หยูจินพูดด้วยรอยยิ้ม "มีพระชายาอยู่ จะไม่ให้เจ้าเสียเปรียบหรอก เจ้าแค่ทำงานของเจ้าให้ดี หลังจากทหารประจำจวนเข้าจวนแล้ว จะให้เจ้ามาดูแลและฝึกฝน เหนื่อยเช่นนี้ ย่อมมีค่าตอบแทนพิเศษให้ด้วย"กุ้นเอ๋อร์ไม่อยากได้ยินคำพูดคลุมเครือเช่นนี้ เขาจึงถามตรงๆ ว่า "แล้วเท่าไหร่ล่ะ?"อาจารย์หยูจินชูหนึ่งนิ้วขึ้นแล้วพูดว่า "ยอดนี้"ตอนนี้กุ้นเอ๋อร์มีท่อนไม้แท่งหนึ่งอยู่ในใจและอยากจะฟาดหัวอาจารย์หยูจินตรงๆ เลย จะบอกตรงๆ ไม่ได้หรือไง ต้องให้เขาเดาแบบนี้"แค่บอกว่าจะทำหรือไม่ทำ!" เซี่ยหลูโม่ถาม"ทำ!" กุ้นเอ๋อร์ตอบรับทันที เดี๋ยวค่อยหาโอกาสให้ซีซีไปถามให้ว่ามันเท่าไหร่กันแน่ถึงยังไงงานนี้ต้องทำอยู่แล้ว หากหาเงินส่งกลับนิกายไม่ได้ กุ้นเอ๋อร์โดนแน่ๆ"ได้ เรื่องรับสมัครคนนั้นเจ้าไม่ต้องสนใจ เจ้าแค่เป็นหัวหน้ากล่ม ช่วยฝึกฝนให้พวกเขาดีๆ ก็พอ" อาจารย์หยูจินกล่าวกุ้นเอ๋อร์ตอบว่า "ได้ แต่ในจวนอ๋องแห่งนี้สามารถรองรับคนจำนวนมากเช่นนี้ได้หรือ?"หัวหน้าลู่กล่าวว่า "เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ด้านหลังจวนอ๋องยังมีพื้นที่ว่าง เราจะหาช่างฝีมือในปีหน้า ตราบใดที่มีเงินเพียงพอ ก็สามารถสร้างเสร็จได้เร็วๆ นี้""แล้ว
ซ่งซีซีกล่าวว่า "นางป่วย จึงย้ายไปที่สำนักแม่ชีชิงมู่ ข้อแรก นางต้องการสถานที่ที่สงบเพื่อพักฟื้น และข้อที่สอง นางต้องการได้รับการคุ้มครองจากพระโพธิสัตว์ในสำนักแม่ชีชิงมู่"เซียนหนิงไม่เข้าใจ "เป็นเพราะนางป่วย ยิ่งต้องการอยู่ในจวนอ๋องเยี่ยนไม่ใช่หรือ อย่างน้อยหากมีเรื่องอะไร คนในจวนก็จะรู้เรื่องได้"แม้แต่เรื่องที่เซียนหนิงก็เข้าใจ แล้วอ๋องเยี่ยนจะไม่รู้ได้ยังไงอันที่จริงซ่งซีซีกังวลมากจริงๆ อาณาเขตสำหรับอ๋องเยี่ยนอยู่ในเยี่ยนโจว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักแม่ชีชิงมู่และเมืองหลวงมากนักถ้าบอกว่าถูกส่งไปพักฟื้น จะส่งนางกลับเมืองหลวงจะไม่ดีกว่าหรือ? อย่างน้อยในเมืองหลวงมีจวน และมีหมอหลวงและหมอมหัศจรรย์ดันคอยดูแลนางตอนนี้ไปอยู่สำนักแม่ชีชิงมู่แล้ว หมอมหัศจรรย์ดันได้ส่งจวี๋ชุนและชิงเชวี่ยไปดูแลนาง แต่สุดท้ายแล้ว ข้างกายไม่มีคนของตนเอง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเหงาซ่งซีซีกล่าวว่า "ข้าไปดูสักหน่อยก็จะรู้แล้ว ช่วงนี้รบกวนเสด็จแม่ช่วยข้าดูแลรุ่ยเอ๋อร์สักหน่อย""ได้ ข้าจัดการให้" เมื่อสนมฮุ่ยไทเฟยเห็นว่าตนเองสามารถช่วยซ่งซีซีได้ นางก็ตบหน้าอกทันทีพลางรับประกันนี่ทำให้องค์หญิงเซียนหนิงดู
