แชร์

บทที่ 292

ผู้เขียน: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
จ้านเป่ยว่างออกไปจากจวน และเขามีความรู้สึกนึงติดอยูาในใจ อยากจะมุ่งหน้าไปที่จวนเสนาบดีกั๋วกง

เขาต้องการถามซ่งซีซีด้วยตนเองว่าพวกเขายังมีความเป็นไปได้หรือไม่

แม้ว่าวันนี้ยี่ฝางพูดว่าซ่งซีซีไม่เห็นเขามีค่าเลย ต่อให้ทัศนคติของซ่งซีซีจะบอกชัดเจนอยู่แล้วในสนามรบ แม้ว่าตอนนั้นที่เขาขอหย่าอย่างเด็ดขาด

แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าซ่งซีซีไม่สามารถกำจัดเขาออกจากใจของนางออกไปได้อย่างรวดเร็ว

นางแค่โกรธความโหดเหี้ยมของเขา นางแค่เกลียดเขาที่ไม่รักษาสัญญาดั้งเดิมของเขา

ในเมื่อยังคงเกลียด และยังคงโกรธอยู่ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายยังห่วงใย

แต่ลมหนาวที่โหมกระหน่ำปลุกเขาให้ตื่น หรือบอกอีกนัยว่าเขาอาจจะมีสติโดยตลอด แต่มันก็เป็นเพียงความหุนหันพลันแล่นชั่วขณะนึงก็เท่านั้น

สถานการณ์โดยรวมได้รับการกำหนดแล้ว และมันก็ไม่สมเหตุสมผลสำหรับเขาที่จะไปที่ซ่งซีซีอีก แม้ว่าซ่งซีซีจะยังมีใจให้เขาแม้แต่น้อย ทว่านางก็จะแต่งงานกับเป่ยหมิงอ๋อง ส่วนเขาจะแต่งงานกับคุณหนูแห่งตระกูงหวัง และพวกเขาจะไม่มีวันได้มีความข้องเกี่ยวอีก

เขากลับไปที่ห้องหนังสืออย่างเงียบๆ และนั่งเป็นเวลานาน ในสมองของเขามีแต่ภาพที่เขาแต่งงานกับซ่งซีซี ตอนนั
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อที่ GoodNovel
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 293

    จ้านเส้าฮวนตกตะลึงด้วยการโดนตบไปฉาดนึงนางเอามือปิดหน้าพลางจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะร้องออกมาว่า "เจ้าตบหน้าข้าเหรอ เจ้าตบหน้าข้าเพียงเพื่อนังซ่งซีซีนั่น ข้าจะไปฟ้องท่านแม่"หลังจากพูดจบ นางก็กุมหน้าพลางวิ่งหนีไปจ้านเป่ยว่างต่อยประตูห้องหนังสือด้วยสีหน้าเจ็บปวด ซ่งซีซีไม่บริสุทธิ์งั้นเหรอ ในทางกลับกัน ซ่งซีซีบริสุทธิ์มากเขาไม่เคยแตะต้องซ่งซีซี นางยังคงบริสุทธิ์มาก น่าตลกสิ้นดี บัดนี้พอรู้ใจของตนเองแล้ว กลับพบว่าเขาไม่เคยได้ซ่งซีซีมาก่อนด้วยซ้ำถ้าตอนนั้นพวกเขาร่วมรักก่อนที่จะออกศึก งั้นตอนที่เขาแต่งงานกับยี่ฝางนั้น นางคงไม่ได้จะตัดสินหย่าอย่างเด็ดขาดขนาดนั้นกระมังหลังจากนั้นได้สักพักหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตามหาเขาไปก่อนที่เขาจะพูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าก็ชิงกล่าวว่า "แม่คิดว่าเส้าฮวนคิดแบบนี้ดีแล้ว แม่สนับสนุนนางมาก ขอแค่องค์หญิงใหญ่ยินยอมที่จะแนะนำนางให้รู้จักกับสนมฮุ่ยไทเฟย นางก็สามารถแต่งเข้าจวนเป่ยหมิงอ๋องได้ งั้นก็จะเป็นการแต่งงานที่ดีที่สุดและแม่จะสนับสนุนนางอย่างเต็มที่"จ้านเส้าฮวนที่อยู่ด้านข้างก็หยุดร้องไห้แล้ว และเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างยั่วยุจ้านเป่ยว่างส่ายหัว "เป

