จะอายไม่อายนั้น สุดท้ายทั้งสองคนก็แช่น้ำด้วยกันหลังจากแช่น้ำเสร็จแล้ว ภายในม่านสีแดงก็ยังคงนัวเนียกันอยู่ ดีที่ทั้งคู่เป็นผู้ฝึกทักษะการต่อสู้มา แม้ว่าพวกเขาจะนอนแค่หนึ่งหรือสองชั่วยาม แต่ก็ยังทนได้เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ก็เห็นหญิงวัยกลางแปลกหน้าสองคนเดินเข้ามารับใช้เซี่ยหลูโม่นี่คือหัวหน้าลู่จัดให้ เดิมทีป้าสองคนนี้ทำงานในห้องเย็บผ้า เนื่องจากตอนนี้ข้างกายท่านอ๋องไม่มีคนใช้ และก็ไม่เหมาะที่จะให้ชายรับใช้เข้าเรือนคอยดูแลเรื่องการแต่งกายในส่วนของสาวใช้ที่อยู่เคียงข้างพระชายา รุ่ยจูและตูงจูไปรับใช้คุณชายรุ่ยเอ๋อร์ ในขณะที่เป่าจู เสวียจูและหมิงจูอยู่เคียงข้างกับพระชายาเพื่อรับใช้นางอย่างใกล้ชิดแม่นมเหลียงดูแลเรื่องเรือนดอกบ๊วยทั้งหมด ย่อมไม่สามารถรบกวนนางมาดูแลหากส่งสาวน้อยไปดูแล เกรงว่าพวกนางอาจมีความคิดอื่นแอบแฝง สู้ไม่ได้ที่จะให้ป้าหยินและป้าฉงจากห้องปักเย็บมาเพื่อรับใช้ท่านอ๋อง ทั้งคู่มีอายุประมาณสี่สิบปี ทำงานจริงจังและละเอียด ไม่เกิดความคิดอื่นฝดได้จะว่าไป ป้าทั้งสองคนนี้ก็ได้รับพระราชทานจากไทเฮาตอนที่ท่านอ๋องสร้างจวนอ๋อง ก่อนหน้านี้รับใช้ไทเฮาอยู่ ดังนั้นจึงคอยไ
หยูจินพูดด้วยรอยยิ้ม "มีพระชายาอยู่ จะไม่ให้เจ้าเสียเปรียบหรอก เจ้าแค่ทำงานของเจ้าให้ดี หลังจากทหารประจำจวนเข้าจวนแล้ว จะให้เจ้ามาดูแลและฝึกฝน เหนื่อยเช่นนี้ ย่อมมีค่าตอบแทนพิเศษให้ด้วย"กุ้นเอ๋อร์ไม่อยากได้ยินคำพูดคลุมเครือเช่นนี้ เขาจึงถามตรงๆ ว่า "แล้วเท่าไหร่ล่ะ?"อาจารย์หยูจินชูหนึ่งนิ้วขึ้นแล้วพูดว่า "ยอดนี้"ตอนนี้กุ้นเอ๋อร์มีท่อนไม้แท่งหนึ่งอยู่ในใจและอยากจะฟาดหัวอาจารย์หยูจินตรงๆ เลย จะบอกตรงๆ ไม่ได้หรือไง ต้องให้เขาเดาแบบนี้"แค่บอกว่าจะทำหรือไม่ทำ!" เซี่ยหลูโม่ถาม"ทำ!" กุ้นเอ๋อร์ตอบรับทันที เดี๋ยวค่อยหาโอกาสให้ซีซีไปถามให้ว่ามันเท่าไหร่กันแน่ถึงยังไงงานนี้ต้องทำอยู่แล้ว หากหาเงินส่งกลับนิกายไม่ได้ กุ้นเอ๋อร์โดนแน่ๆ"ได้ เรื่องรับสมัครคนนั้นเจ้าไม่ต้องสนใจ เจ้าแค่เป็นหัวหน้ากล่ม ช่วยฝึกฝนให้พวกเขาดีๆ ก็พอ" อาจารย์หยูจินกล่าวกุ้นเอ๋อร์ตอบว่า "ได้ แต่ในจวนอ๋องแห่งนี้สามารถรองรับคนจำนวนมากเช่นนี้ได้หรือ?"หัวหน้าลู่กล่าวว่า "เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ด้านหลังจวนอ๋องยังมีพื้นที่ว่าง เราจะหาช่างฝีมือในปีหน้า ตราบใดที่มีเงินเพียงพอ ก็สามารถสร้างเสร็จได้เร็วๆ นี้""แล้ว
