ยี่ฝางนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสนามรบเขตหนานเจียง นางได้ทบทวนมาแล้วรอบนึง และพบว่านางติดกับดักจริงๆเรื่องบางเรื่อง นางเดาได้ นางรู้อยู่ในใจ แต่นางไม่อยากจะเชื่อ นางพยายามหาข้อแก้ตัวและเหตุผลเหตุผลหลักๆ ก็คือ เป่ยหมิงอ๋องต้องการสนับสนุนซ่งซีซีให้เลื่อนตำแหน่ง ดังนั้นเขาจึงต้องการกำจัดผลงานของนางทั้งหมด เลยพูดไปก่อนว่านางจะไม่มีโอกาสได้สร้างผลงานแต่ซ่งซีซีบอกรายละเอียดทั้งหมดให้นาง นางหนีไปไหนไม่ได้ นางได้แต่ขดตัวที่ข้างๆ ประตูแล้วส่ายเสียดอยู่ที่นั่นพลางพึมพำ "ไม่ นั่นไม่ใช่อย่างนัน"ซ่งซีซี ยืนอยู่หน้า ป้ายวิญญาณ โดยมีโคมไฟดอกบัวอยู่ข้างหลัง นาง ทำให้ใบหน้า นาง ไม่ชัดเจน "ยี่ฝาง คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณควรจะพอใจ"เสียงของนางแผ่วเบา "แต่ครอบครัวของข้าจะไม่มีวันกลับมาอีกเลย ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า เจ้าคิดว่าข้าเกลียดเจ้าหรือไม่ ข้าทนมันมานานมากแล้ว ข้าไม่อยากลงมือกับเจ้า แต่ทำไมเจ้าถึงต้องหาข้าถึงบ้าน ที่เจ้าสรเางผลงานที่ชายแดนเฉิงหลิง ก่อนที่ความจริงมาถึงหูข้า ต่อให้เจ้ากับจ้านเป่ยว่างขอพระราชทานอภิเษกสมรส ข้ายังนับถือเจ้าที่เป็นผู้หญิง แต่กลับยอมออกศึกเพื่อ
นางไม่กล้าสบตากับซ่งซีซีอีกเลย ซึ่งสายตานั้นเย็นชาราวกับมีดคำพูดทุกคำที่ซ่งซีซีพูดนั้นนางไม่ชอบฟังทั้งนั้น แต่มีคำนึงที่นางพูดถูกนางปรารถนาที่จะสร้างผลงานสงครามชายแดนเฉิงหลิง นางคิดว่าตนเองสร้างผลงานทางทหาร แถมยังเป็นผลงานสำคัญ นางจะไม่ใช่ลูกสาวของทหารเก่าอีก นางเป็นแม่ทัพยี่ฝางนางเย่อหยิ่ง และดูหมิ่นทุกสิ่ง แต่ในใจของนาง นางยังรู้สึกต้อยกว่าคนอื่นมิฉะนั้น ด้วยผลงานของนาง ให้แต่งเป็นภรรยาที่เท่าเทียมของจ้านเป่ยว่าง คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมทั้งนั้นนางเต็มใจ หนึ่งคือเพราะนางมีใจให้จ้านเป่ยว่าง สองคือนางรู้ดีว่าหากไม่ใช่ที่ตนเองสร้างผลงานไว้ นางไม่มีวันเกาะจวนแม่ทัพได้นางบอกว่าตนเองไม่สนใจเรื่องการแย่งชิงอำนาจของฝ่ายใน และอยากจะเป็นผู้หญิงที่ออกศึกได้ สร้างผลงานให้บ้านเมือง ทำสงครามทุกที่ คำพูดนี้นางแค่พูดให้จ้านเป่ยว่างฟัง และจ้านเป่ยว่างก็เชื่อด้วย สายตามี่เขามองนางก็ฉายแววความนับถือและชื่นชมนางต้องการให้จ้านเป่ยว่างรู้ว่านางแตกต่างออกไปนางทำได้แล้ว และมอบตัวให้กับเขาก่อนจะกลับมาเมืองหลวง หากทำเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องแต่งเข้าจวนแม่ทัพอย่างแน่นอนส่วนภรรยาเอกอย่างซ่งซีซี ในตอน
