เมื่อเห็นนางในสนามรบที่เขตหนานเจียง เขารู้สึกซับซ้อนมากเขามักจะพูดถึงสามีของนางโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่นางก็หลีกเลี่ยงไม่อยากพูดถึงเขา เขาก็เข้าใจทันทีว่า จ้านเป่ยว่างอาจไม่ได้ปฏิบัติต่อนางอย่างดีเนื่องจากเหตุผลนี้ หมัดของเขาจึงกำชักแน่นขึ้นเป็นหลายครั้ง แข็งกระด้างหลายครั้งต่อมาถึงรู้ว่า นาง นางกลับหย่าโดยสันติแล้ว ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เห็นข้อดีๆ ของนาง ช่างเหลวไหล จ้านเป่ยว่าง เขาจดจำชื่อนี้เอาไว้แล้ว ผู้ชายคนนั้นมีตาไร้แววจริงๆตอนนั้นเขาโกรธมากจนอยากจะควักลูกตาของเขาออกมา ถึงกล้าให้นางต้องเจอกับเรื่องไม่เข้าท่าเช่นนี้หลังจากที่เขาโกรธแล้ว แต่แล้วก็ดีใจอย่างผิดศีลธรรมอีกครั้ง แน่นอนว่าพอมองจากภ่ยนอกจะไร้สีหน้าใดๆ จะให้คนนอกรู้ว่าเขาแอบดีใจในใจได้ยังไงในวันที่ร่วมรบกับนาง เขาต้องซ่อนความรู้สึกตลอดเวลาและบอกตัวเองว่าอย่าซ่อนความรู้สึกส่วนตัวไว้ในสายตาของตนเองแม้แต่น้อยช่วงสามปีที่อยู่ในสนามรบที่เขตหนานเจียง อารมณ์ของเขาขึ้นๆ ลงๆ มากแม้ว่าเสด็จพี่จะควบคุมความคิดของเขาหลังจากกลับมาที่เมืองหลวง แต่ก็ไม่สำคัญ ประเทศไม่มีสงคราม เขาไม่ต้องการอำนาจทางทหาร เขาเพียงต้องการนางเท่า
วันรุ่งขึ้น รุ่ยเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาและความเจ็บปวดยังคงอยู่ แต่ไม่เจ็บปวดเท่ากับตอนที่กระดูกหักและถูกต่อกลับเข้าไปใหม่แล้วในขณะที่ต้องอดทนกับความเจ็บปวด เขาก็ต้องฝืนยิ้มเพื่อปลอบใจท่านอาและคนในครอบครัวของท่านตาอีกด้วยท่าทางที่เข้มแข็งของเขาเช่นนี้ทำให้คนอื่นเห็นใจจริงๆถึงกระนั้น แต่การฝังเข็มที่คอยังทำต่อไป หงเชวี่ยบอกว่ามันหยุดไม่ได้ เมื่อวานต่อกระดูกไม่ได้ฝัง วันนี้เว้นไม่ได้อีกเลยโดยเฉพาะเมื่อเขากรีดร้องในเมื่อวานนี้ มันค่อนข้างได้ผล ทั้ง หมอมหัศจรรย์ดันและหงเชวี่ยต่างเชื่อว่าพิษในร่างกายของเขาได้รับการล้างพิษเร็วกว่าที่คาดไว้ยิ่งไปกว่านั้น การติดยาของยาไส้หมู่ด่านไม่ได้กำเริบอีกเลย นี่ทำให้หมอมหัศจรรย์ดันประหลาดใจ ต้องรู้ว่าแม้ว่าเขาจะยอมรับว่าจะเลิกยา แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีขึ้นไป เขาอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น กลับมีความตั้งใจแน่วแน่เช่นนั้นหมอมหัศจรรย์ดันพูดกับหงเชวี่ยเป็นการส่วนตัวว่า "ตระกูลซ่งไม่มีคนอ่อนแอจริงๆ จิตวิญญาณของตระกูลซ่ง น่าประทับใจยิ่งนัก"หงเชวี่ยก็คิดเช่นนั้น หลังจากที่เขาทำการรักษาให้รุ่ยเอ๋อร์ เขาได้สร้างความสัมพันธ์กับรุ่ยเอ๋อร์แล้ว เขาถือว่าเ