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 294

    แน่นอนว่าซ่งซีซีเองก็ไม่ต้องการเข้าร่วมงานเลี้ยงของสนมฮุ่ยไทเฟยด้วย หลังจากที่รุ่ยเอ๋อร์พูดได้แล้ว นางก็ผ่อนคลายลงมากอ และเริ่มจัดการแผนการป้องกันทางทหารและแผนการฝึกหัดที่ท่านพ่อและพี่ชายของนางเขียนก่อนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเป็นชายแดนเฉิงหลิง หรือว่าเขตหนานเจียง ทั้งท่านพ่อและพี่ชายของนางต่างเคยเฝ้ามา พวกเขาคุ้นเคยกับช่องทางสำคัญมากและได้วาดแผนการป้องกันไว้มากมายเมื่อไม่มีสงคราม พวกเขาก็ยังส่งคนไปสำรวจทุกที่โดยได้ทำเครื่องหมายป้อมปราการแถมชายแดนไว้อย่างชัดเจนมันจะเขียนลวกๆ ไปหน่อยและยุ่งเหยิงนิดหน่อย ดังนั้นซ่งซีซีจึงเปรียบเทียบร่างของพวกเขาและร่างใหม่อีกฉบับนึงแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องทุ่มเทความพยายาม และไม่สามารถบรรลุผลได้ในเวลาอันสั้น เมื่อพิจารณาจากกองร่างพวกนั้น ซ่งซีซีคาดว่าถ้านางทำมันด้วยตัวเอง หากไม่มีสองสามเดือนคงทำไม่เสร็จแน่นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ถ้าศิษย์พี่ชายใหญ่อยู่ที่นี่คงจะดี ทั้งสายตาและสมองของศิษย์พี่ชายใหญ่เฉียบแหลม และทุกสิ่งที่เขามองแค่แวบเดียวก็สามารถจำขึ้นใจได้ เขาถือปากกา ราวกับมีสิงเข้าร่าง ก็จะเขียนอย่างคล่องแค่ลวนางทำจนปวดตา ทำมาสามวันแล้ว

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 295

    ซ่งซีซีจับแขนของเขาด้วยความตื่นเต้นมากและถามคำถามหลายข้อ "ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาจากไหน? จากภูเขาเหม่ยชานหรือ ท่านมาคนเดียวเหรอ? แล้วอาจารย์ล่ะ? ศิษย์พี่สาวอยู่ไหน?"เสิ่นชิงเหอเคาะหัวของนาง ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความเอ็นดู "ศิษย์พี่ยังไม่กลับภูเขาเหม่ยชาน กลับมาจากชายแดนเฉิงหลิง สำหรับศิษย์พี่สาวรองของเจ้า อีกไม่กี่วันนางก็จะมาเช่นกัน นางกลับมาจากแคว้นซา และคอยจับตาเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของแคว้นซาอยู่เลย ในจดหมายที่นางส่งมา เห็นบอกว่าได้สืบข้อมูลมาไม่น้อยเลย""ศิษย์พี่สาวรองก็มาด้วยเหรอ เยี่ยมมากเลย" ซ่งซีซีมีความสุขมากจนรอยยิ้มของนางเบ่งบานเหมือนดอกไม้เฉินฟูนำเสื้อคลุมมา และถึงนึกได้ว่าที่ห้องโถงใหญ่มีเครื่องทำความร้อนอยู่ เฮอะ ไม่จำเป็นนำเสื้อมาเลย เพียงแค่ยืนอยู่ที่ประตูและมองไปที่คุณชายเสิ่นชิงเหอที่น่าทึ่งนั้น เขาก็รู้สึกประทับใจมากจนอยากจะร้องไห้ และอยากไปที่ห้องอ่านหนังสือเพื่อนำเครื่องเขียนมาให้ อยากให้คุณชายเสิ่นชิงเหอเขียนอักษรวิจิตรให้เขาสักหน่อย เขาจะเก็บไว้และทำให้มันเป็นมรดกตกทอดของครอบครัวอย่างแน่นอนซ่งซีซีไม่ได้สังเกตเห็นสายตาที่ตื่นเต้นของเฉินฟู นางเองก็ตื่นเต้นมาก

