ทว่า เรื่องที่จวนเสนาบดีกั๋วกงมาทวงหนี้ คนรับใช้ก็รายงานเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าตามหาจ้านเป่ยว่างเพื่อสอบถามรายละเอียดทันทีจ้านเป่ยว่างรู้ว่าเขาไม่สามารถซ่อนเรื่องนี้ได้ คนรับใช้จำนวนมากได้เห็นและได้ยิน ดังนั้นเขาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางทราบฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมากจนหน้าเขียวคล้ำถมึงทึงและสาปแช่ง "หายนะ เจ้าได้แต่งงานกับหายนะจริงๆ แล้วทำไมเจ้าถึงตกหลุมรักนางในตอนนั้น? การพังสิ่งของในจวนทุกวันยังไม่เพียงพอ กลับไปจวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อพังของอีกด้วย และจวนเสนาบดีกั๋วกงในตอนนี้เป็นฝ่ายที่เรากล้ามีปัญหาได้หรือ นางไม่สองกระจกบ้างหรือ ไปจวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อขายขี้หน้าใช่ไหม"ฮูหยินผู้เฒ่าสาปแช่งไปพลางจับหน้าอกของนาง "ช่างเป็นหายนะ ช่างเป็นหายนะจริงๆ นางต้องตามหาซ่งซีซี เพื่อหยุดการแต่งงานของเจ้ากับครอบครัวหวัง"ทันใดนั้นจ้านเป่ยว่างก็ตระหนักได้ว่านางจะไม่ยั่วยุซ่งซีซีโดยไม่มีเหตุผล ต้องมีเหตุผลอะไร หรือว่าจะเป็นอย่างที่ท่านแม่พูด เพราะเรื่องแต่งงานระหว่างเขากับตระกูลหวังหรือเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ จ้านเป่ยว่างก็อารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาการแต่งงานครั้งนี้ เขาก็เป็นฝ่ายถูกบังคับ เป็
ในที่สุด จ้านเป่ยว่างก็ไปหายี่ฝาง เขาไม่ต้องการทะเลาะกันอีกต่อไป พวกเขาจำเป็นต้องพูดคุยกันดีๆ ให้เข้าใจกันเมื่อเข้าห้องก็เห็น นางนอนอยู่บนที่นอนโดยห่มผ้าห่มไว้ ใบหน้าของนางยังคงคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำเนื่องจากที่ใบหน้ามีรอยแผลเป็น นางก็ทำผ้าคลุมหลากสีสันมากมาย หากไม่มีผ้าคลุมหน้าหรือหมวกคลุมศีรษะนางจะไม่มีทางออกไปข้างนอกเมื่อก่อนที่เห็นนาง นางดูเหมือนนักชนไก่อยู่เสมอ อยากจะสู้กับเขาทุกที่ทุกเวลาแต่วันนี้ นางอยู่ในสภาพนิ่งเงียบและดูเหมือนป่วยหนัก เมื่อเห็นเขา นางก็เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองแวบนึงแล้วหรี่ตาลง จากนั้นก็เพิกเฉยต่อเขาเมื่อสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ นางเห็นเช่นนั้น จึงพูดว่า "ท่านแม่ทัพ ท่านมาสักที ฮูหยินไม่สบายมาสองวันแล้วเจ้าคะ"เขารู้ว่านางตามหาหมอประจำจวนมา จึงถามว่า "อาการดีขึ้นหรือยัง"ยี่ฝางหันหน้าออกไป และไม่คุยกับเขาวันนี้ ดูเหมือนทั้งสองต่างก็ไม่อยากทะเลาะกันจ้านเป่ยว่างนั่งบนเก้าอี้ เงียบอยู่นาน และพูดว่า "วันนี้ ท่างฝั่งจวนเสนาบดีกั๋วกงมาทวงเงิน"ดวงตาของยี่ฝางเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางรู้เรื่องนี้ สาวใช้ได้มารายงานแล้ว"เจ้าต้องการสื่ออะไร กล่าวหาว่าข้าไปก่อเรื่องท