ซ่งซีซีพยักหน้าและถามต่อว่า "ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามต่อ ที่ความคิดเห็นจาคนทั่วไปจะดูถูกเขา เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติตามความเมตตากรุณา ความยุติธรรม มารยาท ภูมิปัญญา และความไว้วางใจข้อใด้บ้างล่ะ""มันเป็นการแต่งงานครั้งที่สองของเจ้าส่งผลกระทบต่อเขา""การแต่งงานครั้งที่สองของข้าเกี่ยวอะไรกับเขา การแต่งงานครั้งที่สองเป็นเรื่องของข้าเอง" ซ่งซีซีพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น โดยไม่แสดงความละอายอย่างที่เหลียงเส้าคิดไว้ "ขอถามอีกครั้ง ที่ข้าแต่งงานใหม่หลังหย่า มันผิดกฎหมายหรือผิดธรรมเนียม? จะถามเพิ่มหน่อย หากผู้หญิงถูกทอดทิ้งก็ควรบวชเป็นแม่ชี และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตลอดการถือว่าเป็นทางเลือกที่ถูกต้องหรือ?"เหลียงเส้าเยาะเย้ย "พูดเก่งสินะ!"ไม่สามารถโต้เถียงกับคำพูดของซ่งซีซีได้ เขาจึงเลือกที่จะตอบด้วยความดูถูกซ่งซีซียิ้มลึกขึ้น "ขุนนางดอกไม้ ไม่ยอมพัฒนาตนเอง พอทำเรื่องผิดพลาดไปกลับไม่ยอมปรับปรุง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าเป็นห่วงจริงๆ"ทันใดนั้นเหลียงเส้าก็รู้โกรธขึ้นมา "เจ้า... ข้าเป็ฯหวังดี แต่เจ้ากลับดูถูกฉันด้วยคำพูดของนักบุญ มีญาตเช่นนี้ ไม่ไปมาหาสู่จะดีกว่า!"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ลุกขึ้นยื
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงท่านบางคน นางจำได้ว่ามีตระกูลหวังตระกูลหนึ่งมาสู่ขอเขาหวังเบียว เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านป๋อผิงซี แต่ท่านแม่ไม่ชอบเขาช่างเถอะ เรื่องในอดีตก็อย่าไปพูดถึงอีก นางกับเซี่ยหลูโม่จะแต่งงานกันในอีกสองเดือนข้างหน้า เรื่องที่ผ่านไปก็ให้มันแล้วไป ให้ความสำคัญกับปัจจุบันบอกลาอดีตและวิ่งไปสู่อนาคตอากาศเริ่มเย็นลง ดอกบ๊วยในสวนก็ผลิดอกตูม และคาดว่าจะบานในอีกไม่กี่วันข้างหน้าดอกบ๊วยในปีนี้จะบานเร็วกว่าทุกปี ซึ่งลุงฟูกล่าวว่าเป็นสัญญาณอันเป็นมงคลรุ่ยเอ๋อร์สามารถลงพื้นได้ แต่สามารถเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวเอง ก็จะกลับไปพักผ่อนที่เตียงในจวงกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงาน ชุดแต่งงานได้ถูกเย็บในวันที่ประกาศจะแต่งงาน และส่งมอบให้กับช่างปักของร้านเฟิงเหลียน สตรีผู้สูงส่งในเมืองหลวงต่างงานมักจะสั่งตัดเสื้อผ้าที่ร้านเฟิงเหลียน เพราะหนึ่ง งานปักทำได้ดีและรวดเร็วมาก และประการที่สอง นักปักที่ร้านเฟิงเหลียนล้วนเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยราชวงศ์ซาง นักธุรกิจและขุนนางที่ร่ำรวยจำนวนมากจากที่อื่นต่างใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อสั่งชุดแต่งงานจากร้านเฟิงเหลียนมีอยู่วันหนึ่งที่แม่นมเหลียง
