ซูเฟยนั่งอยู่หน้ากระจกเครื่องแป้ง จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า ชุดที่ก่อนหน้านี้นางให้มารดาว่าจ้างสตรีนามว่าม่อเหนียงจื่อให้ตัดเย็บ ก็ถูกส่งมาถึงแล้ว นางเคยเห็นชุดนั้นมาก่อน เดิมทีตั้งใจจะสวมไปงานเลี้ยงในคืนวันตรุษจีน ชุดเป็นสีเหลืองอัสดง ปักลวดลายดอกไห่ถางเล็กๆ งดงามและละเอียดอ่อน ให้ความรู้สึกสดใสอ่อนหวาน ปลายกระโปรงพลิ้วไหวเสริมให้ดูสูงศักดิ์และสง่างามยิ่งขึ้น นางสั่งให้ฮว๋าเชี่ยนนำชุดมาให้ และเปลี่ยนใส่ทันที นางจ้องมองเงาตัวเองในกระจกทองเหลือง ดวงหน้าของนางแม้จะซีดเซียวลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงงามสะคราญดังเช่นเคย ผิวขาวละเอียด ไม่มีริ้วรอยหรือร่องรอยแห่งความชราเลยสักนิด นางยังคงงดงามอยู่ ปลายนิ้วเรียวขาวลูบไล้ลวดลายปักอันวิจิตร นางพึมพำเบาๆ "ฝีมือปักผ้าของม่อเหนียงจื่อช่างดีนัก ชุดนี้งามกว่าชุดเครื่องแต่งกายในวังของข้าเสียอีก งดงามจริงๆ" ฮว๋าเชี่ยนคุกเข่าลง น้ำตาคลอเต็มดวงตา "พระสนม หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์คิดจะทำอะไร แต่โปรดอย่าได้ทำเลยเพคะ หากพระองค์ทำเช่นนั้น จะกลายเป็นการหนีความผิด องค์ชายสามจะต้องแบกรับข้อหาปลงพระชนม์พี่ชายไปตลอดชีวิต" ซูเฟยหัวเราะเยาะเยียบหยิ่ง แต่แวว
ฮองเฮาไม่เคยเห็นค่าเต๋อเฟยนัก ตระกูลไม่มีรากฐานที่มั่นคง รูปโฉมก็มิได้โดดเด่น นางสามารถก้าวขึ้นมาเป็นพระสนมได้ ก็เพียงเพราะโชคดีที่ให้กำเนิดองค์ชายรอง ตัวนางเองก็คงรู้ดีว่าไม่มีคนคอยหนุนหลัง จึงต้องประพฤติตนอย่างอ่อนน้อมระมัดระวัง อาจมีเล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าใช้กลอุบายร้ายกาจเกินไป อย่างเรื่องที่เต๋อเฟยให้ความช่วยเหลือฝูเจาอี๋ ก็เพียงเพื่อใช้ฝูเจาอี๋สร้างอำนาจในวังหลัง หวังให้ตนเองมั่นคงขึ้น แต่นางให้การช่วยเหลือเท่าไร ฝูเจาอี๋ก็ไม่เคยเห็นคุณค่า กลับมองว่านางเพียงแค่พาองค์ชายรองไปแย่งความรักจากฮ่องเต้ เรื่องที่เต๋อเฟยมักทำก็คือ การนำก้อนหินมาทุ่มใส่เท้าของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ฮองเฮาจึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา แต่บัดนี้ องค์ชายใหญ่เกิดเรื่องขึ้น นางมีเพียงแค่ซูเฟยเป็นผู้ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม นางเคยคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่า ซูเฟยมีคนหนุนหลัง ตระกูลของนางเป็นขุนนางสายเดียวกับเซี่ยหลูโม่ ภรรยาของอัครเสนาบดีหลี่ก็ดูแลโรงงานผลิตเสื้อผ้า ส่วนซ่งซีซีก็เป็นผู้รับหน้าที่สืบสวน นางไม่มีวันยอมให้ซ่งซีซีช่วยปกป้องซูเฟย ทุกอย่างต้องทำต่อหน้าตนเอง ซ่งซีซีมองออกถึงความคิดข
