องค์หญิงใหญ่กัดฟันแน่นและพูดสามคำออกมาว่า "ซ่งซีซี"ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ สนมฮุ่ยไทเฟยก็ก้มหน้าลงอีก และสายตาของนางก็เริ่มเหม่อลอยนางได้ส่งคนไปติดตามซ่งซีซี เพื่อดูว่านางได้ไปที่จวนองค์หญิงใหญ่หรือไม่ แต่ยังไม่ทันคนของนางกลับมารายงานเลย องค์หญิงใหญ่เข้าวังก่อนแล้ว ยังเรียกนางมาด้วยเมื่อเห็นท่าทีขององค์หญิงใหญ่ สนมฮุ่ยไทเฟยไม่จำเป็นต้องฟังคำรายงาน ก็สามารถมั่นใจได้ว่าซ่งซีซีไปที่จวนองค์หญิงแล้ว และยังพูดคำรุนแรงกับองค์หญิงใหญ่ แต่น่าจะเป็นคำพูดที่ทำให้ตนเองสะใจแน่ๆไม่รู้ว่าได้พูดอะไรไปบ้าง? สามารถทำให้ยายแก่ปากร้ายนี้โกรธมากเช่นนี้ ไม่เคยเห็นนาง เข้าวังเพื่อตามหาฮ่องเต้ออกหน้าแทนนางมาก่อนเลยไทเฮาขมวดคิ้ว "ซ่งซีซี นางเป็นอะไร เหตุใดต้องให้ฮ่องเต้ออกคำสั่งไปลงโทษนาง?"องค์หญิงใหญ่พูดด้วยความโกรธว่า "นางบุกรุกเข้าจวนของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตเลย ยังพูดจาหยาบคายกับข้า"ไทเฮาเป็นคนเข้าข้างซ่งซีซีมากที่สุดแล้ว และนางก็ไม่ถูกคอกับองค์หญิงใหญ่ นางกล่าวว่า "นางบุกรุกเข้าไปจวนของเจ้า เจ้าก็สั่งให้คนไล่นางออกก็ได้แล้วนี่ ส่วนนางพูดจาหยาบคาย นางหยาบคายยังไง เจ้าว่ามาให้ฟังหน่อยสิ"องค์หญิ
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้นวดมือเบาๆ ก่อนพูดว่า "เสด็จอาใจเย็นๆ ก่อนที่นางบุกเข้าไปในจวนองค์หญิงและด่าทอท่านมันไม่เหมาะจริงๆ และเสียบุคลิกที่เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของตระกูลชั้นสูง นางได้ด่าทอท่านยังไง มีใครเป็นพยานได้หรือไม่ ท่านบอกกับข้า ข้าจะคืนยุติธรรมกับท่านแน่นอน ส่วนเรื่องที่นางใส่ร้ายท่านมอบอนุสรณ์พรหมจรรย์ให้นั้น ข้าจะสั่งให้สำนักเขตจิงจ้าวไปตรวจสอบ หากสืบเจอว่ามันเป็นเรื่องโกหกเพื่อใส่ร้ายท่าน ข้าจะลงโทษนางในรวดเดียวเลย""พยานเหรอ? มีมากมาย ทุกคนในจวนขององค์หญิงก็สามารถเป็นพยานได้ ว่านางบุกเข้ามาและองครักษ์ก็ไม่สามารถหยุดนางได้ ส่วนที่เรื่องที่นางด่าทอข้า คนในจวนขององค์หญิงก็ได้ยินเช่นกัน"นางหยุดชะงัก "สำหรับให้สำนักเขตจิงจ้าวไปตรวจสอบเรื่องอนุสรณ์พรหมจรรย์นั้น ไม่จำเป็นจริงๆ จะเสียแรงไปตรวจอย่างนั้น เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่เข้าไปอีก ประชาชนต่างก็โง่ พอเห็นสำนักของรัฐไปตรวจสอบก็คิดว่าเป็นเรื่องจริง ถึงสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่าข้าไม่ได้ทำ แต่ก็ยากที่จะชี้แจงได้"ไทเฮาถามอย่างหงุดหงิดมากทีเดียว "ตกลงว่านางด่าทอเจ้าอะไรบ้าง เจ้าพูดมาสิ"องค์หญิงใหญ่ทำหน้าบูดบึ้ง "ไม่สำคัญว่านางได้ด