ซ่งซีซีคิดทบทวนเรื่องอดีตในใจ และพูดเศร้าๆ ว่า "ข้าแค่กลัวว่าอาการของนางจะแย่ลงกะทันหัน มันจะเกี่ยวข้องกับข้าด้วย"เดิมทีเสิ่นว่านจือต้องการซ่อนสิ่งนี้ แต่เนื่องจากนางเดาได้ นางจึงบอกว่า "ถูกต้อง ตอนแรกนางไม่รู้ มันเป็นนางจินที่จงใจบอกนาง หลังจากที่นางรู้เรื่องแล้วก็อาเจียนเลือดออกมา และอาการของนางก็แย่ลง ข่าวนี้ไม่ได้สืบมาจากร้านอวี๋นยี่ เป็นหงเชวี่ยบอกข้า โดยบอกว่าให้ข้าพิจารณาเองว่าจะบอกเจ้าหรือไม่""ฉันพอจะเดาได้" ซ่งซีซีพูดอย่างเศร้าๆ "นางคือแม่สื่อสำหรับการแต่งงานของข้า แม้ว่านางเป็นแม่สื่อที่แนะนำและรับประกัน แต่จริงๆ แล้วท่านแม่ของข้าก็สอบถามมากเช่นกัน หลายปีมานี้จวนแม่ทัพตกอับก็จริง แต่ไม่ได้สร้างปัญหาไว้ บวกกับนางหมินไร้ความสามารถ หลังจากข้าแต่งเข้าไปก็ไม่ต้องกังวลเรื่องโดนพี่สะใภ้รังแก ส่วนบ้านใหญ่กับบ้านรองก็สามารถรักษาความสามัคคีกัน อย่างน้อยให้คนอื่นเห็นแล้วเป็นเช่นนั้น""อย่าคิดมาก รอจนกว่าเจ้าจะพบท่านป้าของเจ้าที่สำนักแม่ชีชิงมู่แล้ว ค่อยวางแผนต่อ" เสิ่นว่านจือปลอบใจคนไม่เก่ง โดยคิดเสมอว่าหากต้องการจัดการเรื่อง ก็ต้องให้คนที่เกี่ยวข้องมีใจอยากจะแก้ถึงจะทำได้ไม่ว่าย
ทันใดนั้นดวงตาของเสิ่นว่านจือกลับเต็มไปด้วยน้ำตา นางพิงไหล่ของซ่งซีซี และสะอื้นว่า "ข้าเคยคิดอย่างไรมาก่อนล่ะ ข้าหวังว่านักวิชาการคนนั้นจะปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ดีและนางจะเสียใจ จากนั้นหลังจากนักวิชาการคนนั้นได้ทนทุกข์ทรมานในโลกนี้แล้ว ก็รู้สึกเสียใจด้วย พวกเขากลายเป็นศัตรูกันและสาปแช่งกัน"ซ่งซีซีลูบไหล่ของนาง "เจ้าไม่ใช่คนเลวทรามขนาดนั้น""ข้าคิดแบบนี้จริงๆ ข้าเลวทราม แต่แค่เจ้าไม่รู้" ดวงตาของเสิ่นว่านจือว่างเปล่า "ตอนนี้นอกจากข้าแล้ว คนที่บ้านล้วนไม่ชอบพวกเขา แม้แต่คนใช้เก่าในจวน ก็ยังแอบด่าพวกเขาว่าเป็นคนนำโชคร้ายให้ที่บ้าน""แล้วทำไมพวกเขาถึงกลับมาล่ะ"เสิ่นว่านจือกล่าวว่า "สุขภาพของท่านย่าแย่ลง ท่านอาข้าเลลยอยากกลับไปพบนางสักครั้ง บางทีอาจจะคิดถึงคนในครอบครัว เลยเช่าบ้านพักแถวบ้าน วันเว้นวันก็จะมาคุกเข่าที่หน้าประตู โดยคิดว่าพอเวลาผ่านไปนานๆ แล้ว ท่านย่าจะยอมพบนางสักครั้ง ทว่าท่านปู่ท่านย่าจะยอมเจอนางได้ยังไง ยิ่งไม่มีทางให้นางเหยียบเข้าไปประตูตระกูลเสิ่นแม้แต่ก้าวเดียว ไม่เช่นนั้นมันจะยากที่จะสงบสติอารมณ์โกรธของคนอื่นๆ ในตระกูล"ซ่งซีซีคิดว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ สตรีของตระกูลเสิ
เนื่องจากการแต่งงานของซ่งซีซี เสิ่นว่านจือจึงกลับบ้านครั้งหนึ่งเพื่อให้สมาชิกในครอบครัวของนาง และสถาบันชื่อเยียนมอบของขวัญงานแต่งงานเป็นสินเดิมให้ซ่งซีซีแม้ว่าเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ทว่าหากอ๋องเยี่ยนไปสู่ขอ ต้องเดินทางจากเยี่ยนโจวไปตระกูลเสิ่นที่เมืองเจียงหนาน ตามระยะทาง งั้นก็คือเวลาไม่นานหลังจากที่นางกลับจากตระกูลเสิ่นไปยังสถาบันชื่อเยียนนี่ อ๋องเยี่ยนก็ไปขอนางแต่งงานเหรอ?