สองวันต่อมา เฉินฟูไปที่จวนแม่ทัพพร้อมผู้พิทักษ์สองคนหลังจากที่ยี่ฝางกลับมาเมื่อวานนี้ นางก็มีไข้สูง ได้ตามหาหมอประจำจวนในตอนเย็น พอดื่มยาและหลับนอนไปพักหนึ่ง นางฝันร้ายอยู่ตลอดเวลา และวันนี้ถึงได้ดีขึ้นมากแต่นางไม่ได้เก็บเรื่องที่มีใบเก็บหนี้ห้าสิบตำลึงไว้ในใจเลย โดยคิดว่าซ่งซีซีแค่ทำให้นางอับอายก็เท่านั้นห้าสิบตำลึง สำหรับซ่งซีซีมันมีค่าอะไร? นางจะเรียกร้องเงินห้าสิบตำลึงนี้ถึงจวนได้อย่างไร?แต่นางเอาจริงเมื่อนางได้ยินรายงาน นางก็ละอายใจมากจนไม่มีที่ซ่อนและรู้สึกว่าร่างกายของตนเองร้อนขึ้นอีกครั้งวันนี้ จ้านเป่ยว่างไม่เข้าเวรและอยู่ในจวนเขาไม่รู้ว่ายี่ฝางได้ไปที่จวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อก่อปัญหาในเมื่อวันก่อน และเขาไม่ได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำว่านางออกไปข้างนอก ช่วงนี้พวกเขามักจะทะเลาะกัน และเขาก็อยู่ในห้องหนังสือตลอด ที่เขากลับจวนก็เพื่อตกแต่งเรือนเหวินซีก็เท่านั้น เพื่อแต่งคนใหม่เข้าจวนเมื่อเขาได้ยินมาว่ามีคนจากจวนเสนาบดีกั๋วกงมาทวงหนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าพวกเขากำลังจัดการบัญชีเก่าอยู่ เขาจึงส่งคนไปเชิญเฉินฟูไปที่ห้องหนังสือ เพื่อไม่ให้รบกวนท่านแม่ของเขาเฉินฟูหยิบใบเก็บหนี้ออกมา
ทว่า เรื่องที่จวนเสนาบดีกั๋วกงมาทวงหนี้ คนรับใช้ก็รายงานเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าตามหาจ้านเป่ยว่างเพื่อสอบถามรายละเอียดทันทีจ้านเป่ยว่างรู้ว่าเขาไม่สามารถซ่อนเรื่องนี้ได้ คนรับใช้จำนวนมากได้เห็นและได้ยิน ดังนั้นเขาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางทราบฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมากจนหน้าเขียวคล้ำถมึงทึงและสาปแช่ง "หายนะ เจ้าได้แต่งงานกับหายนะจริงๆ แล้วทำไมเจ้าถึงตกหลุมรักนางในตอนนั้น? การพังสิ่งของในจวนทุกวันยังไม่เพียงพอ กลับไปจวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อพังของอีกด้วย และจวนเสนาบดีกั๋วกงในตอนนี้เป็นฝ่ายที่เรากล้ามีปัญหาได้หรือ นางไม่สองกระจกบ้างหรือ ไปจวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อขายขี้หน้าใช่ไหม"ฮูหยินผู้เฒ่าสาปแช่งไปพลางจับหน้าอกของนาง "ช่างเป็นหายนะ ช่างเป็นหายนะจริงๆ นางต้องตามหาซ่งซีซี เพื่อหยุดการแต่งงานของเจ้ากับครอบครัวหวัง"ทันใดนั้นจ้านเป่ยว่างก็ตระหนักได้ว่านางจะไม่ยั่วยุซ่งซีซีโดยไม่มีเหตุผล ต้องมีเหตุผลอะไร หรือว่าจะเป็นอย่างที่ท่านแม่พูด เพราะเรื่องแต่งงานระหว่างเขากับตระกูลหวังหรือเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ จ้านเป่ยว่างก็อารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาการแต่งงานครั้งนี้ เขาก็เป็นฝ่ายถูกบังคับ เป็
