จ้านเส้าฮวนรู้สึกหวาดกลัวกับดวงตาที่ดุร้ายของนาง ถอยกลับไปนั่งที่ขอบเตียง น้ำตาแห่งความคับข้องใจตกลงไปที่พื้น "ท่านแม่ นางตบข้า"เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจ้านเห็นลูกสาวสุดที่รักของถูกตบ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธ "เจ้าสอง ดูภรรยาเจ้าให้ดีด้วย"จ้านเป่ยว่างยืนอยู่ตรงหน้ายี่ฝาง สายตาดูเหนื่อยและในใจก็รู้สึกเหนื่อยกว่า "เจ้าจะลงมือตบคนได้ยังไง? นางพูดอะไรผิดไป เจ้าตำหนินางกี่ประโยคก็พอแล้ว"ดวงตาของยี่ฝางเต็มไปด้วยความผิดหวังและความโกรธ "ข้าตบนางแล้วจะทำไม? นางพูดจามั่วซั่วใส่ร้ายข้า ทำไมเจ้าถึงไม่ว่านาง?""ไม่ใช่ข้าพูดสักหน่อย คนข้างนอกพูดต่างหาก เจ้าเก่งจริงก็ไปตบคนข้างนอกเลย" จ้านเส้าฮวนพูดพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น แววตาเกลียดชัง "เจ้าไม่กล้าตบคนข้างนอก เลยได้แต่มาระบายใส่ข้า เก่งแบบไหนกัน?"ยี่ฝางพูดอย่างแข็งกร้าว "คนข้างนอกจะว่ายังไงก็เป็นเรื่องของพวกเขา ข้าจัดการกับคนข้างนอกไม่ได้ ข้ายังจัดการกับเจ้าไม่ได้? ข้าเป็นพี่สะใภ้รองของเจ้า ในบ้านนี้ ท่านพ่อไม่แยแส พี่ชายคนโตก็อ่อนแอ ดูแลบ้านวุ่นวายไปหมด ท่านแม่ป่วยหนักตลอดแม้แต่เงินซื้อยาก็ไม่มี เจ้ายังตะโกนที่จะซื้อเครื่องประดับซื้อเสื้อผ้
"กำเริบเสิบสาน!"ฮูหยินผู้เฒ่าคนรองโกรธมากจนกระแทกโต๊ะ ไฟสลัว ๆ ที่ลานบ้านคนรอง สองใบหน้าที่โกรธจัดของนางจ้านเป่ยชิงและนางหมินต่างก็ก้มหัวและไม่กล้าพูดอะไรตอนที่ถูกนางด่า"พวกเจ้ามีหน้าอะไรให้ข้าไปจวนเสนาบดีกั๋วกง? แล้วข้าจะมีหน้าไปที่ไหน? ไม่งั้นจะให้ข้าไปบอกนางว่า จ้านเป่ยว่างเสียใจแล้ว แต่งหญิงที่ทำร้ายพ่อปู่กลับมา บ้านไม่สงบสุข ให้นางกลับมาจัดการความยุ่งเหยิง เอาเงินทองของนางมาให้แม่ย่าไปหาหมอต่อ และซื้อเสื้อผ้าสี่ฤดูให้น้องสาวสามีต่อเหรอ?""แม่เจ้าก็พูดออกมาได้ ตอนนั้นต้องการจะหย่านาง ได้เหลือความเมตตาบ้างไหม? แม้แต่สินสอดของก็ยังคิดจะเอา ถ้าฮ่องเต้ไม่มีพระราชโองการหย่าให้นาง พวกเจ้าจะไม่ฮุบร้านของนางทั้งหมดเหรอ? พวกเจ้ามีหน้าไปขอได้เลย ข้าไม่ไป แม้ว่าหน้าข้าจะหนาเหมือยกำแพง ก็ไม่ได้เอามาใช้เป็นคันเหยียบให้พวกเจ้า""ในเมื่อไม่เอาหน้าตากันแล้ว ก็ไปหาพระชายาอ๋องเยี่ยนได้เลย ตอนนั้นการแต่งงานของพวกเจ้าถูกจัดโดยพระชายาอ๋องเยี่ยน ตอนหย่าภรรยาไม่กล้าเชิญพระชายาอ๋องเยี่ยน ตอนนี้ควรไปเชิญแล้วหรือเปล่า? กลัวพระชายาอ๋องเยี่ยนให้คนตีพวกเจ้าออกไป?""หรือว่าตั้งใจจะรังแกพระชายาอ๋องเยี่ย
