วันนี้อากาศดีจริงๆ แสงอาทิตย์ส่องผ่านกิ่งก้านทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นสบายตัวสนมฮุ่ยไทเฟยนั่งบนเก้าอี้ในห้องโถงหลัก รับคำแสดงความยินดีจากแขก หัวหน้าลู่รับของขวัญพลางบันทึกไว้ในหนังสือพร้อมคนรับใช้ ของขวัญชิ้นไหนมาจากครอบครัวใดต้องบันทึกไว้ และค่อยหาเวลาประเมินมูลค่าอีกที เมื่ออีกฝ่ายได้จัดงานอะไรก็ต้องให้ของขวัญที่มีมูลค่าพอๆ กันกลับแขกที่มาวันนี้ มีแต่คนใหญ่คนโตทั้งนั้นฮูหยินและคุณหนูทุกท่านได้แต่หน้าแต่งตัวอย่างสวยงาม ต่างก็ดูแพงมากทีเดียว สนมฮุ่ยไทเฟยรัยิ้มจนหน้าแข็งทื่อแฃ้ว นางชายตาแลดูซ่งซีซี เห็นนางยังมีท่าทางเรียบร้อย รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงสดใส ราวกับว่ายิ้มจากใจจริงๆนางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่านางรับมือกับงานใหญ่ๆ แบบนี้ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อยเลยแขกชายได้รับการต้อนรับจากเซี่ยหลูโม่และอาจารย์หยู พวกเขานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของอาคารหลัก เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของไทเฟย ห้องโถงหลักจึงถูกสงวนไว้สำหรับไทเฟยและพวกสตรีด้วยเป็นเพราะไทเฟยมีสถานะพิเศษ นางจึงใช้ห้องโถงหลักของลานหลักองค์หญิงหมิ่นชิงและองค์หญิงฮุ่ยเจิงมาถึงแล้ว ฮูหยินเสนาบดีมาถึงแล้ว ฮูหยินของเจ้ากรมกระทรวงกลาโห
หลังจากที่เต๋อกุ้ยไทเฟยนั่งลงแล้ว นางก็ยิ้มและพูดว่า "เมื่อพูดถึงบุญคุณน่ะ งั้นก็เทียบกับท่านผู้เฒ่าจวนโหวเจี้ยนคังไม่ติดสิ"ฮูหยินผู้เฒ่าโหวเจี้ยนคังยิ้ม "ทุกคนในนี้ต่างก็เป็นคนมีบุญคุณด้วย เต๋อกุ้ยไทเฟยมีบุญคุณอยู่แล้ว สนมฮุ่ยไทเฟยก็เช่นกัน ได้ลูกสะใภ้แสนดี ยิ่งไปกว่านั้นเป่ยหมิงอ๋องก็สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมด้วย ต่างก็มีบุณคุณ"หลังจากได้ยินคำพูดนี้ สนมฮุ่ยไทเฟยก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย เป็นคนที่ผ่านโลกมามากย่อมรู้จัดการสถานการณ์ดีกว่าพวกนางสิ?คำพูดที่พูดอย่างส่งๆ นั้นก็ช่างเข้าหูทีเดียวทันใดนั้นนางก็ยิ้ม "ข้ากลับหวังว่าโม่เอ๋อจะใช้ชีวิตสบายๆ ในเมืองหลวงเช่นเดียวกันกับฉินอ๋อง มีภรรยาและลูกมากมาย ไม่ได้เหมือนบุตรชายอย่างข้าเป็นคนบ้างาน บางครั้งเห็นเขายุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ข้าก็รู้สึกเห็นใจเขาเลย"เต๋อกุ้ยไทเฟยยิ้ม "นั่นแสดงว่าโม่เอ๋อมีความสามารถ"ขณะที่นางพูดนั้น ก็อุ้มหลานชายไว้ในอ้อมแขนแล้วจูบเขาทีนึง จากนั้นมือน้อยๆ อวบๆ ของเขาก็กุมรอบคอของนาง แล้วกล่าวด้วยเสียงน่ารักว่า "เสด็จย่า"คำเรียกเสด็จย่านี้ทำเอาคนอื่นใจอ่อนระทวยทุกรายเลย สนมฮุ่ยไทเฟยเพิ่งจะได้ใจไม่นานนักก็เริ่มอ
สีหน้าของหวังชิงหลูแข็งทื่อตระกูลฝางงั้นเหรอ? นี่เป็นความทรงจำอันยาวนานจนนางเกือบลืมเรื่องตระกูลฝางไปแล้วนางรีบหามุมห้องนั่งลง ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดจากตระกูลฝางมา แม่สามีคนเก่าของนางคงไม่มา นางชอบอยู่บ้านไม่ค่อยออกไปไหนเลยแต่ทว่าพอนางนั่งลงก็เห็นฝางฮูหยินคอยช่วยพยุงนางลู่ แม่สามีเก่าของนางเข้ามาแล้วพร้อมกับคุณหนูหลายคนจากตระกูลฝางด้วย"อาสะใภ้ฝาง" ซ่งซีซีรีบก้าวไปข้างหน้าคารวะกับฮูหยินฝางเทียนสวี แล้วทักทายนางลู่ "ฮูหยินสบายดีไหม"เมื่อนางลู่เห็นซ่งซีซี ดวงตาของนางก็รู้สึกร้อนขึ้นมา มีสถานการณ์เดียวกัน เมื่อสบตากับซ่งซีซีนางอดไม่ได้ที่รู้สึกเห็ฯใจทว่านางรู้ดีว่าวันนี้เป็นวันอะไร ดังนั้นนางจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับอารมณ์ของตน และพูดด้วยรอยยิ้ม "พึ่งบารมีของพระชายา สบายดีเจ้าค่ะ"หลังจากที่นางพูดจบก็ติดตามฝางฮูหยินพร้อมกับเด็กๆ ไปข้างหน้าเพื่อคารวะสนมฮุ่ยไทเฟย จากนั้นทักทายกับองค์หญิงที่อยู่ ณ ที่นั้น เมื่อเหลือบมองรอบๆ นางลู่ก็เห็นหวังชิงหลูเข้านางสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นเดินตรงไปที่หวังชิงหลู "ชิงหลู ไม่เจอกันนาน บัดนี้สบายดีไหม"นางไม่รู้เกี่ยวกับการแต่งงานของหวังชิงหลู
บรรยากาศนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดจริงๆ แม้แต่สนมฮุ่ยไทเฟยซึ่งค่อนข้างเชื่องช้าก็ยังมองออกแล้ว นางเป็นคนแรกที่ลุกขึ้น "เมื่อไม่กี่วันก่อนซีซีได้เติมเต็มดอกไม้ล้ำค่ามากมายให้กับข้า ทุกคนไปรับชมกันดีกว่า และเฟื่องฟ้าบนผนังกำลังเบ่งบาน ดอกไม้สวยงามมาก หากไม่รับชมตอนนี้เมื่อรออีกสักพักคงจะเหี่ยวเฉาหมดแล้ว"ซ่งซีซีก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อกล่าวว่า "ใช่ ถ้าคนที่ไม่ชอบดูดอกไม้ และอยากดูงิ้วก็ตามข้าไปนะ"นางเข้าไปช่วยประคองสนมฮุ่ยไทเฟยเดินลงไป จากนั้นจึงเดินไปจับแขนนางลู่แล้วพูดเบาๆ ว่า "ไป ไปชมดอกไม้เป็นเพื่อนท่านกัน ไม่เจอกันนานมาก อยากคุยกับท่านให้หายคิดถึง"นางลู่ดูเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าทำไมหวังชิงหลูแต่งงานกับจ้านเป่ยว่าง ในเมื่อนางแต่งงานกับจ้านเป่ยว่าง ทำไมวันนี้นางต้องมาด้วยตระกูลฝางปล่อยนางกลับไป โดยหวังว่านางจะได้พบกับผู้ชายที่ดี แต่จ้านเป่ยว่างไม่ใช่อารมณ์ปัจจุบันของนางลู่น่าขยะแขยงพอๆ กับการกินแมลงวันเข้าปากไม่มีผิดบุตรชายของนาง คุณชายสิบเอ็ดเป็นคนโดดเด่นมากเพียงใด แม้ว่านางจะหาคนใหม่ ต่อให้ไม่ได้โดดเด่นเท่าบุตรชาย แต่ก็ไม่ควรเป็นคนชั่วที่ไร้คุณธร
ซ่งซีซีกล่าวว่า "ตระกูลหวังไม่ถูกรังแกได้ง่ายๆ หรอก ดังนั้นไม่ว่าจ้านเป่ยว่างจะเป็นคนแบบไหน ตราบใดมีจวนป๋อผิงซีอยู่ หวังชิงหลูจะไม่ถูกรังแกแน่ๆ"หลังจากหยุดชั่วครู่ นางก็พูดว่า "อย่าไปสนใจคนอื่นเลย ใช้ชีวิตของตนเองให้ดีก็พอ จะว่าไปบัดนี้ก็ไม่ใช่ครอบตรัวเดียวกันแล้ว หลังจากที่นางจากไปก็ไม่มีทางฝังหลุมฝังศพเดียวกันกับคุณชายสิบเอ็ด ใหเมื่อให้จดหมายหย่าแล้ว งั้นนางอยากจะแต่งกับผู้ใดก็เป็นเรื่องของนางเอง จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร นางก็ต้องยอมรับเอง"นางลู่ถอนหายใจช้าๆ "พระชายาพูดถูก เป็นข้าที่ยุ่งเรื่องคนอื่นมากไปจริงๆ"อันที่จริงนางไม่ได้สนิทกับซ่งซีซีเลย ตอนซ่งซีซียังเด็ก นางเคยพบมาไม่กี่ครั้งเอง ต่อมาซ่งซีซีกลับมาจากภูเขาเหม่ยชาน ทั้งสองครอบครัวก็ได้ไปมาหาสู่กันบ้าง แต่ตอนนั้นมีแต่ซ่งฮูหยินที่สุงสิงกับพวกนาง ซ่งซีซีมากสุดก็แค่เข้าไปคารวะเท่านั้นแต่เมื่อนางลู่เสียบุตรชายไปก็ราวกับเสียเสาหลักไป เมื่อเห็นซ่งซีซีก็คิดถึงบุตรชายของตนเองเคยอยู่ภายใต้คำสั่งของเสนาบดีกั๋วกง อีกทั้งเคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาเซียวด้วย เลยรู้สึกใกล้ชิดกับนางโดยยากจะอธิบายได้ขณะที่พวกนางกำลังคุยกันอยู่ มีส