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 296

    ซ่งซีซีรู้ว่างานเลี้ยงของสนมฮุ่ยไทเฟยไม่ได้เชิญชวนนาง ทว่าส่วนนางจะจัดงานเลี้ยงเมื่อไร นางไม่รู้เลยนางมองไปที่ศิษย์พี่ "เจ้ามาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่? นี่แค่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?"เสิ่นชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม "มาหลายวันแล้ว เดินเล่นแถมเมืองหลวง อยากสงบจิตใจ ไม่อยากได้ยินเสียงวุ่นวายของเจ้าเร็วเกินไป""อ๊า? ท่านไม่ได้มาหาข้าทันทีที่มาถึงเมืองหลวงเหรอ? ท่านทำเกินไปแล้วนะ""อืม ไม่มาหาเจ้า ร้องไห้ได้เลย" เสิ่นชิงเหอนั่งลงและจิบน้ำชาช้าๆ หลังจากดื่มไปครึ่งแก้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นและเห็นศิษย์น้องตัวน้อยยืนอยู่ตรงหน้าเขาในดวงจาแดงก่ำ เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า "พอเจ้ามีเรื่อง เจ้าไม่ยอมกับกับเราสักเรื่องเลย แล้วศิษย์พี่ไม่ต้องมาสืบเองหรือ เจ้าจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ดี ต่อให้ไม่ต้องให้เราเข้าไปยุ่ง แต่อย่างน้อยศิษย์พี่ต้องรู้เรื่องด้วย""ศิษย์พี่ บัดนี้ข้ามีชีวิตที่ดี" ซ่งซีซีนั่งข้างเขา ยังคงทำท่าออดอ้อนเหมือนเมื่อก่อน แค่เมื่อกี้ที่นางเพิ่งเห็นเขาเลยตื่นเต้นมาก ยังสามารภทำท่าอ่อนโยนได้ ทว่ายามเวลานี้ทำไม่เป็นแล้ว "รุ่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว ข้ามีญาติแล้ว อีกอย่างข้ากำลังจะแต่งงาน และท่านเป่ยหมิงอ๋องก็

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 297

    เมื่อถึงวันงานเลี้ยงของสนมฮุ่ยไทเฟย สตรีที่มียศถาบรรดาศักดิ์ และอูหยิยของพวกขุนนางต่างๆ พาลูกๆ ของตนเองมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องวันนั้น หิมะไม่ตกเลย แต่ทุกคนก็ได้รับเชิญให้มาร่วมรับชมหิมะ นอกจากนี้ ดอกบ๊วยในสวนยังถูกย้ายไปยังสถานที่ห่างไกลอีกด้วย หลังจากย้ายปลูกแล้ว ดอกบ๊วยในปีนี้ก็ไม่บานบวกกับหลังจากที่เซี่ยหลูโม่กลับมาอย่างมีชัย แม้ว่าเขาจะให้ช่างมาดูแลดอกไม้อย่างดี แต่ดอกไม้ที่สวนก็บานไม่มากนักแต่ไม่ว่าการชมหิมะหรือดอกไม้ล้วนไม่สำคัญ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า สนมฮุ่ยไทเฟยต้องการอวดดีอย่างที่คาดไว้ นางสวมกระโปรงชั้นดีสีม่วงแดงพร้อมรอยดอกบัวขนาดใหญ่ และมีผ้าขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์คลุมไว้ หวีผมเป็นมวย มีผมสีขาวแค่ไม่กี่เส้นเอง และตกแต่งด้วยมงกุฎทองคำฝังด้วยทับทิม ดูเหมือนมีราคาแพงอย่างไม่อาจบอกได้วันนี้ องค์หญิงใหญ่ก็แต่งตัวอย่างดีเหมือนกัน แต่นางไม่หรูหราเท่าสนมฮุ่ยไทเฟย นอกจากนี้นางอยู่ในวังมาหลายปีแล้ว ผิวของไทเฟยยังขาวและสดใส และไม่มีริ้วรอยแถวหางตาเลย แต่ทางกลับกัน ริ้วรอยที่หางตาขององค์หญิงใหญ่เห็นอย่างชัดเจนมาก เมื่ออยู่ในหน้าหนาวผิวของนางก็แห้งด้วย พอทาแป้งแล้วยิ่งดูแก่ขึ้น