ไม่ว่าทุกคนจะพูดยังไง จ้านเป่ยว่างก็จะพูดด้วยใบหน้าเย็นชาเสมอว่า "คนของจวนแม่ทัพห้ามไปหาซ่งซีซีเด็ดขาด"เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าเขาดื้อรั้น ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ "ไม่ใช่ว่าแม่อยากไปหานาง แต่จริง ๆ แล้ว จวนแม่ทัพของเราต้องการวิธีที่จะเอาชีวิตรอด เจ้าดูการกระทำของยี่ฝางสิ ไม่ต้องพูดถึงว่านางสร้างความอับอายให้กับจวนแม่ทัพของเรา ทำให้เราถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ แต่ยังมีอารมณ์รุนแรงและดุร้าย แม้แต่พ่อปู่ก็สามารถลงมือได้ ถ้าพ่อของเจ้าบอบบางหน่อย กลัวว่าจะตายในเงื้อมมือนาง นางกลับดี ตีคนเสร็จก็หนีกลับบ้านตัวเอง ใหนางหลบไปเถอะ ทางที่ดีต่อไปอย่ากลับมาอีกเลย""ไม่เป็นไรถ้าเจ้าหย่ากับนางได้ แต่เจ้าเป็นคนไปขอร้องให้ฮ่องเต้พระราชทานอภิเษกสมรส" จู่ ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็ตกตะลึงและมองไปที่จ้านเป่ยว่าง " นางทำร้ายพ่อปู่และดูหมิ่นแม่สามี สามารถทูลฮ่องเต้ให้หย่านางได้หรือไม่?"จ้านเป่ยว่างเต็มไปด้วยความหงุดหงิด "พอได้แล้ว ตอนนี้ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฮ่องเต้จะลืมข้าไปแล้ว อีกสามห้าปีถึงจะนึกถึงข้าได้ ข้ายังไปขอพระราชโองการหย่าภรรยา อาชีพการงานของข้าก็คงสิ้นลงแน่"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านตกใจมาก "สามถึงห้า
เฉินฟูดูแลจวนนอกมาหลายปีแล้ว มีความรู้กว้างขวางก็มักจะเดาความคิดได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "คุณหนู อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าฮ่องเต้ไม่ต้องการให้ท่านเข้าวังจริง ๆ มิฉะนั้นเขาสามารถออกพระราชโองการแต่งตั้งท่านเป็นนางสนมได้โดยตรงและท่านก็ไม่สามารถขัดขืนได้""ข้ารู้ แต่เขาให้เวลาข้าสามเดือนนี้ เหมือนบังคับให้ข้าต้องแต่งงาน" ซ่งซีซีทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย "ข้าโสดไปทำอะไรให้เขา? ข้าไล่อ่านหนังสือราชโองการก่อนหน้านี้ของท่านพ่อหลายครั้งแล้ว อย่างอื่นไม่สําคัญ สิ่งสำคัญคือถ้าข้าแต่งงาน ลูกเขยสามารถสืบทอดตำแหน่งได้ เขาอยากให้คนอื่นสืบทอดตำแหน่งของท่านพ่อข้าเหรอ?"เฉินฟูกล่าว "ข้าน้อยจำได้ว่าราชโองการยังเขียนไว้ว่าสามารถเลือกหลานที่เหมาะสมมาฝึกฝนได้ ในอนาคตก็สามารถสืบทอดตำแหน่งได้ หรือว่าฮ่องเต้ไม่ต้องการให้คนของตระกูลซ่งสืบทอดตำแหน่ง? เขามีคนที่เหมาะสมที่จะสืบทอดตำแหน่ง? ให้ท่านแต่งงานภายในสามเดือน เขามีตัวเลือกสามีที่เหมาะสมสำหรับท่านแล้ว?"ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โดยหมุนนิ้วไปรอบ ๆ ลูกประคำที่แม่ทิ้งไว้เพื่อสงบสติอารมณ์"ถ้าการเดาของคุณลุงฟู่ถูกต้อง ฮ่องเต้ต้องการเป็นผู้ตัดสินผู้สืบท
ไม่กี่วันต่อมา ประตูจวนเสนาบดีกั๋วกงก็เกือบจะพังแล้วในอดีตบรรดาฮูหยินในตระกูลขุนนางที่ไม่ค่อยไปมาหาสู่กันในอดีต ตอนนี้ผลัดกันมาเยี่ยมที่บ้าน ไม่ใช่เพราะคำสั่งวาจาฮ่องเต้ แต่เป็นเพราะซ่งซีซีทำผลงานกลับมา แม้ว่าจวนเสนาบดีกั๋วกงจะเหลือนางเพียงคนเดียว แต่ดูเหมือนว่าสามารถยกระดับจวนเสนาบดีกั๋วกงได้ตอนหย่า งานเลี้ยงส่วนตัวของฮูหยินขุนนาง ต่างก็นินทาซ่งซีซี นางกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องพูดถึงตอนนี้ ก็ยังถูกพูดถึง แต่พอพูดถึงนางก็ไม่กล้ามีทัศนคติเหมือนเมื่อก่อนแล้วการให้รับแขกไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซ่งซีซี ก่อนที่จะแต่งงานไปจวนแม่ทัพ ท่านแม่ให้คนมาฝึกเป็นเวลาหนึ่งปีการเข้าสังคมเป็นเพียงการเล่นละคร ยิ้ม พูดคุย พยักหน้า วนไปวนมาหลายรอบตามหัวข้อคนอื่นทุกคนพูดคุยกันและหัวเราะอย่างมีความสุข ตอนจากกันก็ทำเป็นไม่อยากจากไป พอออกจากจวนไปแล้ว ต่างคนต่างเก็บยิ้ม ขยี้แก้มที่เมื่อย จิบชาแล้วค่อยไปร่วมงานต่อไปเย็นวันนี้ พระชายาอ๋องฮวยและท่านหญิงหลานก็มาด้วยเมื่อนึกถึงของขวัญที่ถูกส่งคืนเหล่านั้น ใบหน้าของซ่งซีซียังคงมีรอยยิ้มอ่อน ๆ ทักทายว่า "ท่านน้าและน้องสาวมาแล้วเหรอ? รีบเข้ามาสิ"เมื่อพระ
พระชายาอ๋องฮวยและท่านหญิงหลานนั่งเป็นชั่วโมงแล้วจึงจากไป ซ่งซีซีส่งพวกนางออกไปนอกจวน โดยไม่แสดงท่าทีสงสัยเลยเป่าจูรู้สึกเสียใจแทนนาง "คุณหนูมอบของให้ท่านหญิง แต่ถูกพระชายาส่งคืน เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นพระชายาดูถูกคุณหนู ทำไมวันนี้คุณหนูถึงต้องทำดีกับพวกนางขนาดนี้?"ซ่งซีซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ให้เป่าจูถอดปิ่นของนางออก "เข้าสังคมใครไม่แสดงกัน? แค่ยิ้มและพูดจาสุภาพ ท่านน้าก็ดีกลับข้ามาตลอด ข้าก็ไม่เรื่องจริง ๆ ตัวเองหย่าร้าง กลับไปมอบของให้น้องสาว""แต่ท่านก็ไม่ได้ไปด้วยตนเอง นอกจากนี้ ท่านก็ได้รับการประทานหย่าจากฮ่องเต้ ไม่ใช่โดนหย่า ทำไมจะมอบของให้ไม่ได้?""เป่าจูน้อย จงเปิดใจให้กว้างขึ้น ถ้าคิดมากกับทุกเรื่องนั้นมันเหนื่อย" ซ่งซีซีมองใบหน้าที่เหนื่อยล้าในกระจกทองเหลือง หลายวันมานี้ไม่ได้หยุดจริง ๆ ทุกวันมีคนมาเป็นระลอก ๆนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในเมืองหลวงมีฮูหยินขุนนางเยอะขนาดนี้ และผู้คนที่มีเกียรติมากที่สุดในโลกก็มารวมตัวกันในส่วนนี้ของเมืองหลวงเป่าจูกล่าวว่า "คุณหนูช่างคิดได้"ซ่งซีซีมองตัวเองในกระจก ยิ้มเล็กน้อย และคิดในใจ ถ้าคุณหนูคิดไม่ได้ คงไม่สามารถอยู่รอดได้นานแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านมาที่นี่พร้อมกับจ้านเป่ยชิงกับนางหมิน รวมถึงจ้านเส้าฮวนทันทีที่ลงจากรถม้า ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็ข้อเท้าแพลง นั่งลงที่หน้าจวนเสนาบดีกั๋วกง และเริ่มร้องไห้เสียงดัง"ซีซี ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนลูกสาวมาโดยตลอด เจ้าไม่เคยได้รับความน้อยใจแม้แต่น้อยในการแต่งงานไปยังจวนแม่ทัพ และข้าก็ไม่เคยตั้งกฎเกณฑ์ใด ๆ ให้เจ้า การหย่าก็เป็นฮ่องเต้ประทาน จะเกลียดข้าได้อย่างไร? เจ้ารู้ว่าข้าต้องใช้ยาของหมอมหัศจรรย์ดันถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ เจ้าไม่อนุญาตให้หมอมหัศจรรย์ดันมารักษาข้า เจ้าต้องการเอาชีวิตของข้าเหรอ"จ้านเส้าฮวนก็ร่วมมือกันร้องไห้ "ใช่ พี่สะใภ้รอง เป็นคนเนรคุณไม่ได้เด็ดขาด ตอนนั้นบ้านของเจ้าถูกสังหาร ท่านแม่กลัวเจ้าจะเสียใจมาก อยู่กับเจ้าทั้งวันทั้งคืน กลางคืนก็นอนกับเจ้า ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปกับเจ้า ทำไมตอนนี้เจ้าถึงใจร้ายขนาดนี้ล่ะ?"