ในที่สุด จ้านเป่ยว่างก็ไปหายี่ฝาง เขาไม่ต้องการทะเลาะกันอีกต่อไป พวกเขาจำเป็นต้องพูดคุยกันดีๆ ให้เข้าใจกันเมื่อเข้าห้องก็เห็น นางนอนอยู่บนที่นอนโดยห่มผ้าห่มไว้ ใบหน้าของนางยังคงคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำเนื่องจากที่ใบหน้ามีรอยแผลเป็น นางก็ทำผ้าคลุมหลากสีสันมากมาย หากไม่มีผ้าคลุมหน้าหรือหมวกคลุมศีรษะนางจะไม่มีทางออกไปข้างนอกเมื่อก่อนที่เห็นนาง นางดูเหมือนนักชนไก่อยู่เสมอ อยากจะสู้กับเขาทุกที่ทุกเวลาแต่วันนี้ นางอยู่ในสภาพนิ่งเงียบและดูเหมือนป่วยหนัก เมื่อเห็นเขา นางก็เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองแวบนึงแล้วหรี่ตาลง จากนั้นก็เพิกเฉยต่อเขาเมื่อสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ นางเห็นเช่นนั้น จึงพูดว่า "ท่านแม่ทัพ ท่านมาสักที ฮูหยินไม่สบายมาสองวันแล้วเจ้าคะ"เขารู้ว่านางตามหาหมอประจำจวนมา จึงถามว่า "อาการดีขึ้นหรือยัง"ยี่ฝางหันหน้าออกไป และไม่คุยกับเขาวันนี้ ดูเหมือนทั้งสองต่างก็ไม่อยากทะเลาะกันจ้านเป่ยว่างนั่งบนเก้าอี้ เงียบอยู่นาน และพูดว่า "วันนี้ ท่างฝั่งจวนเสนาบดีกั๋วกงมาทวงเงิน"ดวงตาของยี่ฝางเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางรู้เรื่องนี้ สาวใช้ได้มารายงานแล้ว"เจ้าต้องการสื่ออะไร กล่าวหาว่าข้าไปก่อเรื่องท
จ้านเป่ยว่างออกไปจากจวน และเขามีความรู้สึกนึงติดอยูาในใจ อยากจะมุ่งหน้าไปที่จวนเสนาบดีกั๋วกงเขาต้องการถามซ่งซีซีด้วยตนเองว่าพวกเขายังมีความเป็นไปได้หรือไม่แม้ว่าวันนี้ยี่ฝางพูดว่าซ่งซีซีไม่เห็นเขามีค่าเลย ต่อให้ทัศนคติของซ่งซีซีจะบอกชัดเจนอยู่แล้วในสนามรบ แม้ว่าตอนนั้นที่เขาขอหย่าอย่างเด็ดขาดแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าซ่งซีซีไม่สามารถกำจัดเขาออกจากใจของนางออกไปได้อย่างรวดเร็วนางแค่โกรธความโหดเหี้ยมของเขา นางแค่เกลียดเขาที่ไม่รักษาสัญญาดั้งเดิมของเขาในเมื่อยังคงเกลียด และยังคงโกรธอยู่ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายยังห่วงใยแต่ลมหนาวที่โหมกระหน่ำปลุกเขาให้ตื่น หรือบอกอีกนัยว่าเขาอาจจะมีสติโดยตลอด แต่มันก็เป็นเพียงความหุนหันพลันแล่นชั่วขณะนึงก็เท่านั้นสถานการณ์โดยรวมได้รับการกำหนดแล้ว และมันก็ไม่สมเหตุสมผลสำหรับเขาที่จะไปที่ซ่งซีซีอีก แม้ว่าซ่งซีซีจะยังมีใจให้เขาแม้แต่น้อย ทว่านางก็จะแต่งงานกับเป่ยหมิงอ๋อง ส่วนเขาจะแต่งงานกับคุณหนูแห่งตระกูงหวัง และพวกเขาจะไม่มีวันได้มีความข้องเกี่ยวอีกเขากลับไปที่ห้องหนังสืออย่างเงียบๆ และนั่งเป็นเวลานาน ในสมองของเขามีแต่ภาพที่เขาแต่งงานกับซ่งซีซี ตอนนั