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 298

    เมื่อคนนั้นถามเช่นนี้ ทุกคนก็ตระหนักว่าซ่งซีซีจากจวนเสนาบดีกั๋วกงไม่อยู่ที่นี่นี่ก็แปลก ตามหลักแล้ว นางกำลังจะแต่งเข้ามา วันนี้ไทเฟยจัดงานเลี้ยงหลังจากที่นางย้ายมาอาศัยอยู่ที่จวนอ๋อง นางต่างหากที่เป็นคนควรมาที่สุดในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยนั้น สนมฮุ่ยไทเฟยก็พูดอย่างใจเย็น "หาใช่ว่าใครหน้าไหนก็สามารถมาร่วมงานชมหิมะของข้าได้"ทันทีที่คำพูดนี้พูดออกมา ทุกคนต่างก็เข้าดีแล้วสนมฮุ่ยไทเฟยไม่ชอบว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ก็จริง แม้ว่าซ่งซีซีจะมีภูมิหลังทางครอบครัวที่ดี และมีผลงานทางทหารด้วย แต่ถึงยังไงนางก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่เคยหย่ามา เซี่ยหลูโม่เป็นถึงท่านอ๋อง นางไม่คู่ควรมีการอภิปรายกันมากมายด้านล่าง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าจากโหวผิงหยางรู้สึกไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินเช่นนั้น สนมฮุ่ยไทเฟยทำมากเกินไป แม้ว่านางจะไม่ชอบ แต่การแต่งงานก็ถูกกำหนดไว้นานแล้ว อย่างน้อยก็ต้องรักษาความสามัคคีทางภายนอกนางเหลือบมองท่านหญิงเจียอี้ ลูกสะใภ้ของตนเองแวบนึง เมื่อเห็นว่านางกับยัยน้อยจากตระกูลจ้านไม่รู้ว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ นางอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว หลังจากอยู่ด้วยกันตั้งหลายปี จะไม่รู้ได้ยังไงว่านางกำลังวางแผนร้ายอะไ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 299

    จ้านเส้าฮวนคุกเข่าลงด้วยใบหน้าโศกเศร้าเพื่อกล่าวขอบคุณ จากนั้นมองไปที่ท่านหญิงเจียอี้เพื่อขอความช่วยเหลือท่านหญิงเจียอี้มีสีหน้าบึ้งตึง ผู้หญิงไร้สมองคนนี้ วันนี้เป็นอะไรกัน? กลับทำให้นางหน้าแตกฉากนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะอย่างลับๆ สนมฮุ่ยไทเฟยหลอกได้ง่ายมาก แค่สรรเสริญเยินยอนางสักหน่อย ก็สามารถให้นางทุ่มเทความจริงใจได้มันง่ายที่จะทำให้นางมีความสุข และจะหลอกลวงนางก็ง่ายมากเช่นกัน แต่นางมักจะภูมิใจในตัวลูกชายของตนเองมาโดยตลอด ใครก็ตามที่วางแผนกับเป่ยหมิงอ๋อง จะไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอนท่านหญิงเจียอี้ระงับความโกรธของนางไว้ ได้แต่ทำหน้ามืดทะมึนและไม่พูดอะไรในทางกลับกัน องค์หญิงใหญ่กลับยิ้ม ก่อนหยิบน้ำชาดื่มช้าๆ และพูดว่า "แค่ล้อเล่นเฉยๆ จะเอาจริงเอาจังได้อย่างไร? พระชายายังไม่ได้แต่งเข้ามาเลย จะวางแผนเรื่องชายารองได้ยังไง เจียอี้ก็ใจดีเกินไป ยัยเด้กน้อยจากตระกูลจ้านคนนั้นแค่บอกว่ามีใจให้โม่เอ๋อ และหลั่งน้ำตาเล็กน้อย เจ้าก็สงสารนาง และพูดแทนนางต่อหน้าไทเฟย ไทเฟยจะตัดสินเรื่องในจวนเป่ยหมิงอ๋องได้ยังไงล่ะ อย่าว่าแต่ชายารองเลย ต่อให้เป็นอนุภรรยาที่คอยรับใช้นั้น หากไม่ได้รับความยินยอมจ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 300

    คำพูดที่เรียบๆ ขององค์หญิงใหญ่ ถือว่ายืนยันคำพูดของท่านหญิงเจียอี้อย่างไม่ต้องสงสัย"ไม่น่าแปลกใจเลยที่สนมฮุ่ยไทเฟยจะไม่ชอบนาง ที่แท้ว่านางใช้ลูกไม้นี้""อุตส่าห์ที่นางยังคงเป็นบุตรีของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดีกั๋วกง การใช้ลูกไม้ที่สกปรกเช่นนี้ ทำให้คนน่ารังเกียจจริงๆ""พระชายาอ๋องฮวย บัดนี้ข้าถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงไม่สุงสิงกับนาง ปรากฎว่ามีเหตุผลเช่นนี้"พระชายาอ๋องฮวยถือถ้วยชาไว้ และอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อองค์หญิงใหญ่เหลือบมองนางด้วยสีหน้าเย็นชา นางก็ต้องยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะจิบชาคำนึง และสุดท้ายก็ไม่พูดอะไรเลยสนมฮุ่ยไทเฟยรู้สึกไม่สบอารมณ์มาก ที่งานนี้ไม่เรียกซ่งซีซีมา ก็เพื่อวางอำนาจนาง ให้นางสงบเสงี่ยมเจียมตัวบ้าง อย่าคิดว่าหลังจะแต่งเข้ามาจะมาอยู่เหนือกว่านางอย่างไรก็ตาม นางเป็นว่าที่พระชายาของโม่เอ๋อนี่เป็นเรื่องที่เปลี่ยนไม่ได้ นางเองก็ไม่อยากให้ซ่งซีซีถูกกล่าวหาเช่นนี้แต่คำพูดนี้องค์หญิงใหญ่เป็นคนพูดเอง และนางห็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เมื่อเห็นนางพูดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ตนเองก็โต้แย้งไม่ได้ ได้แต่จิบชาอย่างไม่พอใจก็เท่านั้น"แหม ทำไมทุกคนมาเร็วจ