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านปิดหน้าอกและร้องไห้ช้ำใจ แต่นางยังคงพูดได้อย่างชัดเจน " ซีซี ในวันหย่าเจ้าบอกว่าเจ้าจะปฏิบัติต่อข้าเหมือนแม่ของเจ้าเสมอ ดังนั้นเมื่อเจ้าหย่าออกจากจวนแม่ทัพ แม่ก็ได้เอาเงินออกจากจวนจนหมดให้เจ้าเพื่อเป็นการชดเชย กลัวว่าเจ้าออกจากจว
แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าจ้านไม่สามารถตอบได้ นางเคยชดเชยอะไรให้ที่ไหนกัน แม้แต่เข็มด้ายก็ไม่มีนางทำได้แต่ร้องไห้ต่อไปว่า "มีไม่มี ซีซีรู้อยุ่แก่ใจ เจ้าเรียกนางมาถามก็จะรู้เอง""ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องร้องไห้ ถ้ามีการชดเชยบอกแค่สิ่งของชดเชยและจำนวนเงินทองก็พอขอรับ วันนั้นตอนหย่าขุนนางก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มีไม่มีตรวจสอบก็รู้""ยิ่งกว่านั้น" เฉินฟูพูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบ "ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าปฏิบัติต่อคุณหนูของเราเหมือนลูกสาว ตอนตระกูลซ่งถูกสังหาร ท่านอยู่เคียงข้างนางทั้งวันทั้งคืน คำพูดนี้ไม่เท็จ แต่ก็ไม่เป็นความจริงทั้งหมด ตอนนั้นท่านป่วย เป็นคุณหนูของเราที่อยู่เคียงข้างท่านทั้งวันทั้งคืนเพื่อดูแลและรับใช้ แม้แต่คุณหนูของข้าน้อยแต่งงานไปบ้านท่าน ตั้งแต่ท่านแม่ทัพจ้านเป่ยว่างเริ่มออกรบ คุณหนูของข้าน้อยก็ดูแลท่านเหมือนเดิม นางอยู่ที่จวนของตัวเองน้อยมาก""ประการที่สอง รายได้และรายจ่ายของจวนแม่ทัพไม่สมดุล ไม่มีเงินสำหรับใช้จ่าย เสื้อผ้าของเจ้านายในจวนเป็นเงินติดตัวที่คุณหนูเราเราจ่ายให้ตลอดทั้งปี ตั้งแต่ผู้เฒ่าจ้านจนถึงน้องสามี ตั้งแต่ห่วงปิ่นผมไปจนถึงรองเท้า ชิ้นไหนที่ไม่ใช่คุณหนูของเราซื้อ แ
วิธีการรักษาของหมอมหัศจรรย์ดันนั้นได้ผลดีจริงๆ ภายในเวลาเพียงครึ่งเดือน พระพักตร์ของจักรพรรดิ์ซูชิงดูสดใสขึ้นบ้าง ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ซีดเซียวและเหลืองซีดพลังในร่างกายของพระองค์ก็ฟื้นตัวขึ้นมาก หากไม่รู้สึกเจ็บบางครั้ง พระองค์คงคิดว่าตนหายดีแล้ววันนี้หมอมหัศจรรย์ดันไม่ได้มา แต่มีบุคคลจากโรงหมอหลวงมาหลายคน บอกว่าคนมาก จะได้ป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิดการที่หมอมหัศจรรย์ดันไม่ได้มานั้น เหตุผลคงเป็นเพราะไม่อยากให้ขุนนางและครอบครัวทราบว่า พระจักรพรรดิ์ทรงไม่สามารถแยกจากหมอมหัศจรรย์ดันได้ในตอนนี้องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองถูกทหารพิทักษ์หลวงพาไปนั่งบนหลังม้า ร่างเล็กๆ ของพวกเขาแบกธนูอยู่บนหลัง