นางจีถอนหายใจ "ครั้งนี้ไม่ได้เชิญนางสักหน่อย แต่นางยืนกรานที่จะมา ตอนแรกที่นางแต่งงานเข้าตระกูลฝาง และหลังจากที่น้องเขยเสียชีวิต พวกท่านไม่เพียงแต่คืนสินเดิมทั้งหมดให้ แถมยังมอบค่าทำขวัญของคุณชายสิบเอ็ดให้นาง บวกกับมอบร้านค้าสองร้าน ตอนนี้ของทั้งหมดนี้ถูดนำไปสู่จวนแม่ทัพแล้ว ในวันแต่งงานของนาง นางยังคิดที่จะแข่งสินเดิมกับพระชายาเป่ยหมิงอ๋องอีก""เดิมทีคำพูดเหล่านี้ข้าไม่ควรพูดกับท่าน แต่ข้าอดใจไม่ได้ ไม่อยากเห็นท่านต้องห่วงใยนางจนทุนข์ใจ ท่านอย่าไปวนใจนางเลย ดูแลร่างกายของตนเองให่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากคุณชายสิบเอ็ดอยู่ในสวรรค์ และเห็นท่านเศร้าโศกทุกวัน คงต้องอยู่ไม่สุขนะ"เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางลู่ก็รู้สึกตกใจอย่างยิ่งในใจของนางหวังชิงหลูไม่ใช่คนแบบนั้น นางเป็นคนรู้ความมีเหตุผล เคารพผู้ใหญ่ แต่ทำไมตอนนี้นางถึงกลายเป็นแบบนี้?ก่อนหน้านี้คือนางเสแสร้งหรือว่านางเปลี่ยนแล้วกันแน่?นางจีมองไปที่นางลู่ และมีคำบางคำกลิ้งอยู่ในลำคอของนางสักพัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา"ขอบคุณฮูหยินที่บอกเรื่องนี้" นนางลู่พูดอย่างขมขื่น "ข้าเคยปฏิบัติต่อนางเสมือนเป็นบุตรสาวของตน และข้าก็ทนเห็นนางต
หวังชิงหลูร้อนใจขึ้นมา "สิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น ข่าวลือข้างนอกไม่มีมูลความจริง ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้น ที่จวนแม่ทัพของข้าโดนเทอุจจาระใส่ก็เป็นฝีมือของนาง"นางลู่หันหลังจากไป นางเดินโซเซและหน้าซีด คำพูดของหวังชิงหลูทำให้นางเจ็บมากหลังจากฟังคำพูดของนางจี เดิมทีนางคิดว่าที่หวังชิงหลูแต่งงานกับจ้านเป่ยว่าง แม้ว่านางจะตอบตกลง แต่บอกว่านางถูกใจเขาก็ไม่เป็นจริงแต่หลังจากได้ยินคำพูดของนาง นางลู่ก็รู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว ถึงไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางจะเอาจ้านเป่ยว่างคนชั่วนั้นมาเทียบกับลูกของตนเองนางกลับไปหาฝางฮูหยิน และจับมือหลานสะใภ้ไว้แน่น ไม่เช่นนั้นนางกลัวจริงๆ ว่าตนเองจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้และทำลายงานวันเกิดของสนมฮุ่ยไทเฟยได้ฝางฮูหยินพานางกลับไปโรงงิ้วเพื่อนั่งลง เมื่อซ่งซีซีเห็นดังนั้น นางก็ถามว่า "ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? ไม่งั้นรีบกลับไปพักผ่อนเถะ เรามีเวลาอีกยาวนาน จะมาเมื่อไรก็ได้นี่น่ะ""พระชายาไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร" นางลู่ยังคงพยายามระงับอารมณ์ไม่พอใจเอาไว้เพื่อไม่ให้ตนเองเสียท่าซ่งซีซีพูดว่า "ไม่วงั้นให้ข้าพาท่านไปที่ห้องโถงดอ
ทุกสายตาจับจ้องไปที่จ้านเส้าฮวน จ้านเส้าฮวนแทบจะหลั่งน้ำตาหลังจากล้มลงอย่างแรงจนหัวเข่าและหน้าผากของนางก็เจ็บสาหัสแต่ความเจ็บปวดนั้นเป็นเรื่องรอง นางเกือบจะแตะต้องท่านอ๋องเข้าแล้วชัดๆนางคิดว่าแม้ว่าท่านอ๋องจะเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ แต่ผู้ชายล้วนมีความเห็นอกเห็นใจต่อสตรี เมื่อเห็นนางโน้วตัวจนกำลังจะล้มลงกับพื้น ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็จะเอื้อมมือไปช่วยโดยจิตใต้สำนึกแต่ในขณะที่นางคิดว่าตนเองจะประสบความสำเร็จนั้น