แต่สองวันต่อมา ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนป๋อผิงซีกลับส่งคำเชิญมา โดยบอกว่าพรุ่งนี้จะพาคุณหนูสามมาเยี่ยมเมื่อแม่นมเหลียงมารายงาน นางก็พูดว่า "ไม่งั้นไม่เจอดีกว่า ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการทำอะไร ถ้ามาเพื่อสอบถามสถานการณ์ในจวนแม่ทัพ ก็น่าจะถามตั้งนานแล้ว แทนที่รอจนกว่าการแต่งงานถูกตกลงเอาไว้ และขนาดเตรียมชุดแต่งงานแล้วถึงมา"ซ่งซีซีก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่จะพบปะ ก่อนถามว่า "คำเชิญเขียนอะไรบ้าง"แม่นมเหลียงกล่าวว่า "พวกเขาบอกว่ามาเยี่ยมเราเพื่อแสดงความยินดีการกลับมาของนายน้อยของเรา นี่เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น นายน้อยของเรากลับมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พวกเขาถึงยอมมาเยี่ยม ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา"ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ไปตอบเขาว่า รุ่ยเอ๋อร์ยังอยู่ระหว่างการพักฟื้นอยู่ ไม่เหมาะสมที่จะมีแขกมาเยี่ยม เมื่อเขาหายดีแล้ว ข้าจะพาเขาไปเยี่ยมถึงจวน"แม่นมเหลียงพยักหน้าตอบรับแล้วหันหลังกลับซ่งซีซีไม่เหมาะที่พบแม่ลูกสองคนพวกนั้นจริงๆ คงมาเพื่อเรื่องของจวนแม่ทัพ เรื่องจวนแม่ทัพ นางไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเลย ไม่ควรพูดอะไร เป็นการดีที่สุดที่จะไม่พบพวกเขาหลังจากตอบกลับแล้ว พอสองวันต่อมา หิมะแรกแห่งปีนี
เซี่ยหลูโม่มาเยี่ยมรุ่ยเอ๋อร์ในตอนเย็น การปลอบโยนจากเขามีผลดีกว่าหงเชวี่ยและท่านอาเลยและคำพูดปลอบใจของเขาเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ว่า "ลูกผู้ชายต้องรู้จักอดทน"ทันทีที่เขาพูดคำเหล่านี้ รุ่ยเอ๋อร์ก็หมดความวิตกกังวลและยอมรับการรักษาอย่างสงบและว่าง่ายเลยเซี่ยหลูโม่อยู่ฝึกเขียนอักษรเป็นเพื่อนเขาเป็นเวลาครึ่งชั่วยามลายมือของเขาสวยขึ้นเรื่อยๆ และการใช้นิ้วก็คล่องแคล่วกว่าเดิมตั้งเยอะเลย ความก้าวหน้าของเขาทำให้ผู้คนมีความสุขมากเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนช่างพูด เมื่อเซี่ยหลูโม่อยู่ข้างๆ เขาถามคำถามมากมายบนกระดาษ ซึ่งทั้งหมดไม่ได้สำคัญอะไร แค่คุยเล่นเฉยๆเซี่ยหลูโม่ก็พูดคุยกับเขาอย่างใจเย็น และตอบทุกสิ่งที่เขาถามซ่งซีซีอยู่เป็นเพื่อนกับเขาสักพักแล้ว จากนั้นก็ให้คนไปเตรียมอาหารเย็น และให้ท่านอ๋องอยู่ต่อเพื่อทานอาหารเย็นที่จวนตอนนี้ เซี่ยหลูโม่จะรับประทานอาหารที่จวนเสนาบดีกั๋วกงเป็นครั้งคราว และแม่นมเหลียงก็รู้ว่าเขาชอบกินอะไรเป็นพิเศษ ไม่ชอบกินหวานแต่ก็พอกินได้ กินเผ็ดไม่ค่อยได้แต่ยอมกินเผ็ดเป็นเพื่อนคุณหนูทุกครั้งเขามีความอยากอาหารมากและสามารถกินข้าวเปล่าได้หกชามในมื้อเดียว กินอะไรได้หมด