บทล่าสุด

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1502

    หอชุนหม่านในวันนี้เต็มแน่นไปหมดเดิมทีโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ปกติก็มีแขกมารับประทานอยู่บ้าง แต่เมื่อสตรีผู้นั้นพาคนชุดดำเข้ามา พวกเขาก็จับจองที่นั่งที่เหลือทั้งหมดซ่งซีซี เสิ่นว่านจือ และกุ้นเอ๋อร์ทั้งสามคน ถูกเจ้าของร้านเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว แยกออกจากพวกเขาเสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นข้างหูนาง แฝงแววขอโทษเล็กน้อย ทั้งยังฟังดูอบอุ่นน่าฟังยิ่งนัก “พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายของข้า เช่นเดียวกับข้า ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืนเลย หากแม่นางไม่สบายใจ ข้าจะให้พวกเขารออยู่ที่หน้าประตู แล้วแต่ละคนรับหมั่นโถวไปคนละลูกก็พอ”เสิ่นว่านจือถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ไม่จำเป็นหรอก นั่งตามสบาย อยากกินอะไรก็สั่งมาเถิด”บุรุษคนนั้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่นางทั้งงดงามและมีจิตใจเมตตานัก เช่นนั้นพวกข้าก็จะสั่งอาหารตามสบายแล้วกัน ขอมากหน่อย”“ได้…ได้สิ” เสิ่นว่านจือพยักหน้า แล้วกวาดตามองคนชุดดำที่เต็มร้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายบางอย่างที่แขนเสื้อ ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษร แต่เพราะเสื้อเหล่านั้นยับย่นและเปรอะเปื้อนจนมองแทบไม่อ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1501

    ซ่งซีซีมองสำรวจพวกเขาอยู่หลายครั้ง ในใจรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะไม่อาจเดาอายุของพวกเขาได้เลยหน้าตาดูเหมือนอายุราวสามสิบกว่าๆ ทว่ากลับมีกลิ่นอายของพลังชีวิต เปรียบเสมือนชายหนุ่มวัยสิบกว่าถึงยี่สิบปีเมื่อมองดวงตาของพวกเขาอีกครั้ง โดยเฉพาะดวงตาของบุรุษคนนั้น กลับลึกล้ำประหนึ่งบ่อน้ำโบราณ อีกทั้งยังดูคล้ายสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่เจนโลกยังไม่ทันที่ซ่งซีซีจะเอ่ยปาก บุรุษคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าพลางถามว่า “ที่นี่จะสร้างสถานรับเลี้ยงเด็กหรือ? เป็นโครงการของทางการใช่หรือไม่?”กุ้นเอ๋อร์มองพวกเขาแวบหนึ่ง ฟังจากสำเนียงของพวกเขาก็เป็นสำเนียงภาษาทางการของแคว้นซางโดยแท้ เห็นชัดว่าไม่ใช่คนจากชายแดนเฉิงหลิงเพียงแต่จากสีหน้าของพวกเขาก็ไม่เห็นเจตนาร้ายอันใด จึงตอบว่า “ใช่ ที่นี่รับเลี้ยงเด็กที่ถูกทอดทิ้งโดยเฉพาะ เป็นโครงการที่ทางการจัดตั้งขึ้น”บุรุษคนนั้นกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องดี”ซ่งซีซีเดินขึ้นไปถามว่า “ท่านมาจากเมืองหลวงหรือ?”บุรุษคนนั้นมองนาง แต่กลับไม่ตอบคำถามนี้ ทว่ากลับถามนางแทนว่า “เจ้าคือพระชายาของเป่ยหมิงอ๋อง ซ่งซีซีหรือ?”ซ่งซีซีรู้สึกระมัดระวังขึ้นมา ทันทีที่นางกำลังจะถามเขาว่ารู้ได