ส่วนตระกูลเสิ่นส่งคนไปจัดสินเดิมให้ซีซี ก็น่าจะเป็นเวลาหลังจากที่นางกลับสถาบันชื่อเยียนไม่กี่วันก็ไปเมืองหลวงจิงแล้ว ดังนั้นตอนรวมตัวกับคนของตระกูลเสิ่นที่เมืองหลวงนั้น พวกเขาน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้เสิ่นว่านจือระเบิดอารมณ์ทันที "อ๋องเยี่ยนนี่ไม่รู้จักละอายใจบ้างหรือไง เขาอยุเท่าไรแล้ว ยังกล้ามาสู่ขอข้า จดหมายหย่าส่งมาตอนไหน อาจไม่แน่เขาไปสู่ขอก่อนแล้วค่อยส่งจดหมายหย่ามา ไอ้แก่ไม่ตายนี่ ข้าจะฆ่าเขา"อาจเป็นเพราะเอาแต่พูดถึงอ๋องเยี่ยนๆ พระชายาอ๋องเยี่ยนจึงหลั่งน้ำตา และดวงตาที่หมองคล้ำของนางก็เพ่งความสนใจไปที่ซ่งซีซีอย่างตั้งใจในที่สุดนางจำได้แล้วนางร้องไห้ออกมาด้วยการสะอื้น และร้องไห้อย่างหนักในทันท
ด้วยกลัวว่านางจะรู้สึกกระวนกระวายใจอีกครั้ง ชิงเชวี่ยจึงฝังเข็นให้นางอีกครั้ง และให้นางนอนหลับสบายก่อน จากนั้นจึงสั่งยาบรรเทาอาการ ซึ่งต้องกินในช่วงเวลาสองวันนี้เสิ่นว่านจืออ่านจดหมายหย่านั้น แล้วทุบโต๊ะให้พังแล้วด้วยแม่นางจากสำนักแม่ชีชิงมู่มาส่งอาหารเจให้ ชิงเชวี่ยสั่งให้คนไปรับมา และไปกินที่ลานด้านข้างได้รู้จากชิงเชวี่ยว่าเจ้าอาวาสสำนักแม่ชีชิงมู่เป็นคนใจดีและเห็นใจกับพระชายาอ๋องเยี่ยนมากส่วนแม่ชีคนอื่นๆ จะไม่มารบกวนนาง และของกินของใช้ไม่ได้ขาดแคลนนาง เพียงแต่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้"ด้วยร่างกายของท่านป้า แม้แต่แกงเนื้อสัตว์ยังไม่ได้กิน มันจะได้ยังไง" ซ่งซีซีถามอย่างเป็นกังวล"แม้ว่าจะให้นางกิน นางก็กินไม่ลง" ชิงเชวี่ยส่ายหัว นางสวมเสื้อผ้าหยาบ คลึมเสื้อกันหนาวหนาๆ เอาไว้ "เดิมทีอยู่จวนอ๋องก็ไม่ค่อยได้กินแกงแล้ว แม้แต่ดมกลิ่นเนื้อสัตว์ก็ไม่ไหว นางเพื่อเรื่องบางเรื่อง ได้กินเจมานานแล้ว"ข่าวที่นางได้ยินมาจากชิงเชวี่ย เหมือนกับที่เสิ่นว่านจือบอกนาง เกือบทั้งหมดท่านป้ามีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวสองคน ลูกชายไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของนาง เลี้ยงดูเขามาอย่างดีแต่ตอนนี้ก็แค่เป็นคนธรรมดา ไม
ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นแล้วถามชิงเชวี่ยว่า "อาการป่วยของท่านป้าข้ายังมีวิธีอื่นไหม สามารถชวนอาจารย์ของเจ้ามาด้วยได้ไหม"ชิงเชวี่ยกล่าวว่า"อาจารย์เคยมามานานแล้ว แต่แค่ไม่ได้บอกคุณหนู อาจารย์บอกว่า นางก็แค่อยู่แบบฆ่าเวลา ไม่รู้จะอยู่ต่ออีกนานแค่ไหน หากหยุดกินยา คงภายในวันสองวันแหละ"ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นมาทันที "หยุดกินยาไม่ได้"ชิงเชวี่ยพูดอย่างจนใจ "แม้ว่าไม่ได้หยุด ถึงสามารถผ่านสิ้นนี้นี้ได้ ก็อาจจะไม่รอดถึงวันที่สิบห้าเดือนหน้าหรอก"ซ่งซีซีหลั่งน้ำตาออกมา นางไม่รู้จริงๆ ว่าท่านป้าของนางจะป่วยหนักขนาดนี้ และหมอมหัศจรรย์ดันก็ไม่ได้บอกนาง หงเชวี่ยมักจะอยากพูดอะไรแต่ก็เงียบตลอด นางน่าจะเดาได้นานแล้ว"ตอนนี้เรากำลังฝังเข็นให้ เพื่อให้นางเจ็บปวดน้อยลง อย่างน้อยเมื่อถึงวันนั้นจริงๆ นางก็จะไม่ได้จากไปอย่างเจ็บปวดมาก" ชิงเชวี่ยปลอบใจนางแบบนี้ในฐานะแพทย์ นางเคยเห็นผู้ป่วยจำนวนมากเสียชีวิต แต่สำหรับพระชายาอ๋องเยี่ยน นางก็รู้สึกเสียใจมากรู้สึกทุกข์ใจมากกว่าคนๆ หนึ่งต้องโชคร้ายขนาดไหนที่ถูกสามีและลูกสาวตนเองรังเกียจและทอดทิ้ง ครอบครัวพ่อแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ อยู่สถานที่ห่างไกลมาก ในฤดูหนาวจัดเช่
"ฮิฮิ ข้าอยากจะแอบบุกเข้าไปในจวนอ๋อง และฆ่าอ๋องเยี่ยนให้จบๆ ไปเลย" เสิ่นว่านจือพูดคนนี้ออกมาหลังจากพลิกตัวไปมาหลายรอบ"อย่าโง่ไปเลย ทำร้ายเชื้อพระวงศ์เจ้าอยากให้ทั้งครอบครัวของเจ้าตายเป็นเพื่อนเจ้าหรือไง" ซ่งซีซีหันไปมองนาง "เจ้ากังวลว่าครอบครัวของเจ้าจะยอมรับการแต่งงานครั้งนี้?"เสิ่นว่านจือวางมือไว้ด้านหลังศีรษะ "ข้าไม่รู้ แต่ท่านพ่อย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ท่านปู่มักจะตามใจข้าอยู่เสมอ ดังนั้นข้าเชื่อว่าเขาจะไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ตระกูลเสิ่นต้องการมีโอกาสเกี่ยวดองกับตระกูลชั้นสูงสักครั้งเพื่อกู้ชื่อเสียงกลับมา ก็กลัวว่าคนในตระกูลอื่นๆ จะให้ความกดดันจนบีบบังคับให้ท่านพ่อและท่านปู่ต้องยอมรับการแต่งงานนี้""ต่อให้ตอบตกลงแล้ว เจ้าก็จะไม่แต่งอยู่ดี""ใช่ ข้าจะไม่แต่ง" น้ำเสียงของเสิ่นว่านจือเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ "แต่ในเมื่อตอบตกลงการแต่งงานนี้ ถ้าข้าไม่แต่ง ก็ต้องมีสตรีอื่นในตระกูลที่ต้องมาแต่งแทน จะให้คนอื่นมาเสียสละเพื่อข้า ข้าทำไม่ลงคอ โดยเฉพาะเป็นพี่น้องในตระกูลของข้าด้วย"นางกังวลใจมาก และอยากกลับบ้านของตระกูลเสิ่นนทีเลย"เจ้าจะกลับไหม" ซ่งซีซีถาม"อยากกลับ แต่ข้าจะไม่กล
จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนจะทรงได้สติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวัง ไม่ได้ทรงเลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงแย้มพระสรวล “ไม่ต้องเคร่งครัดนัก ทำตัวตามสบาย เฮ้อ ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดในใจเลยอยากมาที่จวนอ๋องเพื่อสนทนากับอาจารย์เสิ่น” ซ่งซีซีจึงกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่ขัดพระองค์และศิษย์พี่ ขออนุญาตกลับไปพักผ่อน” “ไม่ต้องรีบไป ในเมื่อมาแล้วก็มาร่วมพูดคุยกันเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงมองนางด้วยสายพระเนตรที่ดูเป็นห่วง “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งซีซีที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นต้องวางมือลงอีกครั้ง ตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย กระหม่อมดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่หมอหลวงกำชับให้พักฟื้นบนเตียงสักระยะ” “อืม” จักรพรรดิ์ซูชิงพยักพระพักตร์ “บาดเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูก ควรต้องพักรักษาให้ดี” แม้พระองค์จะตรัสเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทรงอนุญาตให้นางกลับไป ทั้งห้องจึงมีทั้งผู้ที่นั่งและยืนอยู่เงียบๆ เพื่อรอพระราชดำรัส ผ่านไปสักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงทรงทำลายความเงียบขึ้นก่อน “มีอาหารว่างหรือไม่? ข้าหิวแล้ว” อู๋ต้าปั้นเมื่อได้ยินรีบกล่าว “ฝ่าบาทยังมิได้เสวยอาหารค่ำ รีบจัดเตร
ข่าวคราวเรื่องราวในห้องหนังสือและตำหนักฉือหนิงได้ถูกนำขึ้นกราบทูลถึงพระกรรณของจักรพรรดิ์ซูชิง ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดพระทัยยิ่งนัก รวมทั้งการวางแผนงานตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้พระอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระองค์ทรงยกเลิกการกักบริเวณฮองเฮา โดยแท้จริงแล้วก็เพื่อเตรียมตัวให้องค์ชายใหญ่ หากจะทรงแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจมีมารดาที่ถูกกักบริเวณได้ ตอนแรกทรงคิดว่า ช่วงเวลากักบริเวณนี้ ฮองเฮาคงจะได้สำนึกผิด ทราบดีว่าการตามใจบุตรไม่ต่างอะไรกับการผลักดันบุตรไปสู่ความตาย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮองเฮาไม่เพียงไม่สำนึกผิด กลับยิ่งเชื่อว่าการมีพระโอรสอยู่ใกล้ตัวจะช่วยเสริมความมั่นคงให้ตำแหน่งพระมเหสีของนาง เนื่องจากไม่ค่อยอยากอาหาร พระกระยาหารค่ำในวันนั้น พระองค์เสวยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อประทังพระอุทร ก่อนเสวยยา พระองค์จำเป็นต้องเสวยยา เพราะแต่ละวันผ่านไปนับเป็นกำไร แต่ด้วยวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่นับถอยหลังเข้ามาใกล้ หลังจากทรงวางแผนการ พระทัยกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พระองค์ทรงทราบดีว่าทุกคนล้วนต้องผ่านความตายนี้ แต
ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ
สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์
รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล
คืนนี้ เสนาบดีมู่พักอยู่ในวัง จักรพรรดิ์ซูชิงยังคงไม่ได้เสด็จไปยังฝ่ายใน หรือแม้แต่ห้องบรรทมของพระองค์เอง แต่กลับพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่นในห้องทรงพระอักษร เสนาบดีมู่มองพระองค์เสวยยาเสร็จ แล้วหยิบขนมหวานมอบให้ จักรพรรดิ์ซูชิงรับมาแต่ยังไม่เสวย ทรงยิ้มด้วยสายตา "จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เสด็จพ่อเคยทรงลงโทษข้าในห้องทรงพระอักษร พอออกมา ท่านเสนาบดีจะให้ขนมหวานข้าหนึ่งชิ้น พร้อมคำให้กำลังใจ" เสนาบดีมู่มองพระองค์ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ยังจำได้ ฝ่าบาทเคยตรัสกับกระหม่อมว่า จะทรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าทำให้ท่านผิดหวังหรือไม่?" จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยขนมหวานเข้าไป น้ำเสียงจึงพร่ามัว เสนาบดีมู่กล่าว "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าไม่ใช่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความเศร้าหมอง "ข้ายังมีปณิธานอีกมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสทำได้" "สำนักหมอหลวงยังไม่ได้ลงความเห็นแน่ชัด ฝ่าบาทไม่ควรทรงหมดกำลังใจ" เสนาบดีมู่กล่าวปลอบ แม้ถ้อยคำจะดูแห้งแล้ง "ข้าเพียงมีเรื่องให้เสียใจอยู่บ้าง แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดการณ์ใหญ่" จักรพรรดิ์ซูชิงเอนกายลงบน
เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ซ่งซีซีสมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่แทบไม่มีข้อกังขาว่าจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และคาดว่าไม่นานตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้ง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเยาว์ขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่ใช่เพียงคนเดียว ซึ่งจะทำให้ราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย สถานการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวาย หากไม่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อาจเป็นไทเฮาหรือฉีฮองเฮาที่ปกครองราชสำนักแทน ฮองเฮาเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้ถูกกักบริเวณก็ยังคงวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ ตระกูลฉีมีอำนาจใหญ่โต แม้ช่วงนี้จะถูกฝ่าบาทกดดัน แต่หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต และองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลฉีก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ใครจะไม่อยากได้อำนาจ? เสนาบดีมู่ชราภาพและมีความคิดที่จะวางมือ แม้เขาอยากจะช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอาจไม่เอื้ออำนวย นี่เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากฝ่าบาทเหลือเวลาเพียงหนึ่งปี พระองค์ย่อมจะกวาดล้างอุปสรรคและภัยคุกคามทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้องค์ชายใหญ่ก่อนเสด็จสวรรคต และจวนเป่ยหมิงอ๋องก็คือภัยคุกคามที่
