเช่นกัน บวกกับเงินเดือนของสามีนาง ท่านพ่อด้วยและน้องรองจ้านเป่ยว่าง บวกกับทองคำหนึ่งร้อยตำลึงที่เป็นรางวัลนั้น ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีเงินเหลืออยู่สองสามร้อยตำลึงกระมัง?แต่แล้วกลับมีเงินเพียงสิบตำลึงเท่านั้นนางตรวจสอบบัญชีทีละรายการและพบว่าได้ใช้เงินไปกับสินเดิมของน้องสามวไปบ้าง ยี่ฝางม