จู่ๆ นางก็ดูเหมือนถูกพลังอะไรดึงไปข้างหน้า นางล้มตัวลงบนพื้น แต่ท่านอ๋องก็ถอยกลับไปสองสามก้าวในชั่วพริบตาความเร็วที่เขาถอยหลังนั้นเร็วจนทำเอาคนอื่นมองเห็นไม่ชัดเจน ราวกับว่าเขาไม่ได้ขยับตัวเลยนางเงยหน้าขึ้นด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา และสบตาเข้ากับดวงตาที่เย็นชาคู่หนึ่ง ซึ่งทำให้นางสั่นไปทั้งตัวสาวใช้ช่วยพยุงนางลุกขึ้น นางแทบจะยืนไม่มั่นคง พิงกับสาวใช้ นางมองดูท่านหญิงเจียอี้ด้วยสัญชาตญาณ แต่ท่านหญิงเจียอี้ก็เฝ้าดูอยู่ไม่ไกล โดยไม่มีทีท่าจะเข้าไปช่วยนางแม้แต่น้อยและทุกคนมองดูนางด้วยสายตาเสียดสีหรือวิจารณญาณ"จำได้แล้ว นางเป็นคุณหนูจากจวนแม่ทัพ ชื่อจ้านเส้าฮวน""
ในห้องหนังสือ โคมไฟยังคงส่องสว่าง หลังจากฟังคำพูดของเสิ่นชิงเหอแล้ว ซ่งซีซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก "เช่นนี้ ข้าจะได้หายไวๆ เสียที ข้ารู้สึกอึดอัดแทบบ้าแล้ว" อาจารย์หยูกล่าว "คืนนี้ช่างน่าหวาดเสียวเสียจริง" เสิ่นชิงเหอมองซ่งซีซี พลางถอนหายใจเบาๆ "หากเขาเอาอย่างเยี่ยนอ๋องจริงๆ เกรงว่าศิษย์น้องคงต้องทำตามแบบเซี่ยถิงเหยียนแล้วกระมัง" "เขารู้จักชั่งน้ำหนักผลลัพธ์" อาจารย์หยูกล่าว ซ่งซีซีรู้สึกหงุดหงิด "ข้าว่าเขาช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก ตอนข้ายังเล็ก เขาสนิทสนมกับพี่ชายทั้งสองของข้าและมองข้าเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ต่อมาพอข้าเข้าราชสำนัก เขาก็ปฏิบัติต่อข้าในฐานะขุนนางโดยแท้ แล้วเหตุใดจู่ๆ เขาถึงมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้?" อาจารย์หยูกล่าว "มันใช่จะเกิดขึ้นกะทันหันหรือ? พระชายาอ๋องลืมหรือไม่ว่า ตอนที่กลับมาจากการกอบกู้หนานเจียง เขาเคยคิดจะให้ท่านเข้าไปในวังเป็นสนมของเขา" "ข้าเข้าใจมาตลอดว่า เขาต้องการใช้ข้าเพื่อบังคับให้ศิษย์น้องสละอำนาจในกองทัพเสียอีก" อีกทั้งในตอนนั้น ด้วยความที่ข้าเป็นบุตรีของซ่งฮวยอัน การให้ข้าเข้าวังยังเป็นการป้องกันไม่ให้ใครที่มีจิตคิดร้ายแต่งข้าไปอีกด้
ภาพวาดของเสิ่นชิงเหอนั้นฝีมือประณีตยิ่งนัก ละเอียดอ่อนและสมจริงราวกับมีชีวิต ทุกคนมองดูภาพวาดบนกระดาษ จากนั้นจึงหันไปมองจักรพรรดิ์ซูชิงที่ยังประทับอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ทรงแสดงอาการอ่อนล้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าพระองค์ได้ก้าวเข้าไปอยู่ในภาพนั้นแล้ว แม้แต่สีพระพักตร์ก่อนหน้านี้ก็เหมือนถ่ายทอดออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน รายละเอียดต่างๆ ไม่ถูกมองข้าม แม้แต่ริ้วรอยบางๆ รอบดวงพระเนตร เส้นผมสีขาวที่ข้างพระเกศา ปานสีดำเล็กๆ ใต้ริมพระโอษฐ์ด้านขวา และร่องพระโอษฐ์ ทุกอย่างถูกถ่ายทอดไว้อย่างครบถ้วน แม้ว่าฉลองพระองค์จะยังไม่ได้ลงสี แต่ลวดลายบนฉลองพระองค์ก็ถูกวาดออกมาอย่างครบถ้วนไร้ข้อผิดพลาด จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรภาพของพระองค์เองอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก พระองค์ทรงนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะยกพระหัตถ์แตะพระพักตร์ของพระองค์เอง “ข้าดูแก่ขึ้นจริงๆ” ตามปกติพระองค์แทบไม่ได้ส่องคันฉ่อว แม้จะส่องก็ไม่ได้ชัดเจนเท่านี้ “ฝ่าบาทมิได้แก่เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทยังดูเหมือนเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง” อู๋ต้าปั้นกล่าวประจบ จักรพรรดิ์ซูชิงทรงแย้มพระสรวล ทอดพระเนตรอู๋ต้าปั้นพร้อมส่ายพระพักตร์เล็
จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนจะทรงได้สติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวัง ไม่ได้ทรงเลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงแย้มพระสรวล “ไม่ต้องเคร่งครัดนัก ทำตัวตามสบาย เฮ้อ ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดในใจเลยอยากมาที่จวนอ๋องเพื่อสนทนากับอาจารย์เสิ่น” ซ่งซีซีจึงกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่ขัดพระองค์และศิษย์พี่ ขออนุญาตกลับไปพักผ่อน” “ไม่ต้องรีบไป ในเมื่อมาแล้วก็มาร่วมพูดคุยกันเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงมองนางด้วยสายพระเนตรที่ดูเป็นห่วง “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งซีซีที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นต้องวางมือลงอีกครั้ง ตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย กระหม่อมดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่หมอหลวงกำชับให้พักฟื้นบนเตียงสักระยะ” “อืม” จักรพรรดิ์ซูชิงพยักพระพักตร์ “บาดเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูก ควรต้องพักรักษาให้ดี” แม้พระองค์จะตรัสเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทรงอนุญาตให้นางกลับไป ทั้งห้องจึงมีทั้งผู้ที่นั่งและยืนอยู่เงียบๆ เพื่อรอพระราชดำรัส ผ่านไปสักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงทรงทำลายความเงียบขึ้นก่อน “มีอาหารว่างหรือไม่? ข้าหิวแล้ว” อู๋ต้าปั้นเมื่อได้ยินรีบกล่าว “ฝ่าบาทยังมิได้เสวยอาหารค่ำ รีบจัดเตร
ข่าวคราวเรื่องราวในห้องหนังสือและตำหนักฉือหนิงได้ถูกนำขึ้นกราบทูลถึงพระกรรณของจักรพรรดิ์ซูชิง ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดพระทัยยิ่งนัก รวมทั้งการวางแผนงานตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้พระอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระองค์ทรงยกเลิกการกักบริเวณฮองเฮา โดยแท้จริงแล้วก็เพื่อเตรียมตัวให้องค์ชายใหญ่ หากจะทรงแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจมีมารดาที่ถูกกักบริเวณได้ ตอนแรกทรงคิดว่า ช่วงเวลากักบริเวณนี้ ฮองเฮาคงจะได้สำนึกผิด ทราบดีว่าการตามใจบุตรไม่ต่างอะไรกับการผลักดันบุตรไปสู่ความตาย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮองเฮาไม่เพียงไม่สำนึกผิด กลับยิ่งเชื่อว่าการมีพระโอรสอยู่ใกล้ตัวจะช่วยเสริมความมั่นคงให้ตำแหน่งพระมเหสีของนาง เนื่องจากไม่ค่อยอยากอาหาร พระกระยาหารค่ำในวันนั้น พระองค์เสวยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อประทังพระอุทร ก่อนเสวยยา พระองค์จำเป็นต้องเสวยยา เพราะแต่ละวันผ่านไปนับเป็นกำไร แต่ด้วยวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่นับถอยหลังเข้ามาใกล้ หลังจากทรงวางแผนการ พระทัยกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พระองค์ทรงทราบดีว่าทุกคนล้วนต้องผ่านความตายนี้ แต
ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ
สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์
รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล
คืนนี้ เสนาบดีมู่พักอยู่ในวัง จักรพรรดิ์ซูชิงยังคงไม่ได้เสด็จไปยังฝ่ายใน หรือแม้แต่ห้องบรรทมของพระองค์เอง แต่กลับพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่นในห้องทรงพระอักษร เสนาบดีมู่มองพระองค์เสวยยาเสร็จ แล้วหยิบขนมหวานมอบให้ จักรพรรดิ์ซูชิงรับมาแต่ยังไม่เสวย ทรงยิ้มด้วยสายตา "จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เสด็จพ่อเคยทรงลงโทษข้าในห้องทรงพระอักษร พอออกมา ท่านเสนาบดีจะให้ขนมหวานข้าหนึ่งชิ้น พร้อมคำให้กำลังใจ" เสนาบดีมู่มองพระองค์ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ยังจำได้ ฝ่าบาทเคยตรัสกับกระหม่อมว่า จะทรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าทำให้ท่านผิดหวังหรือไม่?" จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยขนมหวานเข้าไป น้ำเสียงจึงพร่ามัว เสนาบดีมู่กล่าว "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าไม่ใช่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความเศร้าหมอง "ข้ายังมีปณิธานอีกมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสทำได้" "สำนักหมอหลวงยังไม่ได้ลงความเห็นแน่ชัด ฝ่าบาทไม่ควรทรงหมดกำลังใจ" เสนาบดีมู่กล่าวปลอบ แม้ถ้อยคำจะดูแห้งแล้ง "ข้าเพียงมีเรื่องให้เสียใจอยู่บ้าง แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดการณ์ใหญ่" จักรพรรดิ์ซูชิงเอนกายลงบน
เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ซ่งซีซีสมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่แทบไม่มีข้อกังขาว่าจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และคาดว่าไม่นานตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้ง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเยาว์ขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่ใช่เพียงคนเดียว ซึ่งจะทำให้ราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย สถานการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวาย หากไม่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อาจเป็นไทเฮาหรือฉีฮองเฮาที่ปกครองราชสำนักแทน ฮองเฮาเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้ถูกกักบริเวณก็ยังคงวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ ตระกูลฉีมีอำนาจใหญ่โต แม้ช่วงนี้จะถูกฝ่าบาทกดดัน แต่หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต และองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลฉีก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ใครจะไม่อยากได้อำนาจ? เสนาบดีมู่ชราภาพและมีความคิดที่จะวางมือ แม้เขาอยากจะช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอาจไม่เอื้ออำนวย นี่เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากฝ่าบาทเหลือเวลาเพียงหนึ่งปี พระองค์ย่อมจะกวาดล้างอุปสรรคและภัยคุกคามทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้องค์ชายใหญ่ก่อนเสด็จสวรรคต และจวนเป่ยหมิงอ๋องก็คือภัยคุกคามที่