เมื่อเห็นสีหน้าขององค์หญิงใหญ่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง และจากสีแดงเป็นซีดเผือด สนมฮุ่ยไทเฟยรู้สึกสะใจอย่างยิ่ง ในที่สุดก็ถึงเวลาที่นางโดนเอาเปรียบแต่กลับหาคนช่วยไม่ได้แม้ว่าสนมฮุ่ยไทเฟยจะไม่เข้าใจว่าทำไมเอาผิดซ่งซีซีด้วยเหตุผลนี้ ข้อกล่าวหาเรื่องการไม่เคารพราชวงศ์ก็ไม่ใช่ผิดเบาๆแต่องค์หญิงใหญ่กลับเงียบลงไป เห็นได้ชัดว่านางไม่สามารถลงโทษนางด้วยข้อกล่าวหานี้ได้ต้นสายปลายเหตุในเรื่องนี้ ต้องหาเวลาไปถามพี่สาวอีกทีนางถึงเข้าใจ แต่ก็ไม่ส่งผลทำให้นางชื่นชมสีหน้าเขียวคล้ำถมึงทึงขององค์หญิงใหญ่ในตอนนี้ในที่สุดองค์หญิงใหญ่ก็จากไปด้วยความโกรธ แต่การเข้าพระราชวังครั้งนี้ทำให้นางเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเหตุผลที่ซ่งซีซีกล้าบังอาจเช่นนั้น เป็นเพราะมีไทเฮาและฮ่องเต้เป็นที่พึ่งให้ มิใช่แค่เซี่ยหลูโม่คนเดียวไม่น่าแปลกใจเลยที่นางกำเริบเสิบสานหลังจากที่องค์หญิงใหญ่เสด็จจากไป ฮ่องเต้ก็จับหน้าผากของเขาแล้วถอนหายใจเบาๆ "ดูเหมือนว่าเหตุการณ์อนุสรณ์พรหมจรรย์จะเป็นเรื่องจริง เสด็จอาทำมากเกินไปแล้วจริงๆ"ไทเฮาทำหน้าบูดบึ้ง "ขนาดข้าก็อยากตบนาง ทั้งหยิ่ง โง่เขลา เลวทรามและเห็นแก่ตัว นางทำให้ราชวงศ์เส
ทำไมไทเฮาถึงไม่รู้ว่าน้องสาวของตนเองคิดอะไรอยู่? ดังนั้นเวลานี้แค่เตือนสักหน่อย "อีกสักพักเจ้าจะไปที่จวนอ๋อง เพื่ออาศัยอยู่กับโม่เอ๋อแล้ว หากเจ้าไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ในจวน ก็อย่ายึดอำนาจมาดูแล หลังซีซีแต่งเข้าจวนอ๋องนางจะจัดการ…""พี่สาว ที่พี่พูดนั้นใช้ไม่ได้นะ" สนมฮุ่ยไทเฟยขัดจังหวะไทเฮา และพูดอย่างจริงจังที่ปกติไม่ค่อยทำเช่นนี้ "มีที่ไหนลูกสะใภ้เพิ่งแต่งเข้ามาก็ให้ดูแลบ้าน ข้าไม่ไว้ใจนาง พวกเราเป็นพี่น้องกัน ข้าไม่กลัวที่จะพูดตรงๆ ออกมา ข้าไม่ชอบนาง และข้าไม่อยากให้นางเป็นสะใภ้ของข้า ยิ่งไม่ต้องการให้นางมาดูแลเรื่องของจวนอ๋องเลย""โอ้? งั้นเจ้าจะดูแลเองหรือ?" ไทเฮาเลิกคิ้ว "ก็ได้นี่ เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าจะให้หวงโฮ่วมอบสิทธิ์ให้เจ้ามาร่วมจัดการวังหลังและปล่อยให้นางได้พักผ่อนบ้าง เจ้าลองดูแลสักสองสามวันดูก่อน""หาใช่ว่าน้องไม่ใช่ไม่เคยดูแลเรื่องในวังเลย หวงโฮ่วเป็นผู้ดูแลฝ่ายใน ข้าก็เคยช่วยไปไม่น้อย นอกจากนี้ ตอนที่พี่ดูแลเรื่องวังหลัง น้อยไม่ได้ช่วยอะไรหรือ?""ก็ช่วยแล้วแหละ ช่วยสร้างปัญหาให้ไง" ไทเฮาพูดอย่างไม่ไว้หน้าให้นาง "ท่านพ่อท่านแม่เอาแต่ตามใจเจ้า หลังจากที่เจ้าเข้าวัง
เรื่องนี้ทำโดยองค์หญิงใหญ่จริงๆ ในเมื่อไม่สามารถให้ฮ่องเต้ลงโทษซ่งซีซีด้วยข้อกล่าวหาว่าไม่เคารพราชวงศ์ได้ งั้นนางจึงควรสอนบทเรียนให้ซ่งซีซีในแบบของนางเองชาวเมืองในเมืองหลวงต่างก็ชื่นชมว่า นางเป็นคนมีกตัญญูไม่ใช่เหรอ? งั้นก็มาดูกันว่าลูกสาวออกเรือนในช่วงเวลาที่ไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อของนาง จะโดนประชาชนด่าหรือไม่ป้าหลู่ ผู้ดูแลจวนองค์หญิงเดินเข้าไปอย่างมีความสุขและรายงานว่า "องค์หญิง ท่านหญิง ตอนนี้ข่าวแพร่สะพัดไปข้างนอกหมดแล้ว โรงน้ำชาและร้านอาหารต่างพูดคุยเรื่องนี้ และเกือบเป็นคำด่าทอล้วนๆ""เกือบเหรอ ไม่ใช่ทั้งหมดหรือ?" ท่านหญิงเจียอี้ขมวดคิ้ว "มีผู้คนออกหน้าช่วยพูดให้นางด้วยหรือ?"ป้าหลู่พูดว่า "ท่านหญิง มีบางคนที่ไม่ได้เรื่องได้ช่วยพูดให้นาง โดยบอกว่าตอนที่นางออกเรือน เวลาผ่านไปยี่สิบสี่เดือนแล้วนับตั้งแต่ท่านพ่อของนางเสียชีวิต"เมื่อบิดาเสียชีวิตหรือมารดาเสียชีวิต บุตรควรไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปี ทว่าสามปีถือเป็นปีเท็จ แต่แท้จริงแล้วจะไว้ทุกข์ให้ยี่สิบสี่เดือนเต็มก็พอท่านหญิงเจียอี้ตรัสว่า "สามัญชนผู้ใดบ้างที่จะจำวันออกเรือนของนางได้เล่า อาจเป็นคนจากจวนเสนาบดีกั๋วกงของนางเพื่อมาทำใ
องค์หญิงใหญ่ยิ้มช้าๆ ใช่สิ ถึงเวลาไปหาบ่อเงินบ่อทองนี่เพื่อขอเงินแล้วสนมฮุ่ยไทเฟยจามอย่างรุนแรงในตำหนักฉางชุน เมื่อถึงตอนเที่ยง นางกำลังเตรียมตัวจะงีบหลับสักหน่อย กลับได้ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงเจียอี้มาขอพบแม่นมเกาขมวดคิ้ว พวกสองแม่ลูกนั้นมาพร้อมกัน ก็คงเดาออกว่ามาเพื่ออะไรไม่กี่ปีที่ที่แล้ว ท่านหญิงเจียอี้และพระสนมเต๋อกุ้ยไทเฟยได้ร่วมมือเปิดร้านขายเครื่องสำอาง และทำเงินได้มาหน่อยนึงสนมฮุ่ยไทเฟย ผู้ไม่ยอมแพ้ทุกเรื่องนั้น เมื่อได้ยินว่าพวกนางทำเงินได้ และอยากเปิดร้านเช่นกัน แต่นางไม่ต้องการเปิดร้านร่วมกับท่านหญิงเจียอี้ ต้องการร่มมือกับหลานของครอบครัวท่านพ่อแม่ตนเองมากกว่าทว่าท่านหญิงเจียอี้มาหานางถึงบ้าน โดยบอกว่ามีสูตรลับเฉพาะ และเรื่องสำอางที่นางทำออกมานั้นไม่ต้อยกว่าในวังแม้แต่น้อย อยากให้สนมฮุ่ยไทเฟยออกทุมสามพันตำลึง และทั้งสองคนก็ทำงานร่วมกันเพื่อเปิดร้านขายเครื่องสำอางสนมฮุ่ยไทเฟยย่อมไม่ไว้วางใจท่านหญิงเจียอี้ได้ ดังนั้นองค์หญิงใหญ่จึงออกหน้า และนางพูดประชดประชนสนมฮุ่ยไทเฟยยกใหญ่ โดยบอกว่าก็แค่เป็นห่วงเจียอี้มาหลอกให้นางออกเงิน ไม่ไว้ใจสองแม่ลูกพวกนางพวกนั้น