ในตำหนักของฝูเจาอี๋ ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปสอบถาม แม้ว่าฝูเจาอี๋จะไม่ได้กล่าวตรงๆ ว่าซูเฟยเป็นคนทำให้นางแท้งบุตร แต่กลับพูดว่า “ผู้ที่ทำความชั่ว ย่อมได้รับผลกรรม ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม ไม่อาจหนีพ้นไปได้” วาจานี้มิได้พาดพิงถึงซูเฟยเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงฮองเฮาด้วย ขณะที่ซ่งซีซีเตรียมตัวจะออกจากตำหนัก ฝูเจาอี๋กลับถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “พระชายา องค์ชายใหญ่... ไม่อาจช่วยไว้ได้แล้วจริงหรือ?” ซ่งซีซีเดิมคิดว่านางคงเสียใจต่อชะตากรรมขององค์ชายใหญ่ แต่เมื่อหันไปมองกลับเห็นว่า ในนัยน์ตาของฝูเจาอี๋ ไม่มีแววเวทนาใดๆ ซ้ำยังแฝงด้วยความปีติเล็กๆ ราวกับว่าเป็นความยินดีจากการล้างแค้นสำเร็จ แม้ว่านางจะพยายามปกปิด แต่ก็ยังเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว ซ่งซีซีมิได้ตอบอะไร เพียงแค่หมุนตัวเดินออกไป ฮองเฮาทำให้นางแท้งบุตร นางย่อมไม่หวังให้องค์ชายใหญ่มีชีวิตรอด ซ่งซีซีไม่มีสิทธิ์ตัดสินนาง ผู้ใดไม่เคยผ่านความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็ไม่มีสิทธิ์สั่งสอนให้เขาทำดี เดิมที นางควรไปที่ตำหนักกุ้ยหลันต่อ แต่หลังจากไตร่ตรอง นางตัดสินใจนำคนไปตำหนักไฉหลิงก่อน ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าจะยังไม่ไป เพราะได้ยินว่าองค์ชายรอ
เต๋อเฟยสะดุ้งไปเล็กน้อย มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่นแล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องใด? พระชายาว่ามาตรงๆ ได้เลย” ซ่งซีซีกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้วังหลังคึกคักกันยกใหญ่ เดี๋ยวก็ว่าฝูเจาอี๋ตกเลือดเพราะซูเฟย เดี๋ยวก็ว่าฮองเฮาเป็นผู้ก่อเหตุ พระนางเต๋อเฟยดูแลวังหลังมานาน ย่อมต้องรู้ว่าเรื่องพวกนี้แพร่มาจากที่ใด และใครเป็นผู้จงใจขยายข่าวลือออกไป ใช่หรือไม่?” เต๋อเฟยไม่คิดว่านางจะมาถามถึงเรื่องเก่าเช่นนี้ สีหน้าที่แฝงความโศกเศร้าแข็งค้างไปชั่วขณะ โดยไม่รู้ตัวก็สบตากับชิงหลันแลกเปลี่ยนสายตากัน แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น นางก็ปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “ในวังมีข่าวลือมากมายมาแต่ไหนแต่ไร ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก พระชายาควรสืบสวนคดีลอบสังหารองค์ชายใหญ่ดีกว่า” ซ่งซีซีกล่าวว่า “ไทเฮามีรับสั่งให้หม่อมฉันสืบสวนตั้งแต่เหตุฝูเจาอี๋ตกเลือด ดังนั้นคดีลอบสังหารองค์ชายใหญ่ต้องตรวจสอบแน่นอน แต่เรื่องอื่นก็ต้องสืบสวนด้วย พระนางและซูเฟยช่วยกันดูแลวังหลังมาเนิ่นนาน คงทราบเรื่องราวในวังหลังเป็นอย่างดี หม่อมฉันคิดว่าแทนที่จะจับตัวเหล่านางกำนัลมาทรมานสอบสวนให้เอิกเกริก จะดีกว่าหากมาขอคำตอบโดยตรงจากพระ