ซ่งซีซีกล่าวว่า "นางป่วย จึงย้ายไปที่สำนักแม่ชีชิงมู่ ข้อแรก นางต้องการสถานที่ที่สงบเพื่อพักฟื้น และข้อที่สอง นางต้องการได้รับการคุ้มครองจากพระโพธิสัตว์ในสำนักแม่ชีชิงมู่"เซียนหนิงไม่เข้าใจ "เป็นเพราะนางป่วย ยิ่งต้องการอยู่ในจวนอ๋องเยี่ยนไม่ใช่หรือ อย่างน้อยหากมีเรื่องอะไร คนในจวนก็จะรู้เรื่องได้"แม้แต่เรื่องที่เซียนหนิงก็เข้าใจ แล้วอ๋องเยี่ยนจะไม่รู้ได้ยังไงอันที่จริงซ่งซีซีกังวลมากจริงๆ อาณาเขตสำหรับอ๋องเยี่ยนอยู่ในเยี่ยนโจว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักแม่ชีชิงมู่และเมืองหลวงมากนักถ้าบอกว่าถูกส่งไปพักฟื้น จะส่งนางกลับเมืองหลวงจะไม่ดีกว่าหรือ? อย่างน้อยในเมืองหลวงมีจวน และมีหมอหลวงและหมอมหัศจรรย์ดันคอยดูแลนางตอนนี้ไปอยู่สำนักแม่ชีชิงมู่แล้ว หมอมหัศจรรย์ดันได้ส่งจวี๋ชุนและชิงเชวี่ยไปดูแลนาง แต่สุดท้ายแล้ว ข้างกายไม่มีคนของตนเอง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเหงาซ่งซีซีกล่าวว่า "ข้าไปดูสักหน่อยก็จะรู้แล้ว ช่วงนี้รบกวนเสด็จแม่ช่วยข้าดูแลรุ่ยเอ๋อร์สักหน่อย""ได้ ข้าจัดการให้" เมื่อสนมฮุ่ยไทเฟยเห็นว่าตนเองสามารถช่วยซ่งซีซีได้ นางก็ตบหน้าอกทันทีพลางรับประกันนี่ทำให้องค์หญิงเซียนหนิงดู
ซ่งซีซีคิดทบทวนเรื่องอดีตในใจ และพูดเศร้าๆ ว่า "ข้าแค่กลัวว่าอาการของนางจะแย่ลงกะทันหัน มันจะเกี่ยวข้องกับข้าด้วย"เดิมทีเสิ่นว่านจือต้องการซ่อนสิ่งนี้ แต่เนื่องจากนางเดาได้ นางจึงบอกว่า "ถูกต้อง ตอนแรกนางไม่รู้ มันเป็นนางจินที่จงใจบอกนาง หลังจากที่นางรู้เรื่องแล้วก็อาเจียนเลือดออกมา และอาการของนางก็แย่ลง ข่าวนี้ไม่ได้สืบมาจากร้านอวี๋นยี่ เป็นหงเชวี่ยบอกข้า โดยบอกว่าให้ข้าพิจารณาเองว่าจะบอกเจ้าหรือไม่""ฉันพอจะเดาได้" ซ่งซีซีพูดอย่างเศร้าๆ "นางคือแม่สื่อสำหรับการแต่งงานของข้า แม้ว่านางเป็นแม่สื่อที่แนะนำและรับประกัน แต่จริงๆ แล้วท่านแม่ของข้าก็สอบถามมากเช่นกัน หลายปีมานี้จวนแม่ทัพตกอับก็จริง แต่ไม่ได้สร้างปัญหาไว้ บวกกับนางหมินไร้ความสามารถ หลังจากข้าแต่งเข้าไปก็ไม่ต้องกังวลเรื่องโดนพี่สะใภ้รังแก ส่วนบ้านใหญ่กับบ้านรองก็สามารถรักษาความสามัคคีกัน อย่างน้อยให้คนอื่นเห็นแล้วเป็นเช่นนั้น""อย่าคิดมาก รอจนกว่าเจ้าจะพบท่านป้าของเจ้าที่สำนักแม่ชีชิงมู่แล้ว ค่อยวางแผนต่อ" เสิ่นว่านจือปลอบใจคนไม่เก่ง โดยคิดเสมอว่าหากต้องการจัดการเรื่อง ก็ต้องให้คนที่เกี่ยวข้องมีใจอยากจะแก้ถึงจะทำได้ไม่ว่าย