ฮ่องเต้ต้องการช่วยระบายความโกรธให้นาง และให้จ้านเป่ยว่าง แต่งงานกับผู้หญิงที่หย่าโดยสันติหลังจากแต่งงานได้หนึ่งปีมันพอดีเลย นางกับจ้านเป่ยว่างก็หย่าหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปีเช่นกันเพียงแต่ว่า คุณหนูสามคนนั้นอาจไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เพราะฮ่องเต้ได้ออกคำสั่งไว้แล้ว ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้วันนั้นที่นางมาหา นางคงอยากรู้ว่าจ้านเป่ยว่างเป็นคนแบบไหนที่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ จะทำให้ซ่งซีซีรู้สึกว่าตนเองอาจทำให้คุณหนูสามเดือดร้อนไปด้วยนี่ไม่ใช่การระบายความโกรธให้นาง แต่เป็นการสร้างศัตรูให้นางมากกว่าดูเหมือนว่า นางต้องการพบกับคุณหนูสามสักครั้ง อย่างน้อยก็เพื่อกำจัดความขุ่นเคืองของพวกนาง เพื่อที่จะไม่เป็นศัตรูกับจวนเสนาบดีกั๋วกงเพื่อตัวเอง มันไม่ได้สำคัญอะไร ต่อไปรุ่ยเอ๋อร์จะเป็นผู้นำของจวนเสนาบดีกั๋วกง อย่าเพื่อเรื่องนี้ทำให้เกิดความแค้นใจขึ้นมาเมื่อเห็นนางขมวดคิ้ว เซี่ยหลูโม่จึงกล่าวว่า "ฮูหยินผู้เฒ่าจากป๋อผิงซีส่งคำเชิญอยากมาเยี่ยม คงอยากถามไถ่เรื่องที่เจ้าหย่ากับจ้านเป่ยว่าง เรื่องนี้ข้างนอกลือกันใหญ่ แต่พวกนางเป็นคนมีเหตุผล รู้ว่าข่าวที่ข้างนอกลือกันนั้นไม่อาจเป็นความจริงท
ฮูหยินผู้เฒ่าสวมเสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายลายเมฆสีฟ้า ถือถังทำความร้อนอยู่ในมือ นางดูมีอายุประมาณห้าสิบปี มีผมหงอกบางส่วน ผมของนางหวีเป็นมวยอย่างประณีต และดูสง่างามมากเมื่อมองไปที่คุณหนูสาม นางแต่งตัวเรียบๆ ใต้เสื้อขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว นางสวมกระโปรงสีเหลือง อายุยี่สิบกว่า และดูสวยงาน แต่ใบหน้าของนางดูไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อย หากมิใช่มีสีเหลืองนี้ ก็คงรู้สึกว่าออร่าของนางดูเชยกว่าท่านแม่ของนางซะอีกหลังจากที่ซ่งซีซีเชิญพวกนางนั่งลง นางก็อธิบายว่า "ก่อนหน้านี้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคำเชิญมา ตอนนั้นรุ่ยเอ๋อร์กำลังอยู่ระหว่างช่วงการรักษา ข้าเลยไม่อาจเจียดเวลามาพบแขก กลัวว่าจะเสียมายาทได้ เลยให้คนรับใช้ปฏิเสธไปก่อน ตอนนี้เขาดีขึ้นมากแล้ว เลยอยากจะชวนทั้งสองคนมารวมตัวกันที่จวน ขอบคุณที่พวกเจ้ายังคงคำนึงถึงรุ่ยเอ๋อร์"วันนั้นที่พวกนางออกคำเชิญ โดยบอกว่าจะมาเยี่ยมนายน้อยรุ่ยเอ๋อร์ ซ่งซีซีย่อมต้องพูดเช่นนั้นไปฮูหยินผู้เฒ่าถามว่า "ตอนนี้นายน้อยเป็นยังไงบ้าง?""ดีขึ้นมากแล้วเจ้าคะ เป็นพรของเขาที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วง" ซ่งซีซีกล่าวฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มและพูดว่า "ข้ารู้ว่าที่จวนเสนาบดีกั๋วกงของพวกเจ้ามีทุกอย่