ในเรือนเหวินซี โคมไฟที่อยู่หน้าทางเดินส่องภาพกระดาษตัดบนโครงตาข่ายหน้าต่าง และสะท้อนมันลงบนผนังบ้านราวกับสัตว์ขนาดยักษ์อย่างไรอย่างนั้นซ่งซีซีนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่มีพนักพิง ประสานมือไว้ข้างหน้า ร่างเพรียวบางห่อด้วยเสื้อผ้าเรียบๆ นางมองไปที่คนอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นสามีที่เพิ่งต่างงานของนาง ซึ่งนางรอคอยมานานหนึ่งปีชุดเกราะทหารที่ดูค่อนข้างเก่าของจ้านเป่ยว่างยังไม่ได้ถอด และเขาดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีความรู้สึกขอโทษแฝงไว้ "ซีซี ได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้สมรสกันแล้ว ยี่ฝางจะต้องแต่งเข้ามาอย่างแน่นอน"ซ่งซีซีประสานมือไว้หน้าลำตัว ดวงตาของนางมืดมัว นางถามอย่างสงสัย "ไทโฮ่วเคยกล่าวไว้ว่าแม่ทัพยี่ฝางเป็นแบบอย่างสำหรับผู้หญิงในใต้หล้า นางยอมที่จะเป็นอนุภรรยาหรือ? "ดวงตาที่หนักอึ้งของจ้านเป่ยว่างฉายแววความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย "ไม่ ไม่ใช่อนุภรรยา นางเป็นภรรยาเท่าเทียม ไม่ต่างจากเจ้า"ซ่งซีซียังคงนิ่งเฉยและพูดว่า "ท่านแม่ทัพรู้ดีว่าภรรยาเท่าเทียมแค่ฟังดูดีเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วนางก็เป็นอนุภรรยาอยู่ดี"จ้านเป่ยว่างขมวดคิ้ว "จะอนุอะไรกัน นางกับข้ามีใจให้กันในสนามรบและตกหลุมรักกัน อีกอย่างเ
จ้านเป่ยว่างจนใจเล็กน้อย "ทำไมต้องหาเรื่องด้วยล่ะ? นี่คือพระราชทานสมรสที่ฝ่าบาทออกให้ และแม้ว่ายี่ฝางจะเข้ามา พวกเจ้าก็อยู่คนละเรือนกัน และนางก็จะไม่แย่งชิงสิทธิในการบริหารครอบครัวกับเจ้า ซีซี สิ่งที่เจ้าให้สำคัญนั้นนางไม่สนหรอก""ท่านคิดว่าข้าสนใจอยากกุมอำนาจดูแลบ้านเหรอ?" ซ่งซีซีถามกลับ มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นผู้นำที่ดูแลจวนแม่ทัพ แค่ยาที่หมอมหัศจรรย์ดันออกให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินในแต่ละเดือนก็ต้องเสียเงินหลายสิบตำลึง ไหนจะของกินของใช้ของทุกคน ไหนจะมีญาติพี่น้องและเพื่อนต้องติดต่ออีก ต้องใช้เงินไปหมดจวนแม่ทัพมีแค่มีชื่อเสียงเท่านั้น ในปีที่ผ่านมา เงินสินเดิมของนางใช้อุดหนุนไปไม่น้อยเลย แต่นี่คือผลที่นางแลกมางั้นหรือจ้านเป่ยว่างหมดความอดทนโดยสิ้นเชิง "ช่างเถอะ ข้าไม่อยากเสียน้ำลายกับเจ้า ข้าแค่ต้องแจ้งให้เจ้าทราบเรื่องก็เท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนใจข้าได้"ซ่งซีซีเฝ้าดูเขาเดินจากไปอย่างเย็นชา รู้สึกตัวเองน่าขำมากทีเดียว"คุณหนู" เป่าจูเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ "ท่านเขยเขารังแกคนมากเกินไปจริงๆ""อย่าเรียกไปมั่ว!" ซ่งซีซีเหลือบมองนางเบาๆ "เขาและข้ายังไม่ได้
เป่าจูหยิบรายการสินเดิมมา "ในเวลาหนึ่งปีนี้ ท่านได้อุดหนุนเงินไปมากกว่าหกพันตำลึง แต่ร้านค้า บ้านพัก และสวนต่างไม่ได้แตะต้องเลย ใบรับรองเงินฝากของฮูหยิงที่เก็บไว้ในร้านฝากเงินตอนมีชีวิต และโฉนดบ้าน โฉนดที่ดิน ฯลฯ ทั้งหมดอยู่ในกล่องแถมได้ปิดไว้เรียบร้อย""อืม!" ซ่งซีซีดูรายการนั้น ท่านแม่ของนางให้สินเดิมก้อนโตแก่นางในเวลานั้น คงกลัวว่านางจะต้องทนทุกข์ในครอบครัวของสามี และนางรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงขึ้นมาเป่าจูถามอย่างเศร้าๆ จากด้านข้าง "คุณหนู เราจะไปที่ไหนได้บ้าง หรือว่าจะกลับจวนโหวเหรอ ไม่งั้นเรากลับภูเขาเหม่ยชานดีไหม"สายตาของนางแวบภาพที่ทั้งจวนเต็มไปด้วยเลือดและศพอันน่าสลดใจของคนในครอบครัว นางรู้สึกเจ็บปวดใจทันที "ไปไหนก็ได้ ยังไงก็ดีกว่าอยู่ที่นี่""พอท่านไปแล้ว มันก็ให้พวกเขาได้สมหวังสินะ"ซ่งซีซีพูดดรียบๆ "ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาได้สมหวังเถอะ หากข้าอยู่ต่อ ก็จะใช้ชีวิตอย่างทรมานเมื่อต้องเห็นพวกเขารักใคร่กัน เป่าจู ยามนี้ จวนโหวเหลือข้าเพียงคนเดียว ข้าต้องอยู่ดีกินดีเพื่อที่พ่อแม่และพี่ๆ ของข้าที่อยู่ในสวรรค์ได้หายห่วง""คุณหนู!" เป่าจูร้องไห้อย่างหนัก นางเป็นผู้รับใช้ที่
ฮูหยินผู้เฒ่าฝืนยิ้ม "จะชอบหรือไม่ยังให้คำตอบไม่ได้ เพิ่งพบกันครั้งแรก แต่ในเมื่อฝ่าบาททรงพระราชทานอภิเษกสมรสแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว ต่อไปนางและเป่ยว่างร่วมือกันเพื่อสร้างผลงานในกองทัพ ส่วนเจ้าจัดการดูแลเรื่องฝ่ายในของจวนแม่ทัพ เพลิดเพลินกับความสำเร็จทางการทหารที่พวกเขาต่อสู้มา ช่างดีเหลือเกิน""ดีจริงๆ!" ซ่งซีซียิ้ม "แต่ให้แม่ทัพยี่เป็นแค่อนุภรรยาคงไม่เหมาะกับสถานะของนางสินะ"ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแล้วกล่าวว่า "เจ้าเด็กโง่เอ๊ย นางจะเป็นแค่อนุภรรยาได้ยังไง ในเมื่อฝ่าพระบาททรงพระราชทานอภิเษกสมรสแล้ว อีกอย่างนางยังเป็นผู้บัญชาการทหาร เป็นข้าราชการในราชสำนักด้วย ข้าราชการจะเป็นอนุภรรยาได้ยังไง เป็นภรรยาที่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่า"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ไม่มีใครเหนือกว่างั้นเหรอ ราชวงศ์ของเรามีกฎเช่นนี้หรือ"ฮูหยินผู้เฒ่าดูเย็นชาเล็กน้อย "ซีซี เจ้าเป็นคนมีเหตุผลเสมอ ในเมื่อเจ้าได้แต่งเข้าตระกูลจ้านแล้ว ควรตามกฏของตระกูลจ้านก่อน หลังจากได้รับตรวจสอบโดยกระทรวงกลาโหมแล้ว ยี่ฝางสร้างผลงานโดดเด่นกว่าเป่ยว่างในสงครามครั้งนี้ ต่อไปสองสามีภรรยาพวกเขามีใจเดียวกันกัน บวกกับมีเจ้าดูแลฝ่าย
เต๋อเฟยสะดุ้งไปเล็กน้อย มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่นแล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องใด? พระชายาว่ามาตรงๆ ได้เลย” ซ่งซีซีกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้วังหลังคึกคักกันยกใหญ่ เดี๋ยวก็ว่าฝูเจาอี๋ตกเลือดเพราะซูเฟย เดี๋ยวก็ว่าฮองเฮาเป็นผู้ก่อเหตุ พระนางเต๋อเฟยดูแลวังหลังมานาน ย่อมต้องรู้ว่าเรื่องพวกนี้แพร่มาจากที่ใด และใครเป็นผู้จงใจขยายข่าวลือออกไป ใช่หรือไม่?” เต๋อเฟยไม่คิดว่านางจะมาถามถึงเรื่องเก่าเช่นนี้ สีหน้าที่แฝงความโศกเศร้าแข็งค้างไปชั่วขณะ โดยไม่รู้ตัวก็สบตากับชิงหลันแลกเปลี่ยนสายตากัน แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น นางก็ปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “ในวังมีข่าวลือมากมายมาแต่ไหนแต่ไร ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก พระชายาควรสืบสวนคดีลอบสังหารองค์ชายใหญ่ดีกว่า” ซ่งซีซีกล่าวว่า “ไทเฮามีรับสั่งให้หม่อมฉันสืบสวนตั้งแต่เหตุฝูเจาอี๋ตกเลือด ดังนั้นคดีลอบสังหารองค์ชายใหญ่ต้องตรวจสอบแน่นอน แต่เรื่องอื่นก็ต้องสืบสวนด้วย พระนางและซูเฟยช่วยกันดูแลวังหลังมาเนิ่นนาน คงทราบเรื่องราวในวังหลังเป็นอย่างดี หม่อมฉันคิดว่าแทนที่จะจับตัวเหล่านางกำนัลมาทรมานสอบสวนให้เอิกเกริก จะดีกว่าหากมาขอคำตอบโดยตรงจากพระ