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1500

    ฉินอ๋องหลับยาวจนถึงบ่ายวันรุ่งขึ้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะความหิวเมื่อลืมตาขึ้นมา รู้สึกว่าร่างกายแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บปวดไปทุกส่วนความอ่อนล้ากัดกินลึกถึงกระดูก แม้แต่จะยกมือขึ้นยังแทบไม่มีแรงในบรรดาคนรับใช้ที่ติดตามเขามา มีขันทีคนสนิทชื่อเสี่ยวจี๋จื่อ ยืนอยู่ข้างเตียง รายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายาเป่ยหมิงอ๋องมีเรื่องจะหารือกับท่าน นางรอท่านมาครึ่งวันแล้ว”เดิมทีฉินอ๋องตั้งใจจะกินข้าวบนเตียงแล้วนอนต่อ เพราะเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวแต่เมื่อได้ยินว่าซ่งซีซีรอเขามาครึ่งวันแล้ว เขาก็รีบเปิดผ้าห่มออกทันที สั่งเสียงเร่งรีบ “เปลี่ยนเสื้อผ้า เร็วเข้า”ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เขาได้เห็นความสามารถของซ่งซีซีกับตาตัวเอง นางเป็นสตรี แต่ไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อยแม้แต่คำเดียว ภายใต้การบัญชาของนาง ขบวนเดินทางหลีกเลี่ยงอันตรายมาได้หลายครั้ง ผู้คนมากมายล้มป่วยระหว่างทาง แต่นางกลับแข็งแรงราวกับวัวกระทิงคนที่มีความสามารถเช่นนี้ จะไม่มีวันเสียเวลามาหยอกล้อกับใครแน่ หากมาหาเขา ย่อมมีเรื่องสำคัญแน่นอนแม้เขาจะหิวจนไส้แทบกิ่ว แต่ก็รีบล้างหน้าแต่งตัว จากนั้นก็ดื่มโจ๊กหนึ่งชามแล้วรีบไปพบนาง “น้องสะใภ้

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1499

    หลังจากจุดธูปเคารพเสร็จแล้ว เมื่อกลับมายังเรือนหลัง ทุกคนก็ซับน้ำตา เก็บซ่อนความโศกเศร้า แล้วพากันล้อมวงถามไถ่ซ่งซีซีเกี่ยวกับชีวิตคู่ของนางแต่คำถามที่ถูกถามมากที่สุดก็คือเป่ยหมิงอ๋องปฏิบัติต่อนางดีหรือไม่ครอบครัวก็เป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะรู้ว่านางเป็นคนเก่งเพียงใด แต่ก็ยังคงหวังให้คู่ครองของนางรักและเอ็นดูนางจากใจจริงซ่งซีซีมีลูกพี่ลูกน้องหญิงมากมาย ล้วนเป็นบุตรสาวของบรรดาลุงและน้าของนาง แม้ไม่เคยพบหน้ากันมากนัก แต่เมื่อได้เจอซ่งซีซี ต่างก็พากันตื่นเต้นยินดีพี่สาวทั้งหมดล้วนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ครั้งนี้พากันกลับบ้านพร้อมสามีและลูกๆ พวกนางได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับซ่งซีซีมากมาย ทั้งรู้สึกนับถือและเห็นใจนางในหมู่พี่สาวเหล่านั้น มีอยู่คนหนึ่งชื่อเซียวเซียงอวี่ เป็นบุตรสาวคนโตของลุงสอง นางแต่งงานกับแม่ทัพหวงเฉิน ซึ่งเป็นนายทหารใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่เซียว แต่ยังไม่ถึงปี สามีก็สละชีพในสนามรบ ทิ้งลูกในครรภ์ไว้ให้บัดนี้ เด็กคนนั้นอายุสิบสองปีแล้วนางตั้ง สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นที่ชายแดนเฉิงหลิง เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ตอนนี้มีเด็กอยู่ในความดูแลกว่าสามสิบคน แต่ชีวิตกลั