ดูท่าทางเหมือนนักธนูจริงๆองค์ชายสามถูกฉีฟางอุ้มขึ้นหลังม้า เขาสวมเสื้อคลุมบางๆ สีแดง แก้มของเขาแดงระเรื่อจากความตื่นเต้น ทำให้ดูน่ารักยิ่งนักจักรพรรดิ์ซูชิงออกคำสั่ง ม้าร้อยตัววิ่งเข้าไปในป่า ลูกๆ ของพระองค์เริ่มล่าสัตว์เสียงของม้าที่วิ่งไปทำให้ทั้งสวนว่านหลินสั่นสะเทือน จนทำให้ฝูงนกตกใจและบินขึ้นไปซ่งซีซีไม่สบายใจ จึงนำปี้หมิงขี่ม้าตามไปด้วยสวนว่านหลินนี้นางเคยมาที่นี่กับบิดาเมื่อครั้งยั
จักรพรรดิ์ซูชิงแม้เคยฝึกฝนการต่อสู้มาแล้ว แต่ในด้านนี้กลับไม่ละเอียดรอบคอบเท่าเซี่ยหลูโม่ และไม่ได้สังเกตว่าองค์ชายรองมีพื้นฐานมาแต่เดิมพระองค์เพียงเห็นว่าองค์ชายรองมีท่าทางที่จริงจัง รัดกุม และก้าวหน้าได้รวดเร็วบุตรของพระองค์มีความเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เกิดจากพระมารดาแห่งฮองเฮา เป็นความน่าเสียดายยิ่งนักมิฉะนั้น พระองค์ก็ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ แค่เลือกเขาก็พอแล้ววันก่อนการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ จักรพรรดิ์ซูชิงได้เรียกเซี่ยหลูโม่มาที่ห้องทรงพระอักษรและถามว่า "เจ้าคิดว่าองค์ชายสามพระองค์ของข้านั้นเป็นอย่างไรบ้าง?"เซี่ยหลูโม่ตอบตรงไปตรงมา "องค์ชายใหญ่ไม่สนใจในศิลปะการต่อสู้ ทรงมีความสามารถต่ำ ท่าทางหยาบคาย การยิงธนูยังผิดอยู่ ทุกครั้งที่แก้ไขแล้วก็ยังทำผิดอีก ครั้งหน้าแก้ไขแล้วก็ยังผิดอยู่เช่นเดิม ส่วนองค์ชายรองมีกำลังแข็งแรง ท่าทางคล่องแคล่ว และตั้งใจจริงกับการยิงธนู ทรงมีพื้นฐานมาก่อนแล้วจึงทำได้ดีเกือบเท่ากับรุ่ยเอ่อร์ ส่วนองค์ชายสามไม่ต้องพูดถึง เขาแค่ไปเล่นเท่านั้น"จักรพรรดิ์ซูชิงชะงักไป "มีพื้นฐาน? เขาเคยฝึกมาก่อนหรือ?""น้องได้สัมผัสแขนของเขาแล้ว และรู้สึกถึงกร
เซี่ยหลูโม่ในฐานะที่ปรึกษา ได้เข้าวังสอนวิชาอาวุธให้แก่สามองค์ชายก่อนถึงงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ ที่จริงแล้ว องค์ชายใหญ่ควรฝึกมาตั้งนานแล้ว ทว่าเดิมทีเขาได้รับการเลี้ยงดูจากฮองเฮา ถูกตามใจดั่งดวงตาดวงใจ งานหนักใดๆ ล้วนไม่เคยต้องแตะต้อง เมื่อถูกส่งไปอยู่กับไทเฮา แม้พระนางจะทรงจัดการศึกษาให้ครบถ้วนทั้งบุ๋นและบู๊ แต่เขากลับโง่เง่าและเกียจคร้านเป็นทุนเดิม งานเล่าเรียนในแต่ละวันก็หนักหนาพออยู่แล้ว วิชาหนึ่งยังฝึกไม่ทันเสริม อีกวิชาหนึ่งก็ต้องตามไม่ทันเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีพรสวรรค์แต่อย่างใด ซ้ำยังมิได้ขยันหมั่นเพียร จึงมักหาทางหลบเลี่ยงอยู่เสมอ ความก้าวหน้าที่น่าพอใจที่สุดในตอนนี้ คงเป็นเพียงการที่เขายอมไปเรียนหนังสือโดยไม่ร้องไห้อีก ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการฝึกครั้งนี้กลับเป็นรุ่ยเอ๋อร์ รุ่ยเอ๋อร์ได้ฝึกพื้นฐานไปบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ออกแรงมากเกินไป หมอมหัศจรรย์ดันกล่าวว่าเขาต้องค่อยๆ ฝึก ไม่อาจรีบร้อน หากได้รับบาดเจ็บที่ขาอีกครั้ง จะไม่คุ้มค่าความเสียหาย ดังนั้น เมื่อเซี่ยหลูโม่สอนวิชาธนูให้พวกเขา รุ่ยเอ๋อร์จึงมีพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว ฝึกไปไม่กี่วันก็เริ่มเห็นผล ส่วนองค์ชายใหญ