ทันใดนั้นดวงตาของเสิ่นว่านจือกลับเต็มไปด้วยน้ำตา นางพิงไหล่ของซ่งซีซี และสะอื้นว่า "ข้าเคยคิดอย่างไรมาก่อนล่ะ ข้าหวังว่านักวิชาการคนนั้นจะปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ดีและนางจะเสียใจ จากนั้นหลังจากนักวิชาการคนนั้นได้ทนทุกข์ทรมานในโลกนี้แล้ว ก็รู้สึกเสียใจด้วย พวกเขากลายเป็นศัตรูกันและสาปแช่งกัน"ซ่งซีซีลูบไหล่ของนาง "เจ้าไม่ใช่คนเลวทรามขนาดนั้น""ข้าคิดแบบนี้จริงๆ ข้าเลวทราม แต่แค่เจ้าไม่รู้" ดวงตาของเสิ่นว่านจือว่างเปล่า "ตอนนี้นอกจากข้าแล้ว คนที่บ้านล้วนไม่ชอบพวกเขา แม้แต่คนใช้เก่าในจวน ก็ยังแอบด่าพวกเขาว่าเป็นคนนำโชคร้ายให้ที่บ้าน""แล้วทำไมพวกเขาถึงกลับมาล่ะ"เสิ่นว่านจือกล่าวว่า "สุขภาพของท่านย่าแย่ลง ท่านอาข้าเลลยอยากกลับไปพบนางสักครั้ง บางทีอาจจะคิดถึงคนในครอบครัว เลยเช่าบ้านพักแถวบ้าน วันเว้นวันก็จะมาคุกเข่าที่หน้าประตู โดยคิดว่าพอเวลาผ่านไปนานๆ แล้ว ท่านย่าจะยอมพบนางสักครั้ง ทว่าท่านปู่ท่านย่าจะยอมเจอนางได้ยังไง ยิ่งไม่มีทางให้นางเหยียบเข้าไปประตูตระกูลเสิ่นแม้แต่ก้าวเดียว ไม่เช่นนั้นมันจะยากที่จะสงบสติอารมณ์โกรธของคนอื่นๆ ในตระกูล"ซ่งซีซีคิดว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ สตรีของตระกูลเสิ
เนื่องจากการแต่งงานของซ่งซีซี เสิ่นว่านจือจึงกลับบ้านครั้งหนึ่งเพื่อให้สมาชิกในครอบครัวของนาง และสถาบันชื่อเยียนมอบของขวัญงานแต่งงานเป็นสินเดิมให้ซ่งซีซีแม้ว่าเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ทว่าหากอ๋องเยี่ยนไปสู่ขอ ต้องเดินทางจากเยี่ยนโจวไปตระกูลเสิ่นที่เมืองเจียงหนาน ตามระยะทาง งั้นก็คือเวลาไม่นานหลังจากที่นางกลับจากตระกูลเสิ่นไปยังสถาบันชื่อเยียนนี่ อ๋องเยี่ยนก็ไปขอนางแต่งงานเหรอ?ส่วนตระกูลเสิ่นส่งคนไปจัดสินเดิมให้ซีซี ก็น่าจะเป็นเวลาหลังจากที่นางกลับสถาบันชื่อเยียนไม่กี่วันก็ไปเมืองหลวงจิงแล้ว ดังนั้นตอนรวมตัวกับคนของตระกูลเสิ่นที่เมืองหลวงนั้น พวกเขาน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้เสิ่นว่านจือระเบิดอารมณ์ทันที "อ๋องเยี่ยนนี่ไม่รู้จักละอายใจบ้างหรือไง เขาอยุเท่าไรแล้ว ยังกล้ามาสู่ขอข้า จดหมายหย่าส่งมาตอนไหน อาจไม่แน่เขาไปสู่ขอก่อนแล้วค่อยส่งจดหมายหย่ามา ไอ้แก่ไม่ตายนี่ ข้าจะฆ่าเขา"อาจเป็นเพราะเอาแต่พูดถึงอ๋องเยี่ยนๆ พระชายาอ๋องเยี่ยนจึงหลั่งน้ำตา และดวงตาที่หมองคล้ำของนางก็เพ่งความสนใจไปที่ซ่งซีซีอย่างตั้งใจในที่สุดนางจำได้แล้วนางร้องไห้ออกมาด้วยการสะอื้น และร้องไห้อย่างหนักในทันท
ด้วยกลัวว่านางจะรู้สึกกระวนกระวายใจอีกครั้ง ชิงเชวี่ยจึงฝังเข็นให้นางอีกครั้ง และให้นางนอนหลับสบายก่อน จากนั้นจึงสั่งยาบรรเทาอาการ ซึ่งต้องกินในช่วงเวลาสองวันนี้เสิ่นว่านจืออ่านจดหมายหย่านั้น แล้วทุบโต๊ะให้พังแล้วด้วยแม่นางจากสำนักแม่ชีชิงมู่มาส่งอาหารเจให้ ชิงเชวี่ยสั่งให้คนไปรับมา