จ้านเส้าฮวนตกตะลึงด้วยการโดนตบไปฉาดนึงนางเอามือปิดหน้าพลางจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะร้องออกมาว่า "เจ้าตบหน้าข้าเหรอ เจ้าตบหน้าข้าเพียงเพื่อนังซ่งซีซีนั่น ข้าจะไปฟ้องท่านแม่"หลังจากพูดจบ นางก็กุมหน้าพลางวิ่งหนีไปจ้านเป่ยว่างต่อยประตูห้องหนังสือด้วยสีหน้าเจ็บปวด ซ่งซีซีไม่บริสุทธิ์งั้นเหรอ ในทางกลับกัน ซ่งซีซีบริสุทธิ์มากเขาไม่เคยแตะต้องซ่งซีซี นางยังคงบริสุทธิ์มาก น่าตลกสิ้นดี บัดนี้พอรู้ใจของตนเองแล้ว กลับพบว่าเขาไม่เคยได้ซ่งซีซีมาก่อนด้วยซ้ำถ้าตอนนั้นพวกเขาร่วมรักก่อนที่จะออกศึก งั้นตอนที่เขาแต่งงานกับยี่ฝางนั้น นางคงไม่ได้จะตัดสินหย่าอย่างเด็ดขาดขนาดนั้นกระมังหลังจากนั้นได้สักพักหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตามหาเขาไปก่อนที่เขาจะพูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าก็ชิงกล่าวว่า "แม่คิดว่าเส้าฮวนคิดแบบนี้ดีแล้ว แม่สนับสนุนนางมาก ขอแค่องค์หญิงใหญ่ยินยอมที่จะแนะนำนางให้รู้จักกับสนมฮุ่ยไทเฟย นางก็สามารถแต่งเข้าจวนเป่ยหมิงอ๋องได้ งั้นก็จะเป็นการแต่งงานที่ดีที่สุดและแม่จะสนับสนุนนางอย่างเต็มที่"จ้านเส้าฮวนที่อยู่ด้านข้างก็หยุดร้องไห้แล้ว และเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างยั่วยุจ้านเป่ยว่างส่ายหัว "เป
แน่นอนว่าซ่งซีซีเองก็ไม่ต้องการเข้าร่วมงานเลี้ยงของสนมฮุ่ยไทเฟยด้วย หลังจากที่รุ่ยเอ๋อร์พูดได้แล้ว นางก็ผ่อนคลายลงมากอ และเริ่มจัดการแผนการป้องกันทางทหารและแผนการฝึกหัดที่ท่านพ่อและพี่ชายของนางเขียนก่อนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเป็นชายแดนเฉิงหลิง หรือว่าเขตหนานเจียง ทั้งท่านพ่อและพี่ชายของนางต่างเคยเฝ้ามา พวกเขาคุ้นเคยกับช่องทางสำคัญมากและได้วาดแผนการป้องกันไว้มากมายเมื่อไม่มีสงคราม พวกเขาก็ยังส่งคนไปสำรวจทุกที่โดยได้ทำเครื่องหมายป้อมปราการแถมชายแดนไว้อย่างชัดเจนมันจะเขียนลวกๆ ไปหน่อยและยุ่งเหยิงนิดหน่อย ดังนั้นซ่งซีซีจึงเปรียบเทียบร่างของพวกเขาและร่างใหม่อีกฉบับนึงแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องทุ่มเทความพยายาม และไม่สามารถบรรลุผลได้ในเวลาอันสั้น เมื่อพิจารณาจากกองร่างพวกนั้น ซ่งซีซีคาดว่าถ้านางทำมันด้วยตัวเอง หากไม่มีสองสามเดือนคงทำไม่เสร็จแน่นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ถ้าศิษย์พี่ชายใหญ่อยู่ที่นี่คงจะดี ทั้งสายตาและสมองของศิษย์พี่ชายใหญ่เฉียบแหลม และทุกสิ่งที่เขามองแค่แวบเดียวก็สามารถจำขึ้นใจได้ เขาถือปากกา ราวกับมีสิงเข้าร่าง ก็จะเขียนอย่างคล่องแค่ลวนางทำจนปวดตา ทำมาสามวันแล้ว
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้