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1498

    พอเร่งเดินทางอย่างสุดกำลัง ในที่สุดวันที่สามเดือนแปด พวกเขาก็มาถึงชายแดนเฉิงหลิงตลอดยี่สิบวันที่เดินทางมา เนื่องจากอากาศร้อนจัด ผู้คนมากมายต่างล้มป่วยลงทีละคน แต่โชคดีที่ซ่งซีซีเตรียมตัวมาดี นางนำยามามากมาย และยังมีหมอหลวงจินติดตามมาด้วย จึงไม่เกิดปัญหาใหญ่อันใดฉินอ๋องนั้นถึงกับหมดเรี่ยวแรงโดยแท้เขาเคยลำบากเช่นนี้มาก่อนที่ไหนกัน ตั้งแต่วันที่สิบของการเดินทาง เขาก็แทบเอ่ยปากพูดไม่ได้ สีหน้าและริมฝีปากซีดขาวตลอดเวลา ความอิดโรยฉายชัดบนใบหน้า ไม่อาจปกปิดได้ครั้นเดินทางมาถึงเขตแดนเฉิงหลิง มองเห็นทหารสกุลเซียวที่นำทัพมาต้อนรับ เขาก็ถึงกับทรุดฮวบลงหมดสติไป ทำให้ทุกคนแตกตื่น รีบหามเขากลับไปทันทีซ่งซีซีเมื่อได้พบกับท่านตาและบรรดาท่านลุง นางจะไปสนใจฉินอ๋องได้อย่างไร นางพุ่งตัวเข้าหาอ้อมกอดของท่านตา น้ำตาไหลพรากมิอาจหยุดยั้งแม่ทัพใหญ่เซียวมองหลานสาวด้วยสายตาเอ็นดู ลูบศีรษะนาง น้ำเสียงสั่นเครือ เขาเคยคิดว่าเมื่อแยกจากกันที่เมืองหลวง บางทีคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ที่ไหนได้กลับได้พบหน้านางอีกครั้งผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวเสียงอ่อนโยน “พอแล้ว อย่าให้ทุกคนเห็นเป็นเรื่องขบขัน ไปพบลุงของเ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1497

    วันที่สิบสองเดือนเจ็ด คณะทูตแคว้นซางออกเดินทางจากเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ มุ่งหน้าไปยังซีจิงเซี่ยหลูโม่ควบม้าส่งขบวนไปถึงยี่สิบลี้ จนกระทั่งจางต้าจ้วงและอาจารย์หยูกล่าวว่าเพียงพอแล้ว เขาจึงจำใจรั้งบังเหียนม้าเอาไว้ซ่งซีซีหันกลับมาส่งยิ้มให้เขา ใบหน้างามราวกับบุปผา ไม่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อยเซี่ยหลูโม่จ้องมองนาง สายตาอบอุ่นอ่อนโยน แต่กลับบ่นพึมพำเสียงต่ำว่า “ช่างเป็นสตรีไร้หัวใจเสียจริง”ดวงตะวันขึ้นสูงแล้ว ถนนหลวงไร้ลมพัด อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก เขายืนรออยู่จนขบวนท้ายสุดลับสายตาไป จึงยอมหมุนม้ากลับอย่างเสียดายครั้งนี้ที่เดินทางไปซีจิง ซ่งซีซีนำกองทัพซวนเจียจำนวนสามร้อยนาย พร้อมทั้งกุ้นเอ๋อร์ เสิ่นว่านจือ และผู้ติดตามอื่นๆ ไปด้วยแม้สองแคว้นจะอยู่ในช่วงสงบชั่วคราวหลังสงคราม แต่เรื่องราวเกี่ยวกับองค์รัชทายาทซีจิงถูกซูลันซือเปิดเผยออกมา เวลานี้ชาวเมืองซีจิงมากมายยังคงมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อแคว้นซาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำทหารติดตามไปมากขึ้น เพื่อรับรองความปลอดภัยของฉินอ๋องและเหล่าทูตสำหรับฉินอ๋องนี้ ซ่งซีซีมีปฏิสัมพันธ์กับเขาน้อยมาก ที่ถูกต้องกว่านั้นคือ นางแทบไม่ติดต่อกับฉินอ๋

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1496

    ในค่ำคืนก่อนออกเดินทาง ซ่งซีซีพาเซี่ยหลูโม่ไปถวายบังคมลาฮุ่ยไทเฟย เนื่องจากวันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ หากมาลาในตอนนั้นเกรงว่าฮุ่ยไทเฟยจะยังไม่ตื่น จึงเลือกมาขอลาในค่ำคืนนี้แทน ฮุ่ยไทเฟยทรงทราบมาก่อนแล้วว่าซ่งซีซีจะเดินทางไปซีจิง ตอนแรกยังไม่ทรงเข้าใจนัก มองว่าราชโองการของฮ่องเต้นั้นเกินไปหรือไม่ การเดินทางที่ยาวไกลเช่นนี้ จำเป็นต้องเป็นนางเพียงผู้เดียวจริงหรือ? แต่เมื่อเสิ่นว่านจืออธิบายว่านี่เป็นโอกาสให้นางได้กลับไปพบญาติฝ่ายมารดา พระนางก็ได้แต่ทอดถอนพระทัย แย้มสรวลบางเบาแล้วตรัสว่า "ความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต คือการต้องพลัดพรากจากครอบครัว แต่ความสุขที่สุด ก็คือการได้พบกันอีกครั้งหลังจากจากกันไปเนิ่นนาน" พระนางตรัสกับเสิ่นว่านจือเช่นนี้ มิได้กล่าวต่อหน้าซ่งซีซี เพราะหากกล่าวกับผู้อื่นก็เป็นเพียงการรำพึงถึงชีวิต แต่หากกล่าวกับซ่งซีซี ก็คงไม่ต่างจากการราดเกลือลงบนบาดแผล บัดนี้ พระนางก็รักและเอ็นดูลูกสะใภ้ผู้นี้แล้ว ย่อมไม่อยากให้ต้องเจ็บปวดแม้แต่น้อย เมื่อมองดูซ่งซีซีที่มาขอลา พระนางก็อดคิดไม่ได้ เมื่อนึกย้อนกลับไป ตอนแรกพระนางคัดค้านการแต่งงานนี้อย่างถึงที