เงินที่เอามาจาสนมฮุ่ยไทเฟย องค์หญิงใหญ่ก็แบ่งออกไปก้อนนึง โดยสั่งให้นักเล่าเรื่องในโรงเตี๊ยมและร้านอาหารยังคงใส่สีตีไข่กับเรื่องที่ซ่งซีซีไร้ความกตัญญูเมื่อเห็นว่าจวนเสนาบดีกั๋วกงไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด ถึงขนาดปิดประตูไม่ออกไปไหน องค์หญิงใหญ่เลยคิดว่านางกลัวการด่าทอข้างนอก นางรู้สึกสะใจอย่างยิ่งการต่อต้านกับนาง ก็เหมือนกับการตีก้อนหินด้วยไข่นางฉวยโอกาสเข้าวังไปพบฮ่องเต้ โดยบอกกับฮ่องเต้ว่าให้เซี่ยหลูโม่แต่งงานกับซ่งซีซีเท่ากับสร้างความหวังให้เขาได้แย่งชิงบัลลังก์ของเขาจริงๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ ควรห้ามซ่งซีซีแต่งเข้าจวนเป่ยหมิงอ๋องเดิมทีนางคิดว่าฮ่องเต้จะคิดอย่างลึกซึ้งหลังจากได้ยินสิ่งนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าเขาทำหน้าเย็นชา "เสด็จอาพูดอะไร ทั้งน้องชายและซีซีต่างเป็นแม่ทัพ ได้ฟื้นฟูเขตหนานเจียงกลับคืนมาและปกป้องประเทศ พวกเขาภักดีต่อข้าและราชสำนัก นอกจากนี้ น้องชายกับข้าเป็นพี่น้องกันและเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก น้องจะไม่ทำเรื่องแบบนั้น เสด็จอาอย่าคิดแบบมั่วๆ"องค์หญิงใหญ่สะดุ้ง จากนั้นจึงวางท่าเป็นอาขึ้นมา แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า "โง่จัง ใจคนจะไว้ใจได้อย่างไร? เรื่องที่รา
มีลูกค้าที่ดื่มชาจำคนได้ คนที่กำลังพูดด้วยความโกรธก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากท่านโหราแห่งสำนักเสียงสนทนาระเบิดขึ้นทันที วันอันเป็นมงคลที่ท่านโหราเลือกเองจะอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ได้อย่างไรท่านโหราชี้ไปที่นักเล่าเรื่องที่กำลังตกตะลึงและพูดด้วยความโกรธเคืองว่า "ผู้ใดสั่งให้เจ้ามาใส่ร้ายจวนเสนาบดีกั๋วกง วีรบุรุษทั้งเจ็ดของเสนาบดีกั๋วกงซ่ง ล้วงเสียชีวิตในสนามรบที่เขตหนานเจียง แม่ทัพซ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพ ได้สร้างผลงานที่สนามรบไม่น้อย ช่วยท่านเป่ยหมิงอ๋องฟื้นฟูเขตหนานเจียง ขอแค่เป็นประชาชนที่มีความรักต่อบ้านเมืองของแคว้นซางบ้าง ต่างก็จะนับถือจวนเสนาบดีกั๋วกงอย่างยิ่ง เจ้ากลับอยู่ที่นี่มาใส่ร้ายป้ายสีแบบนี้ หาว่าแม่ทัพซ่งไม่มีความกตัญณู เจ้ามีเจตนาอะไรฮะ"มีคนคาดเดาเสียงดังว่า "เกรงว่าคงจะเป็นสายลับศัตรูที่จงใจมาใส่ร้ายแม่ทัพซ่งสินะ?"อีกคนหนึ่งก็พูดเสริมเสียงดัง "เป็นไปได้จริงๆ ทุกคนลืมไปแล้วเหรอ? ตระกูลซ่งทั้งหมดถูกสายลับจากเมืองซีจิงฆ่าตาย บางทีเขาอาจเป็นสายลับเมืองซีจิงที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นซางของเรา รีบไปรายงานแจ้งสำนักรัฐได้เลย"นักเล่าเรื่องตื่นตระหนกอย่างยิ่งและโบกมือ
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป
ซ่งซีซีหยุดฝีเท้า หันกลับมากล่าวว่า “คนในครอบครัวของนางปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี เพียงแต่ตอนที่หลานสาวของนางจะออกเรือน เกิดเรื่องสะดุดอยู่บ้าง โชคดีที่ท้ายที่สุดก็แต่งกับบุรุษที่ดี นางคงกลัวว่าตนเป็นหญิงโสดสูงวัย เคยแต่งงานมาแล้วถึงสองครั้ง จะถูกผู้คนติฉินนินทา พลอยทำให้หลานๆ เดือดร้อน และไม่อยากให้พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเป็นกังวลด้วย”ข้าตอบรับในลำคอ พลางนึกถึงฮูหยินจีผู้เด็ดเดี่ยวแต่จิตใจดีงามฮูหยินจีมีบุตรชายหนึ่ง บุตรหญิงหนึ่ง ด้านหลังยังมีลูกอนุอีกหลายคน เรือนรองก็เช่นกัน บัดนี้คงยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนข้านึกถึงตอนที่ฮูหยินจีจะต้องไปเจรจาสู่ขอให้พวกเขา คงยากลำบากไม่น้อย ต้องเผชิญกับเสียงนินทานานัปการจากภายนอกข้าเห็นนางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยใจจริง และรู้สึกสงสารในสิ่งที่นางต้องพบเจอ“เจ้าลองคิดดูเถิด” ซ่งซีซีกล่าวข้าพยักหน้า แล้วเหลือบมองภายนอก เห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่แถบนั้น จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้ามาอยู่กับข้าสองต่อสองเช่นนี้ มิกลัวเนี่ยเจิ้งอ๋องหึงหรือ? เขาไม่รู้หรือไร?”ซ่งซีซีมีท่าทีตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนนึกไม่ถึงว่าข้าจะถามเรื่องเช่นนี้นางอาจไม่คิดจะตอบ เพราะนางก้าวเท้า
เมื่อแม่ทัพใหญ่เซียวได้ฉลองวันเกิดอายุครบแปดสิบปี ข้าก็ได้พบกับซ่งซีซีอีกครั้งก่อนหน้านี้ ข้าก็เคยพบนางหลายครั้ง นางเคยมาที่ชายแดนเฉิงหลิงข้ากับนางดูเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีการพูดคุยกัน เพียงแต่ทุกครั้งที่นางจากไปจากชายแดนเฉิงหลิง ข้าก็มักจะแอบตามส่งนางอยู่ห่างๆใจลึกๆ ที่ทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่อสิ่งใดข้ามักรู้สึกผิดกับนางอยู่เสมอกับยี่ฝางและหวังชิงหรู ข้าก็มีสิ่งที่รู้สึกผิดอยู่เช่นกัน แต่ระหว่างข้ากับพวกนางต่างฝ่ายต่างบาดหมาง โต้เถียงกัน พวกนางเคยทำร้ายข้า ข้าก็เคยทำร้ายพวกนางแต่กับซ่งซีซี มีเพียงข้ากับคนในครอบครัวที่ทำร้ายนาง นางไม่เคยแม้แต่จะทำร้ายพวกเราเลยสักครั้ง แม้แต่หลังจากหย่าขาดกันแล้ว นางจะไม่สนใจอาการป่วยของท่านแม่ก็ได้ แต่นางกลับสอนพี่สะใภ้ใหญ่ให้รู้วิธีขอยาดันเสวี่ยเมื่อข้าได้พบกับนางในงานฉลองวันเกิดแปดสิบปีของแม่ทัพใหญ่เซียว นางได้กลายเป็นพระชายาของเนี่ยเจิ้งอ๋องแล้ว เรื่องราวในราชสำนักนั้น พวกทหารชายแดนอย่างพวกข้าไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ครบครัน แม้แต่เงินเดือนที่เราได้รับก็เพิ่มขึ้น นี่คือผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัด
หลายปีที่ข้าประจำการอยู่ชายแดนเฉิงหลิง ข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งถึงสองครั้ง บัดนี้ข้ามียศเป็นแม่ทัพ ดูแลทหารนับพันนายข้าไม่เคยกลับเมืองหลวงอีกเลย เมื่อประจำอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง หากไม่มีพระราชโองการ ย่อมมิอาจกลับได้ตามอำเภอใจข้ายังคงโดดเดี่ยว ไร้ภรรยา ไม่มีใครอยู่เคียงข้างลมทรายแห่งเฉิงหลิงพัดผ่านปีแล้วปีเล่า ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าข้า จนข้าดูแก่กว่าอายุจริงไปหลายปีข้าเป็นโรคนอนไม่หลับมาหลายปี ต้องพึ่งยาเพื่อระงับจิตใจจึงจะหลับได้บางครั้ง ข้าก็อดไม่ได้ที่จะคิด...หากวันนั้นข้าไม่ก่อเรื่องกับยี่ฝาง ชีวิตของข้าในวันนี้จะเป็นเช่นไร?ข้ากับซ่งซีซี อาจได้เป็นสามีภรรยาที่เปี่ยมด้วยความรัก เป็นที่อิจฉาของผู้คนกระมัง?พวกเราอาจมีลูกที่น่ารัก ข้าทุ่มเทอยู่ในกองทัพ ส่วนซีซีก็ดูแลบ้าน เฝ้ารับใช้พ่อแม่ ดูแลลูกๆ แม้ว่าข้าจะไม่เจริญก้าวหน้าในตำแหน่ง คงเป็นเพียงแม่ทัพชั้นผู้น้อยตลอดชีวิต...แต่นางก็คงจะไม่จากข้าไปแต่ก่อน ข้าไม่รู้เลยว่านางคืออินทรีที่โผบินบนฟากฟ้า ทว่าเต็มใจหักปีกเพื่อข้าคนเดียว คอยดูแลมารดาที่ป่วยหนัก จัดการทุกเรื่องจุกจิกในจวนแม่ทัพของข้าเมื่อข้ารู้ตัว...ข้าจะเสียใจหรื
ข้าขอร้องท่านแม่ไม่สำเร็จ ก็หันไปพึ่งท่านพ่อ แต่กลับได้รับการตำหนิที่รุนแรงยิ่งกว่ามิใช่เพียงเท่านั้น พวกท่านเห็นว่าข้าคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ เพราะยังไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับเหลียงจือชุน จึงตัดสินใจให้เขาพาข้าออกไปเที่ยว เพื่อให้เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นข้าไม่เต็มใจจะไป แต่ก็ถูกคุณนางข้างกายท่านแม่บังคับให้ขึ้นรถม้าไป อีกทั้งยังกำชับสาวใช้ให้จับตาข้าไว้ อย่าให้พูดจาเสียหายเหลียงจือชุนหน้าตามันเยิ้ม ตอนแรกก็แสดงความเคารพต่อข้าบ้างเล็กน้อยแต่ไม่นานก็เผยนิสัยแท้ วิจารณ์หน้าตาข้าอย่างไร้มารยาท บอกว่าหากข้ามิใช่หญิงงามเช่นนี้ และมิใช่บุตรีตระกูลเสิ่น เขาคงไม่ยอมรับข้าเป็นภรรยาแน่นอนท่าทางอวดดีของเขาทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากมีแค่เพียงเท่านี้ ข้าอาจไม่ถึงขั้นคิดทำสิ่งร้ายแรงนักแต่ระหว่างทางกลับ เขาอ้างว่าจะช่วยพาข้าขึ้นรถ แล้วแอบหยิกก้นข้าเข้าอย่างหนึ่งในขณะนั้น เลือดทั้งร่างข้าพุ่งขึ้นหัวเมื่อสบตากับสายตาหยอกล้อของเขา น้ำตาข้าก็พรั่งพรูออกมา ความอัปยศทำให้ข้าทั้งตัวสั่นเทิ้ม เอ่ยวาจาใดไม่ออกเลยสักคำสาวใช้กับสารถีไม่เห็นเหตุการณ์นั้น กลับคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุ
ข้าสะดุ้งเฮือก หันหลังกลับไปทันที ก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักใต้เงาไม้ เขาสวมเสื้อผ้าผ้าหยาบสีขาวทั้งชุด ผอมแห้งทรุดโทรม ดวงตายังมีรอยคล้ำอยู่ใต้เบ้าตาเป็นเขา...บัณฑิตที่ขายภาพวาดอยู่ริมสะพานในวันนั้น คนเดียวกับที่ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อว่าเป็นศิษย์ที่ไม่เอาถ่าน เลี้ยงหญิงคณิกาแล้วขอลาออกจากสำนัก“เจ้าพูดมั่วแล้ว” ข้าถลึงตาใส่เขา คิดถึงสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ ใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ “ข้าไม่เคยได้ยินว่าทะเลสาบนี้มีผี เจ้าหลอกข้า!”ข้าไม่กลัวตาย แต่ข้ากลัวผี ยิ่งกลัวการถูกจมอยู่ใต้โคลนเลนนั่น“ข้ามิได้หลอกเจ้า” เขาเดินออกมา ในลมหนาวทำให้เขาดูบอบบางยิ่งขึ้น “เจ้าดูสิ บริเวณริมทะเลสาบนี้ไม่มีใครเลย มิแปลกหรือ? ทั้งที่ทิวทัศน์ดีถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่มีใครมา?”“นั่นเพราะคนที่มาวัดล้วนมาสักการะ มิใช่มาชมทิวทัศน์ พวกเขากราบพระเสร็จก็จากไป” ข้ากล่าว แต่พลางถอยไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกเหมือนในทะเลสาบลึกนั้นมีบางสิ่งซ่อนอยู่เขาหยุดยืน กล่าวว่า “ผู้ที่มีใจสักการะ ล้วนเคารพฟ้าดินและธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ใยจะไม่มาชมเล่า? ที่แห่งนี้สมควรจะเปี่ยมด้วยพลังแห่งสวรรค์ กลับกลาย
ลูกพี่ลูกน้องกับสาวใช้กลับมาตามหาข้า ข้าก็ให้สาวใช้นับเงินสามร้อยอีแปะมอบให้เขา เขายิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณข้าเคยคิดว่าเป็นเพียงการพบกันโดยบังเอิญ ไม่อาจเกี่ยวข้องกันอีก คาดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเดือน วันฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านย่า ครอบครัวจัดงานเลี้ยงรับรอง ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อก็นำศิษย์คนโปรดของตนมาร่วมงานด้วย...เขาก็อยู่ในกลุ่มนั้นกฎเกณฑ์ธรรมเนียมแห่งเจียงหนานนั้นไม่เคร่งครัดเหมือนเมืองหลวง ยามจัดงานเลี้ยง สตรีก็สามารถออกไปที่เรือนหน้าได้เขาเห็นได้ชัดว่าไม่จำข้าได้...ตอนนั้นข้าคลุมหน้าด้วยผ้าบาง เหลือเพียงดวงตาให้เห็น ไม่จำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทว่า เขามิได้อยู่ร่วมงานเลี้ยง เพียงนำภาพหมากู๋ถวายพรอายุวัฒนะมามอบให้ท่านย่า แล้วกล่าวว่ามีธุระที่บ้าน จากนั้นก็ขอลาไปหลังจากเขาไปแล้ว ผู้ดูแลสถาบันก็กล่าวถึงเขาด้วยน้ำเสียงแฝงความเสียดายว่า “เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่มุ่งมั่นใฝ่ดี ดื้อรั้นจะลาออกจากสำนัก ข้าคิดจะพาเขามาวันนี้ให้รู้จักกับคนดีมีปัญญา เขากลับไม่เห็นคุณค่า น่าผิดหวังนัก ช่างเถอะ หากอยากลาออกก็ให้ลาไปเถอะ”บิดาข้าปลอบว่า “อย่าได้โกรธเลย ท่านมีศิษย์มากมาย ขาดเขา