นายท่านเซียวแปดออกคำสั่งให้ไปสืบหาเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้จ้านเป่ยว่างเป็นผู้นำกำลังไปสืบข่าวตามที่ต่างๆเรื่องที่ซ่งซีซีเดินทางมายังชายแดนเฉิงหลิงนั้น จ้านเป่ยว่างรู้ดี วันนั้นตอนที่คณะทูตเดินทางมาถึงเขตเมือง เขายืนดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับเขายืนอยู่ไกลมาก ถึงขั้นที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน เห็นเพียงเงารางๆ คล้ายกับเป็นนางเท่านั้นเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองช่างทำเรื่องเปล่าประโยชน์ นางกับเขายังมีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก? เรื่องราวของเมืองหลวง เขาสมควรอยู่ให้ห่างที่สุดในระหว่างที่คณะทูตพักอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาต่างก็ใช้เวลาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจรจา รวมถึงจำลองสถานการณ์หลายครั้งทุกคนต่างเข้าใจดีว่าการเจรจาครั้งนี้ แม้จะง่ายกว่าครั้งก่อน แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริงนี่คือเรื่องที่จักรพรรดิ์นีใส่พระทัยเป็นอย่างยิ่ง นางจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ แน่นอนทางตระกูลเซียวเองก็เป็นกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามอาจส่งคนเข้ามาสืบความลับเกี่ยวกับกลยุทธ์ของคณะทูต หากพวกเขาล่วงรู้แผนการ ก็สามารถรับมือได้ทันการณ์ ซึ่งจะทำให้แคว้นซางเสียเปรียบดังนั้น นายท่านเซียวแปดจึงสั่
หอชุนหม่านในวันนี้เต็มแน่นไปหมดเดิมทีโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ปกติก็มีแขกมารับประทานอยู่บ้าง แต่เมื่อสตรีผู้นั้นพาคนชุดดำเข้ามา พวกเขาก็จับจองที่นั่งที่เหลือทั้งหมดซ่งซีซี เสิ่นว่านจือ และกุ้นเอ๋อร์ทั้งสามคน ถูกเจ้าของร้านเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว แยกออกจากพวกเขาเสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นข้างหูนาง แฝงแววขอโทษเล็กน้อย ทั้งยังฟังดูอบอุ่นน่าฟังยิ่งนัก “พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายของข้า เช่นเดียวกับข้า ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืนเลย หากแม่นางไม่สบายใจ ข้าจะให้พวกเขารออยู่ที่หน้าประตู แล้วแต่ละคนรับหมั่นโถวไปคนละลูกก็พอ”เสิ่นว่านจือถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ไม่จำเป็นหรอก นั่งตามสบาย อยากกินอะไรก็สั่งมาเถิด”บุรุษคนนั้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่นางทั้งงดงามและมีจิตใจเมตตานัก เช่นนั้นพวกข้าก็จะสั่งอาหารตามสบายแล้วกัน ขอมากหน่อย”“ได้…ได้สิ” เสิ่นว่านจือพยักหน้า แล้วกวาดตามองคนชุดดำที่เต็มร้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายบางอย่างที่แขนเสื้อ ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษร แต่เพราะเสื้อเหล่านั้นยับย่นและเปรอะเปื้อนจนมองแทบไม่อ