จ้านเป่ยว่างออกไปจากจวน และเขามีความรู้สึกนึงติดอยูาในใจ อยากจะมุ่งหน้าไปที่จวนเสนาบดีกั๋วกงเขาต้องการถามซ่งซีซีด้วยตนเองว่าพวกเขายังมีความเป็นไปได้หรือไม่แม้ว่าวันนี้ยี่ฝางพูดว่าซ่งซีซีไม่เห็นเขามีค่าเลย ต่อให้ทัศนคติของซ่งซีซีจะบอกชัดเจนอยู่แล้วในสนามรบ แม้ว่าตอนนั้นที่เขาขอหย่าอย่างเด็ดขาดแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าซ่งซีซีไม่สามารถกำจัดเขาออกจากใจของนางออกไปได้อย่างรวดเร็วนางแค่โกรธความโหดเหี้ยมของเขา นางแค่เกลียดเขาที่ไม่รักษาสัญญาดั้งเดิมของเขาในเมื่อยังคงเกลียด และยังคงโกรธอยู่ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายยังห่วงใยแต่ลมหนาวที่โหมกระหน่ำปลุกเขาให้ตื่น หรือบอกอีกนัยว่าเขาอาจจะมีสติโดยตลอด แต่มันก็เป็นเพียงความหุนหันพลันแล่นชั่วขณะนึงก็เท่านั้นสถานการณ์โดยรวมได้รับการกำหนดแล้ว และมันก็ไม่สมเหตุสมผลสำหรับเขาที่จะไปที่ซ่งซีซีอีก แม้ว่าซ่งซีซีจะยังมีใจให้เขาแม้แต่น้อย ทว่านางก็จะแต่งงานกับเป่ยหมิงอ๋อง ส่วนเขาจะแต่งงานกับคุณหนูแห่งตระกูงหวัง และพวกเขาจะไม่มีวันได้มีความข้องเกี่ยวอีกเขากลับไปที่ห้องหนังสืออย่างเงียบๆ และนั่งเป็นเวลานาน ในสมองของเขามีแต่ภาพที่เขาแต่งงานกับซ่งซีซี ตอนนั
จ้านเส้าฮวนตกตะลึงด้วยการโดนตบไปฉาดนึงนางเอามือปิดหน้าพลางจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะร้องออกมาว่า "เจ้าตบหน้าข้าเหรอ เจ้าตบหน้าข้าเพียงเพื่อนังซ่งซีซีนั่น ข้าจะไปฟ้องท่านแม่"หลังจากพูดจบ นางก็กุมหน้าพลางวิ่งหนีไปจ้านเป่ยว่างต่อยประตูห้องหนังสือด้วยสีหน้าเจ็บปวด ซ่งซีซีไม่บริสุทธิ์งั้นเหรอ ในทางกลับกัน ซ่งซีซีบริสุทธิ์มากเขาไม่เคยแตะต้องซ่งซีซี นางยังคงบริสุทธิ์มาก น่าตลกสิ้นดี บัดนี้พอรู้ใจของตนเองแล้ว กลับพบว่าเขาไม่เคยได้ซ่งซีซีมาก่อนด้วยซ้ำถ้าตอนนั้นพวกเขาร่วมรักก่อนที่จะออกศึก งั้นตอนที่เขาแต่งงานกับยี่ฝางนั้น นางคงไม่ได้จะตัดสินหย่าอย่างเด็ดขาดขนาดนั้นกระมังหลังจากนั้นได้สักพักหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตามหาเขาไปก่อนที่เขาจะพูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าก็ชิงกล่าวว่า "แม่คิดว่าเส้าฮวนคิดแบบนี้ดีแล้ว แม่สนับสนุนนางมาก ขอแค่องค์หญิงใหญ่ยินยอมที่จะแนะนำนางให้รู้จักกับสนมฮุ่ยไทเฟย นางก็สามารถแต่งเข้าจวนเป่ยหมิงอ๋องได้ งั้นก็จะเป็นการแต่งงานที่ดีที่สุดและแม่จะสนับสนุนนางอย่างเต็มที่"จ้านเส้าฮวนที่อยู่ด้านข้างก็หยุดร้องไห้แล้ว และเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างยั่วยุจ้านเป่ยว่างส่ายหัว "เป