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1495

    เดือนเจ็ดอันร้อนระอุ ราชสาส์นจากซีจิงก็มาถึง จักรพรรดิ์ซีจิงทรงสละราชบัลลังก์ องค์หญิงผู้สูงศักดิ์เหลิ่งอวี้ขึ้นครองราชย์ ทรงใช้อำนาจบริหารแผ่นดินและเปลี่ยนชื่อแคว้นเป็นหยวนซิน พระนางมีพระราชโองการเชิญแคว้นซางส่งทูตเข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเจรจาเรื่องเขตแดนร่วมกัน แท้จริงแล้ว หยวนซินฮ่องเต้ได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว พิธีราชาภิเษกเป็นเพียงข้ออ้าง สิ่งที่ต้องเจรจากันจริงๆ ก็คือปัญหาเขตแดน เมื่อครั้งที่คณะทูตซีจิงมาเยือนแคว้นซาง จุดประสงค์หลักก็คือปัญหาเขตแดน แต่เนื่องจากเกิดความวุ่นวายภายในแคว้น ทำให้เรื่องนี้ต้องถูกระงับไว้ชั่วคราว และนี่คงเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในพระทัยของหยวนซินฮ่องเต้มากที่สุด ดังนั้น ทันทีที่พระนางขึ้นครองราชย์ ก็ทรงรีบเร่งดำเนินการเปิดการเจรจาขึ้นอีกครั้ง ในที่ประชุมราชสำนัก ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า บัดนี้ความบาดหมางระหว่างสองแคว้นได้คลี่คลายลงแล้ว การเจรจาในขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น สิ่งใดที่ต้องรักษาไว้ ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อรักษามันไว้ ปัญหาเขตแดนอาจไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ตราบใดที่สามารถรักษ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1494

    ที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง ซ่งซีซีและเฉินเฉินก็กำลังสอนเสี่ยวหมิงซีและหวังจืออวี่ฝึกวรยุทธ์ โดยส่วนใหญ่เป็นเฉินเฉินที่สอนเสี่ยวหมิงซี ส่วนซ่งซีซีกับหวังจืออวี่ก็เพียงอยู่ร่วมฝึกด้วย จวนกองกำลังเมืองหลวงแม้จะยุ่งวุ่นวาย แต่ดูเหมือนว่าวันเวลาจะค่อยๆ ช้าลง ทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงตามไปด้วย ไม่ว่าเวลาที่ปราศจากความระแวงเช่นนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน ตราบใดที่ยังมี ก็จงใช้มันให้คุ้มค่าทุกวัน สิ่งเดียวที่นางกังวลคือสุขภาพของศิษย์น้อง แม้ว่าร่างกายของเขาจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็เคยบาดเจ็บสาหัสมาก่อน การทำงานหนักเช่นนี้ทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้งกินอาหารไม่เป็นเวลา กินยาก็ไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นสิ่งที่ทำให้นางอดเป็นห่วงไม่ได้ หมั่นโถวเดินมาตามระเบียง มาหยุดข้างซ่งซีซีแล้วกล่าวว่า "จือจือบอกว่า คืนนี้ไม่กลับมา" "อืม" ซ่งซีซีพยักหน้า แม้จะไม่ได้กล่าวอะไรโดยตรง แต่ซ่งซีซีรู้ว่า นางกลับไปทำสิ่งที่เคยทำอีกครั้ง เรื่องนี้ พวกนางจะไม่พูดคุยกันโดยตรง มีเพียงประโยคเดียวที่เคยกล่าวกันไว้ ในเมื่อมือเคยเปื้อนเลือดแล้ว ก็ควรปล่อยให้เลือดของคนชั่วหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้แดงฉานยิ่งขึ้น

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status