ซ่งซีซีมองสำรวจพวกเขาอยู่หลายครั้ง ในใจรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะไม่อาจเดาอายุของพวกเขาได้เลยหน้าตาดูเหมือนอายุราวสามสิบกว่าๆ ทว่ากลับมีกลิ่นอายของพลังชีวิต เปรียบเสมือนชายหนุ่มวัยสิบกว่าถึงยี่สิบปีเมื่อมองดวงตาของพวกเขาอีกครั้ง โดยเฉพาะดวงตาของบุรุษคนนั้น กลับลึกล้ำประหนึ่งบ่อน้ำโบราณ อีกทั้งยังดูคล้ายสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่เจนโลกยังไม่ทันที่ซ่งซีซีจะเอ่ยปาก บุรุษคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าพลางถามว่า “ที่นี่จะสร้างสถานรับเลี้ยงเด็กหรือ? เป็นโครงการของทางการใช่หรือไม่?”กุ้นเอ๋อร์มองพวกเขาแวบหนึ่ง ฟังจากสำเนียงของพวกเขาก็เป็นสำเนียงภาษาทางการของแคว้นซางโดยแท้ เห็นชัดว่าไม่ใช่คนจากชายแดนเฉิงหลิงเพียงแต่จากสีหน้าของพวกเขาก็ไม่เห็นเจตนาร้ายอันใด จึงตอบว่า “ใช่ ที่นี่รับเลี้ยงเด็กที่ถูกทอดทิ้งโดยเฉพาะ เป็นโครงการที่ทางการจัดตั้งขึ้น”บุรุษคนนั้นกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องดี”ซ่งซีซีเดินขึ้นไปถามว่า “ท่านมาจากเมืองหลวงหรือ?”บุรุษคนนั้นมองนาง แต่กลับไม่ตอบคำถามนี้ ทว่ากลับถามนางแทนว่า “เจ้าคือพระชายาของเป่ยหมิงอ๋อง ซ่งซีซีหรือ?”ซ่งซีซีรู้สึกระมัดระวังขึ้นมา ทันทีที่นางกำลังจะถามเขาว่ารู้ได
ฉินอ๋องหลับยาวจนถึงบ่ายวันรุ่งขึ้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะความหิวเมื่อลืมตาขึ้นมา รู้สึกว่าร่างกายแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บปวดไปทุกส่วนความอ่อนล้ากัดกินลึกถึงกระดูก แม้แต่จะยกมือขึ้นยังแทบไม่มีแรงในบรรดาคนรับใช้ที่ติดตามเขามา มีขันทีคนสนิทชื่อเสี่ยวจี๋จื่อ ยืนอยู่ข้างเตียง รายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายาเป่ยหมิงอ๋องมีเรื่องจะหารือกับท่าน นางรอท่านมาครึ่งวันแล้ว”เดิมทีฉินอ๋องตั้งใจจะกินข้าวบนเตียงแล้วนอนต่อ เพราะเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวแต่เมื่อได้ยินว่าซ่งซีซีรอเขามาครึ่งวันแล้ว เขาก็รีบเปิดผ้าห่มออกทันที สั่งเสียงเร่งรีบ “เปลี่ยนเสื้อผ้า เร็วเข้า”ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เขาได้เห็นความสามารถของซ่งซีซีกับตาตัวเอง นางเป็นสตรี แต่ไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อยแม้แต่คำเดียว ภายใต้การบัญชาของนาง ขบวนเดินทางหลีกเลี่ยงอันตรายมาได้หลายครั้ง ผู้คนมากมายล้มป่วยระหว่างทาง แต่นางกลับแข็งแรงราวกับวัวกระทิงคนที่มีความสามารถเช่นนี้ จะไม่มีวันเสียเวลามาหยอกล้อกับใครแน่ หากมาหาเขา ย่อมมีเรื่องสำคัญแน่นอนแม้เขาจะหิวจนไส้แทบกิ่ว แต่ก็รีบล้างหน้าแต่งตัว จากนั้นก็ดื่มโจ๊กหนึ่งชามแล้วรีบไปพบนาง “น้องสะใภ้