และไปกินที่ลานด้านข้างได้รู้จากชิงเชวี่ยว่าเจ้าอาวาสสำนักแม่ชีชิงมู่เป็นคนใจดีและเห็นใจกับพระชายาอ๋องเยี่ยนมากส่วนแม่ชีคนอื่นๆ จะไม่มารบกวนนาง และของกินของใช้ไม่ได้ขาดแคลนนาง เพียงแต่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้"ด้วยร่างกายของท่านป้า แม้แต่แกงเนื้อสัตว์ยังไม่ได้กิน มันจะได้ยังไง" ซ่งซีซีถามอย่างเป็นกังวล"แม้ว่าจะให้นางกิน นางก็กินไม่ลง" ชิงเชวี่ยส่ายหัว นางสวมเสื้อผ้าหยาบ คลึมเสื้อกันหนาวหนาๆ เอาไว้ "เดิมทีอยู่จวนอ๋องก็ไม่ค่อยได้กินแกงแล้ว แม้แต่ดมกลิ่นเนื้อสัตว์ก็ไม่ไหว นางเพื่อเรื่องบางเรื่อง ได้กินเจมานานแล้ว"ข่าวที่นางได้ยินมาจากชิงเชวี่ย เหมือนกับที่เสิ่นว่านจือบอกนาง เกือบทั้งหมดท่านป้ามีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวสองคน ลูกชายไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของนาง เลี้ยงดูเขามาอย่างดีแต่ตอนนี้ก็แค่เป็นคนธรรมดา ไม
ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นแล้วถามชิงเชวี่ยว่า "อาการป่วยของท่านป้าข้ายังมีวิธีอื่นไหม สามารถชวนอาจารย์ของเจ้ามาด้วยได้ไหม"ชิงเชวี่ยกล่าวว่า"อาจารย์เคยมามานานแล้ว แต่แค่ไม่ได้บอกคุณหนู อาจารย์บอกว่า นางก็แค่อยู่แบบฆ่าเวลา ไม่รู้จะอยู่ต่ออีกนานแค่ไหน หากหยุดกินยา คงภายในวันสองวันแหละ"ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นมาทันที "หยุดกินยาไม่ได้"ชิงเชวี่ยพูดอย่างจนใจ "แม้ว่าไม่ได้หยุด ถึงสามารถผ่านสิ้นนี้นี้ได้ ก็อาจจะไม่รอดถึงวันที่สิบห้าเดือนหน้าหรอก"ซ่งซีซีหลั่งน้ำตาออกมา นางไม่รู้จริงๆ ว่าท่านป้าของนางจะป่วยหนักขนาดนี้ และหมอมหัศจรรย์ดันก็ไม่ได้บอกนาง หงเชวี่ยมักจะอยากพูดอะไรแต่ก็เงียบตลอด นางน่าจะเดาได้นานแล้ว"ตอนนี้เรากำลังฝังเข็นให้ เพื่อให้นางเจ็บปวดน้อยลง อย่างน้อยเมื่อถึงวันนั้นจริงๆ นางก็จะไม่ได้จากไปอย่างเจ็บปวดมาก" ชิงเชวี่ยปลอบใจนางแบบนี้ในฐานะแพทย์ นางเคยเห็นผู้ป่วยจำนวนมากเสียชีวิต แต่สำหรับพระชายาอ๋องเยี่ยน นางก็รู้สึกเสียใจมากรู้สึกทุกข์ใจมากกว่าคนๆ หนึ่งต้องโชคร้ายขนาดไหนที่ถูกสามีและลูกสาวตนเองรังเกียจและทอดทิ้ง ครอบครัวพ่อแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ อยู่สถานที่ห่างไกลมาก ในฤดูหนาวจัดเช่
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้