แน่นอนว่าซ่งซีซีเองก็ไม่ต้องการเข้าร่วมงานเลี้ยงของสนมฮุ่ยไทเฟยด้วย หลังจากที่รุ่ยเอ๋อร์พูดได้แล้ว นางก็ผ่อนคลายลงมากอ และเริ่มจัดการแผนการป้องกันทางทหารและแผนการฝึกหัดที่ท่านพ่อและพี่ชายของนางเขียนก่อนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเป็นชายแดนเฉิงหลิง หรือว่าเขตหนานเจียง ทั้งท่านพ่อและพี่ชายของนางต่างเคยเฝ้ามา พวกเขาคุ้นเคยกับช่องทางสำคัญมากและได้วาดแผนการป้องกันไว้มากมายเมื่อไม่มีสงคราม พวกเขาก็ยังส่งคนไปสำรวจทุกที่โดยได้ทำเครื่องหมายป้อมปราการแถมชายแดนไว้อย่างชัดเจนมันจะเขียนลวกๆ ไปหน่อยและยุ่งเหยิงนิดหน่อย ดังนั้นซ่งซีซีจึงเปรียบเทียบร่างของพวกเขาและร่างใหม่อีกฉบับนึงแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องทุ่มเทความพยายาม และไม่สามารถบรรลุผลได้ในเวลาอันสั้น เมื่อพิจารณาจากกองร่างพวกนั้น ซ่งซีซีคาดว่าถ้านางทำมันด้วยตัวเอง หากไม่มีสองสามเดือนคงทำไม่เสร็จแน่นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ถ้าศิษย์พี่ชายใหญ่อยู่ที่นี่คงจะดี ทั้งสายตาและสมองของศิษย์พี่ชายใหญ่เฉียบแหลม และทุกสิ่งที่เขามองแค่แวบเดียวก็สามารถจำขึ้นใจได้ เขาถือปากกา ราวกับมีสิงเข้าร่าง ก็จะเขียนอย่างคล่องแค่ลวนางทำจนปวดตา ทำมาสามวันแล้ว
ซ่งซีซีจับแขนของเขาด้วยความตื่นเต้นมากและถามคำถามหลายข้อ "ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาจากไหน? จากภูเขาเหม่ยชานหรือ ท่านมาคนเดียวเหรอ? แล้วอาจารย์ล่ะ? ศิษย์พี่สาวอยู่ไหน?"เสิ่นชิงเหอเคาะหัวของนาง ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความเอ็นดู "ศิษย์พี่ยังไม่กลับภูเขาเหม่ยชาน กลับมาจากชายแดนเฉิงหลิง สำหรับศิษย์พี่สาวรองของเจ้า อีกไม่กี่วันนางก็จะมาเช่นกัน นางกลับมาจากแคว้นซา และคอยจับตาเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของแคว้นซาอยู่เลย ในจดหมายที่นางส่งมา เห็นบอกว่าได้สืบข้อมูลมาไม่น้อยเลย""ศิษย์พี่สาวรองก็มาด้วยเหรอ เยี่ยมมากเลย" ซ่งซีซีมีความสุขมากจนรอยยิ้มของนางเบ่งบานเหมือนดอกไม้เฉินฟูนำเสื้อคลุมมา และถึงนึกได้ว่าที่ห้องโถงใหญ่มีเครื่องทำความร้อนอยู่ เฮอะ ไม่จำเป็นนำเสื้อมาเลย เพียงแค่ยืนอยู่ที่ประตูและมองไปที่คุณชายเสิ่นชิงเหอที่น่าทึ่งนั้น เขาก็รู้สึกประทับใจมากจนอยากจะร้องไห้ และอยากไปที่ห้องอ่านหนังสือเพื่อนำเครื่องเขียนมาให้ อยากให้คุณชายเสิ่นชิงเหอเขียนอักษรวิจิตรให้เขาสักหน่อย เขาจะเก็บไว้และทำให้มันเป็นมรดกตกทอดของครอบครัวอย่างแน่นอนซ่งซีซีไม่ได้สังเกตเห็นสายตาที่ตื่นเต้นของเฉินฟู นางเองก็ตื่นเต้นมาก