ผู้ที่ควรมาเยี่ยมก็มาเยี่ยมกันครบแล้ว ซ่งซีซีจึงสามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจ มีเพียงหมอหลวงหลินที่ยังมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมนำยารักษาและยาลดรอยแผลเป็นมาให้ อาจารย์หยูมักจะคอยอยู่ข้างๆ คอยกล่าวขอบคุณหมอหลวงหลิน และฝากให้ช่วยกราบทูลขอบพระทัยฝ่าบาท วันหนึ่ง หมอหลวงหลินมาพร้อมกับอู๋ต้าปั้น อาจารย์หยูเห็นว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงเชิญหมอหลวงหลินออกไปอ้างว่าขอคำแนะนำเรื่องรอยแผลเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้พระชายาได้พูดคุยกับอู๋ต้าปั้นตามลำพัง ซ่งซีซีเชิญอู๋ต้าปั้นนั่งลงแล้วถามว่า "ฝ่าบาททรงส่งท่านมาหรือ?" อู๋ต้าปั้นถือพัดขนนกวางไว้ที่ข้อศอก มองไปที่องครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงส่งข้ามา และข้าก็อยากมาเอง พระชายาบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีลังเลเล็กน้อย ก่อนมองเขาตรงๆ แล้วถามว่า "ท่านคิดว่า บาดแผลข้าหายดีแล้วหรือ?" อู๋ต้าปั้นถอนหายใจ "พระชายาโปรดอภัย บาดแผลดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้" ซ่งซีซีฝืนยิ้ม "อย่างที่ท่านว่ามา ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้" "พระชายาอย่าใจร้อน รีบพักฟื้นเถิด" อู๋ต้าปั้นกล่าว ซ่งซีซีพูดเบาๆ "ข้าก็ใจร้
หยานหรูอวี้ย่อตัวคำนับ "เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่าน ขอตัวเจ้าค่ะ" "เดินทางดีๆ นะ!" จีซูเซิ่นยิ้มส่งด้วยความอบอุ่น หลังจากหยานหรูอวี้จากไป จีซูเซิ่นหันไปมองหวังชิงหรู เห็นแววตาของนางที่เคยสดใสกลับมืดมนและเต็มไปด้วยความเศร้าใจ จีซูเซิ่นรู้ว่านางกำลังเสียใจอีกครั้งจึงกล่าวว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไร้ประโยชน์ เข้าไปข้างในเถอะ" การที่หวังชิงหรูมาหาซ่งซีซีในวันนี้ ต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาล เพราะนางติดค้างซ่งซีซีทั้งคำขอโทษและคำขอบคุณ ที่บอกว่ามากับพี่สะใภ้ในวันนี้ ที่จริงแล้วคือการเผชิญหน้ากับเรื่องราวในอดีต แต่ทว่านางอาจจะประเมินตัวเองสูงเกินไป แม้จะสามารถโน้มน้าวใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับซ่งซีซีได้ แต่ในวินาทีที่เห็นหยานหรูอวี้ นางก็รู้สึกอธิบายไม่ถูก เหมือนโดนบางสิ่งกระแทกอย่างแรงจนสมองโล่งว่างเปล่า รอยยิ้มที่ยกขึ้นมาก็ดูฝืนเหลือเกิน นางกลัวเหลือเกินว่าจะร้องไห้ออกมา นางเดินตามพี่สะใภ้ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรองอย่างไร้ชีวิตชีวา และเมื่อได้พบซ่งซีซี น้ำตาก็เอ่อท้นอยู่ในดวงตา ซ่งซีซีมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงพร้อมรอยยิ้ม และรินชาให้ จีซูเซิ่นมองดู