นายท่านเซียวแปดออกคำสั่งให้ไปสืบหาเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้จ้านเป่ยว่างเป็นผู้นำกำลังไปสืบข่าวตามที่ต่างๆเรื่องที่ซ่งซีซีเดินทางมายังชายแดนเฉิงหลิงนั้น จ้านเป่ยว่างรู้ดี วันนั้นตอนที่คณะทูตเดินทางมาถึงเขตเมือง เขายืนดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับเขายืนอยู่ไกลมาก ถึงขั้นที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน เห็นเพียงเงารางๆ คล้ายกับเป็นนางเท่านั้นเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองช่างทำเรื่องเปล่าประโยชน์ นางกับเขายังมีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก? เรื่องราวของเมืองหลวง เขาสมควรอยู่ให้ห่างที่สุดในระหว่างที่คณะทูตพักอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาต่างก็ใช้เวลาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจรจา รวมถึงจำลองสถานการณ์หลายครั้งทุกคนต่างเข้าใจดีว่าการเจรจาครั้งนี้ แม้จะง่ายกว่าครั้งก่อน แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริงนี่คือเรื่องที่จักรพรรดิ์นีใส่พระทัยเป็นอย่างยิ่ง นางจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ แน่นอนทางตระกูลเซียวเองก็เป็นกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามอาจส่งคนเข้ามาสืบความลับเกี่ยวกับกลยุทธ์ของคณะทูต หากพวกเขาล่วงรู้แผนการ ก็สามารถรับมือได้ทันการณ์ ซึ่งจะทำให้แคว้นซางเสียเปรียบดังนั้น นายท่านเซียวแปดจึงสั่
หอชุนหม่านในวันนี้เต็มแน่นไปหมดเดิมทีโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ปกติก็มีแขกมารับประทานอยู่บ้าง แต่เมื่อสตรีผู้นั้นพาคนชุดดำเข้ามา พวกเขาก็จับจองที่นั่งที่เหลือทั้งหมดซ่งซีซี เสิ่นว่านจือ และกุ้นเอ๋อร์ทั้งสามคน ถูกเจ้าของร้านเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว แยกออกจากพวกเขาเสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นข้างหูนาง แฝงแววขอโทษเล็กน้อย ทั้งยังฟังดูอบอุ่นน่าฟังยิ่งนัก “พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายของข้า เช่นเดียวกับข้า ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืนเลย หากแม่นางไม่สบายใจ ข้าจะให้พวกเขารออยู่ที่หน้าประตู แล้วแต่ละคนรับหมั่นโถวไปคนละลูกก็พอ”เสิ่นว่านจือถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ไม่จำเป็นหรอก นั่งตามสบาย อยากกินอะไรก็สั่งมาเถิด”บุรุษคนนั้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่นางทั้งงดงามและมีจิตใจเมตตานัก เช่นนั้นพวกข้าก็จะสั่งอาหารตามสบายแล้วกัน ขอมากหน่อย”“ได้…ได้สิ” เสิ่นว่านจือพยักหน้า แล้วกวาดตามองคนชุดดำที่เต็มร้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายบางอย่างที่แขนเสื้อ ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษร แต่เพราะเสื้อเหล่านั้นยับย่นและเปรอะเปื้อนจนมองแทบไม่อ