ซ่งซีซีรู้ว่างานเลี้ยงของสนมฮุ่ยไทเฟยไม่ได้เชิญชวนนาง ทว่าส่วนนางจะจัดงานเลี้ยงเมื่อไร นางไม่รู้เลยนางมองไปที่ศิษย์พี่ "เจ้ามาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่? นี่แค่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?"เสิ่นชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม "มาหลายวันแล้ว เดินเล่นแถมเมืองหลวง อยากสงบจิตใจ ไม่อยากได้ยินเสียงวุ่นวายของเจ้าเร็วเกินไป""อ๊า? ท่านไม่ได้มาหาข้าทันทีที่มาถึงเมืองหลวงเหรอ? ท่านทำเกินไปแล้วนะ""อืม ไม่มาหาเจ้า ร้องไห้ได้เลย" เสิ่นชิงเหอนั่งลงและจิบน้ำชาช้าๆ หลังจากดื่มไปครึ่งแก้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นและเห็นศิษย์น้องตัวน้อยยืนอยู่ตรงหน้าเขาในดวงจาแดงก่ำ เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า "พอเจ้ามีเรื่อง เจ้าไม่ยอมกับกับเราสักเรื่องเลย แล้วศิษย์พี่ไม่ต้องมาสืบเองหรือ เจ้าจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ดี ต่อให้ไม่ต้องให้เราเข้าไปยุ่ง แต่อย่างน้อยศิษย์พี่ต้องรู้เรื่องด้วย""ศิษย์พี่ บัดนี้ข้ามีชีวิตที่ดี" ซ่งซีซีนั่งข้างเขา ยังคงทำท่าออดอ้อนเหมือนเมื่อก่อน แค่เมื่อกี้ที่นางเพิ่งเห็นเขาเลยตื่นเต้นมาก ยังสามารภทำท่าอ่อนโยนได้ ทว่ายามเวลานี้ทำไม่เป็นแล้ว "รุ่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว ข้ามีญาติแล้ว อีกอย่างข้ากำลังจะแต่งงาน และท่านเป่ยหมิงอ๋องก็
เมื่อถึงวันงานเลี้ยงของสนมฮุ่ยไทเฟย สตรีที่มียศถาบรรดาศักดิ์ และอูหยิยของพวกขุนนางต่างๆ พาลูกๆ ของตนเองมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องวันนั้น หิมะไม่ตกเลย แต่ทุกคนก็ได้รับเชิญให้มาร่วมรับชมหิมะ นอกจากนี้ ดอกบ๊วยในสวนยังถูกย้ายไปยังสถานที่ห่างไกลอีกด้วย หลังจากย้ายปลูกแล้ว ดอกบ๊วยในปีนี้ก็ไม่บานบวกกับหลังจากที่เซี่ยหลูโม่กลับมาอย่างมีชัย แม้ว่าเขาจะให้ช่างมาดูแลดอกไม้อย่างดี แต่ดอกไม้ที่สวนก็บานไม่มากนักแต่ไม่ว่าการชมหิมะหรือดอกไม้ล้วนไม่สำคัญ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า สนมฮุ่ยไทเฟยต้องการอวดดีอย่างที่คาดไว้ นางสวมกระโปรงชั้นดีสีม่วงแดงพร้อมรอยดอกบัวขนาดใหญ่ และมีผ้าขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์คลุมไว้ หวีผมเป็นมวย มีผมสีขาวแค่ไม่กี่เส้นเอง และตกแต่งด้วยมงกุฎทองคำฝังด้วยทับทิม ดูเหมือนมีราคาแพงอย่างไม่อาจบอกได้วันนี้ องค์หญิงใหญ่ก็แต่งตัวอย่างดีเหมือนกัน แต่นางไม่หรูหราเท่าสนมฮุ่ยไทเฟย นอกจากนี้นางอยู่ในวังมาหลายปีแล้ว ผิวของไทเฟยยังขาวและสดใส และไม่มีริ้วรอยแถวหางตาเลย แต่ทางกลับกัน ริ้วรอยที่หางตาขององค์หญิงใหญ่เห็นอย่างชัดเจนมาก เมื่ออยู่ในหน้าหนาวผิวของนางก็แห้งด้วย พอทาแป้งแล้วยิ่งดูแก่ขึ้น