จักรพรรดิ์ซูชิงเสด็จขึ้นว่าราชการอีกครั้ง พระพักตร์ดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก ขุนนางอาวุโสบางคนถึงกับหลั่งน้ำตาต่อหน้าพระที่นั่ง โดยเฉพาะหุ่ยอวี่สือ ซึ่งเกือบก่อเรื่องใหญ่โตไปแล้ว บัดนี้เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ทรงมีอาการดีขึ้น อีกทั้งหมอมหัศจรรย์ดันก็ถูกเชิญเข้าวังเพื่อถวายการรักษา จึงพอมีความหวัง อย่างไรก็ตาม เป็นไปตามที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงคาดไว้ เสียงเรียกร้องให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทในราชสำนักดังขึ้นเป็นอย่างมาก กระนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงก็มิได้ทรงรับคำในทันที เพียงตรัสว่าองค์ชายทั้งสามยังเยาว์วัยนัก ให้รออีกสักระยะเถิด ในกลุ่มขุนนางที่กราบทูลขอให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทนั้น ย่อมมีศิษย์ของตระกูลฉีรวมอยู่ด้วย แต่ก็เพียงกล่าวคล้อยตามผู้อื่น มิได้มีใครลุกขึ้นมาเสนอเป็นฝ่ายแรก จักรพรรดิ์ซูชิงมิได้ทรงเชื่อโดยแท้จริงว่าเจ้ากรมฉีต้องการเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์โดยไร้ส่วนได้เสีย ช่วงนี้ตระกูลฉีทำตัวสงบเสงี่ยมลงก็จริง แต่ทั้งหมดเป็นผลจากการถูกกดดันและเตือนสติ แม้พระองค์จะยังมิได้ทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาท แต่กลับทรงประกาศเรื่องหนึ่งแทน นั่นคือ ทรงแต่งตั้งเป่ยหมิงอ๋อง เซี่ยหลูโม่เป็นที่ปรึกษาองค์รัชท
ฉีฮูหยินใหญ่เข้าเฝ้าในวัง ครานี้นางมาโดยได้รับคำสั่งจากเจ้ากรมฉี เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจน เมื่อฮองเฮาทรงได้ยินว่าบิดาทรงตัดสินใจจะวางตัวเป็นกลาง ก็มิอาจระงับโทสะได้ ตรัสเย็นชา “แต่ก่อนให้ข้าช่วยสนับสนุนตระกูลฉี ข้าก็มิเคยปฏิเสธ บัดนี้เมื่อข้าต้องการให้พวกท่านช่วยบ้าง กลับถอยหนีไปหมดสิ้น ข้าช่างไม่เข้าใจเลยจริงๆ หากองค์ชายใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์ ตระกูลฉีจะไม่ได้รับผลดีเลยหรือ? หรือบิดามั่นใจว่าต่อจากนี้ตระกูลฉีจะราบรื่นไร้ปัญหา?” ฉีฮูหยินใหญ่กล่าวอย่างใจเย็น “ความหมายของบิดา คือเพียงอยากเป็นขุนนางผู้ภักดี มิอาจข้องเกี่ยวเรื่องนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของฮ่องเต้” “ช่างน่าขันนัก!” ฮองเฮาทรงหัวร่อเยาะ “เปรอะเปื้อนมลทินไปทั้งตัว บัดนี้ยังมีหน้ามาอ้างตนว่าเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์? เหตุใดจึงไม่พูดเช่นนี้ให้เร็วกว่านี้เล่า? เช่นนั้นข้าจะได้ไม่ต้องแต่งเข้าวังมา ปล่อยให้ข้าดิ้นรนต่อสู้เพียงลำพัง” ฉีฮูหยินใหญ่กล่าว “แม้บิดาจะมีความผิดพลาดในเรื่องส่วนตัว แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในกรมขุนนาง ก็รับใช้แผ่นดินและฮ่องเต้โดยซื่อสัตย์ ไม่เคยขายตำแหน่งขุนนางหรือรับสินบน” ฮองเฮาทรงแค่นเสียง “ทำหรือไม
ฮองเฮาเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้เสียเมื่อไร? แม้แต่ฮ่องเต้ทรงกริ้วพระนางอย่างที่สุด ก็เพียงแค่ทรงตำหนิเล็กน้อย หรือไม่ก็ทรงมีรับสั่งกักบริเวณพระนางเท่านั้น “เซี่ยหลูโม่เป็นตัวอะไร? เขาถึงได้กล้าถึงเพียงนี้! บังอาจมาทำอวดดีต่อหน้าข้า! ข้าเห็นว่าเขาสร้างผลงานไว้ จึงเป็นห่วงเรื่องเชื้อสายของเขา เขาคิดว่าข้าไม่มีเรื่องใดให้ทำ นอกจากยุ่งเรื่องของเขารึ? เขาไม่ชอบก็แล้วไป ยังมีคนที่ชอบอีกมาก!” ฮองเฮาทรงกริ้วจนปวดพระเศียร ไม่เคยพบผู้ใดที่ไม่รู้คุณคนเช่นนี้มาก่อน ความน้อยพระทัยของพระนางทำให้หลานเจี่ยนกูกูงุนงงนัก เดิมทีเรื่องนี้ก็แค่หาข้ออ้างเพื่อบีบให้พระชายาอ๋องต้องยอมเข้าวังมิใช่หรือ? เหตุใดถึงกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อสายของจวนอ๋องจริงๆ แล้วล่ะ? หลานเจี่ยนกูกูคิดว่าฮองเฮาทรงหาข้อแก้ตัวให้พระองค์เองเพราะทรงโกรธ แต่ข้อแก้ตัวเช่นนี้ดูจะไร้ความจำเป็นไปมาก เพียงทำให้พระองค์เองขุ่นเคืองยิ่งขึ้นเท่านั้น นางจึงเอ่ยปลอบ “พระนางอย่าได้กริ้วไปเพคะ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นการหาพระชายารองให้เขาจริงๆ นี่เพคะ” ฮองเฮาทรงตวัดพระเนตรมองนางด้วยความไม่พอพระทัย ก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เซี่ยหลูโม่เห็นเขามีท่าทางอิดโรย ประกอบกับอู๋ต้าปั้นก็ได้นำฎีกากลับไปแล้ว จึงกล่าวว่า “น้องมีเรื่องหนึ่งขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสถาม “เรื่องอันใด?” เซี่ยหลูโม่ดวงตาสงบนิ่งเย็นชา “น้องอยากไปตำหนักฉางชุนสักคราพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงเข้าใจทันทีว่าเป็นเรื่องอันใด เรื่องนี้ก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถึงขั้นเกือบทำให้ผู้ตรวจการสวี่ต้องสิ้นชีพ จักรพรรดิ์ซูชิงไม่ต้องการเผชิญหน้า จึงรับสั่งให้เขาไปตามต้องการ เซี่ยหลูโม่ถวายบังคมลา มุ่งหน้าสู่ตำหนักฉางชุนทันที ฮองเฮาทรงทราบถึงเจตนาของเขา จึงให้คนไปเชิญเข้ามา นางเห็นว่าซ่งซีซีปฏิเสธการแต่งตั้งพระชายารองให้เซี่ยหลูโม่ เป็นเพราะซ่งซีซีขี้หึงและเห็นแก่ตัว ทว่าชายใดเล่าจะคิดเช่นนั้น แม้จะกล่าวคำโตเพียงใด ก็ไม่อาจกลบซ่อนสันดานดิบของบุรุษได้ แม้ฮ่องเต้จะทรงอุทิศพระองค์เพื่อราชกิจ ไม่เสด็จเยือนฝ่ายในบ่อยนัก แต่ก็ยังมีสนมมากมายถึงสามวังหกตำหนัก เมื่อเจอคนถูกพระทัย ก็ยังทรงพลิกป้ายให้เข้าพบเดือนละสามสี่ครั้ง ฉีฮองเฮาทรงเห็นว่าไม่มีแมวตัวใดไม่ชอบกินปลา รวมถึงเซี่ยหลูโม่เองก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น นางยัง
เซี่ยหลูโม่เอ่ยขึ้น "แล้วเสด็จพี่มีแผนการอย่างไร?" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสตอบ "เดิมที หากข้ามีชีวิตอยู่ได้เพียงสามเดือน ข้าจะตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท และให้เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พร้อมตั้งขุนนางที่ไว้ใจได้อีกสองสามคนเป็นผู้ช่วยว่าราชการ ส่วนองค์ชายรอง จะถูกส่งไปประจำอยู่ที่หนานเจียง และปลดฮองเฮาออกจากตำแหน่ง เช่นนี้จะช่วยลดอำนาจของตระกูลฉีลงได้" เซี่ยหลูโม่เอ่ยเสียงเรียบ “เกรงว่าน้องจะไม่อาจรับตำแหน่งสำคัญนี้" เขาเข้าใจดีว่า หากเขาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ย่อมต้องแลกเปลี่ยนบางสิ่งกับจักรพรรดิ์ซูชิง และสิ่งที่เขาคิดถึงเป็นอย่างแรกก็คือ คำสั่งห้ามให้เขามีทายาท เช่นนั้น แม้เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ สุดท้ายก็ต้องคืนตำแหน่งจักรพรรดิ์ให้กับราชวงศ์ จักรพรรดิ์ซูชิงมองลึกเข้าไปในแววตาของเขาแล้วถอนพระปัสสาสะเบาๆ "เรื่องมากมายก็มิอาจปิดบังไปจากเจ้าได้ ข้าเคยคิดจะให้เจ้าสาบานว่า เจ้าจะไม่มีบุตร ไม่มีทายาท ข้าเห็นแก่ตัว แต่ข้าทำได้เพียงเท่านี้" เซี่ยหลูโม่เข้าใจความหมายของจักรพรรดิ์ซูชิง แต่เขาไม่อาจยอมรับได้ การมีหรือไม่มีบุตร ไม่ใช่เรื่องที่เขาตัดสินใจเพียงลำพัง ซีซีมีสิทธิ์ที่จะ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนสีพระพักตร์จะค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น "หมอมหัศจรรย์ดันบอกว่า ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกสามปี แต่ก่อนหน้านี้ หมอหลวงเคยบอกว่า ข้าน่าจะอยู่ได้หนึ่งปี ทว่าผ่านไปไม่นาน กลับเหลือเพียงแค่หกเดือน ข้าคิดว่า คำของหมอทั้งหลาย เมื่อมาถึงตัวข้า ก็ควรจะต้องลดลงครึ่งหนึ่งเสมอ เช่นนั้น หนึ่งปีครึ่งที่เหลือ อาจจะไม่ได้มีจริงด้วยซ้ำ" "เสด็จพี่ อย่าทรงคิดในแง่ร้าย..." จักรพรรดิ์ซูชิงยกพระหัตถ์ขึ้นปราม "เจ้าฟังข้าก่อน บัดนี้ ข้ามีสติแจ่มชัด มิได้เลอะเลือน เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ต้องรีบจัดการ แต่ปัญหาคือ ข้าไม่กล้าตั้งใคร ยังเหลือเวลาอีกหลายปีกว่าพระจักรพรรดิ์องค์ใหม่จะเติบโตขึ้นปกครองแผ่นดิน มหาเสนาบดีแก่ชราลงแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะฝากบ้านเมืองไว้ในมือใครได้ นอกจากเจ้า" เซี่ยหลูโม่มิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะเขารู้ดีว่า ความไว้วางใจและความระแวงของเสด็จพี่ล้วนเกิดขึ้นโดยไร้หลักการ มันมักมาเป็นระยะๆ "ข้า มีพระโอรสสามองค์ เดิมทีมีองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาทโดยธรรมชาติ ตำแหน่งรัชทายาทจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่องค์ชายใหญ่ เขาธรรมดาเกินไป ธรรมดาก็ไม่เป็นไรนัก แต่เขา ขี้เกียจ หยิ่งยะโส