ในตำหนักของฝูเจาอี๋ ซ่งซีซีก็ได้เข้าไปสอบถาม แม้ว่าฝูเจาอี๋จะไม่ได้กล่าวตรงๆ ว่าซูเฟยเป็นคนทำให้นางแท้งบุตร แต่กลับพูดว่า “ผู้ที่ทำความชั่ว ย่อมได้รับผลกรรม ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม ไม่อาจหนีพ้นไปได้” วาจานี้มิได้พาดพิงถึงซูเฟยเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงฮองเฮาด้วย ขณะที่ซ่งซีซีเตรียมตัวจะออกจากตำหนัก ฝูเจาอี๋กลับถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “พระชายา องค์ชายใหญ่... ไม่อาจช่วยไว้ได้แล้วจริงหรือ?” ซ่งซีซีเดิมคิดว่านางคงเสียใจต่อชะตากรรมขององค์ชายใหญ่ แต่เมื่อหันไปมองกลับเห็นว่า ในนัยน์ตาของฝูเจาอี๋ ไม่มีแววเวทนาใดๆ ซ้ำยังแฝงด้วยความปีติเล็กๆ ราวกับว่าเป็นความยินดีจากการล้างแค้นสำเร็จ แม้ว่านางจะพยายามปกปิด แต่ก็ยังเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว ซ่งซีซีมิได้ตอบอะไร เพียงแค่หมุนตัวเดินออกไป ฮองเฮาทำให้นางแท้งบุตร นางย่อมไม่หวังให้องค์ชายใหญ่มีชีวิตรอด ซ่งซีซีไม่มีสิทธิ์ตัดสินนาง ผู้ใดไม่เคยผ่านความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็ไม่มีสิทธิ์สั่งสอนให้เขาทำดี เดิมที นางควรไปที่ตำหนักกุ้ยหลันต่อ แต่หลังจากไตร่ตรอง นางตัดสินใจนำคนไปตำหนักไฉหลิงก่อน ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าจะยังไม่ไป เพราะได้ยินว่าองค์ชายรอ
ฮองเฮาไม่เคยเห็นค่าเต๋อเฟยนัก ตระกูลไม่มีรากฐานที่มั่นคง รูปโฉมก็มิได้โดดเด่น นางสามารถก้าวขึ้นมาเป็นพระสนมได้ ก็เพียงเพราะโชคดีที่ให้กำเนิดองค์ชายรอง ตัวนางเองก็คงรู้ดีว่าไม่มีคนคอยหนุนหลัง จึงต้องประพฤติตนอย่างอ่อนน้อมระมัดระวัง อาจมีเล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าใช้กลอุบายร้ายกาจเกินไป อย่างเรื่องที่เต๋อเฟยให้ความช่วยเหลือฝูเจาอี๋ ก็เพียงเพื่อใช้ฝูเจาอี๋สร้างอำนาจในวังหลัง หวังให้ตนเองมั่นคงขึ้น แต่นางให้การช่วยเหลือเท่าไร ฝูเจาอี๋ก็ไม่เคยเห็นคุณค่า กลับมองว่านางเพียงแค่พาองค์ชายรองไปแย่งความรักจากฮ่องเต้ เรื่องที่เต๋อเฟยมักทำก็คือ การนำก้อนหินมาทุ่มใส่เท้าของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ฮองเฮาจึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา แต่บัดนี้ องค์ชายใหญ่เกิดเรื่องขึ้น นางมีเพียงแค่ซูเฟยเป็นผู้ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม นางเคยคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่า ซูเฟยมีคนหนุนหลัง ตระกูลของนางเป็นขุนนางสายเดียวกับเซี่ยหลูโม่ ภรรยาของอัครเสนาบดีหลี่ก็ดูแลโรงงานผลิตเสื้อผ้า ส่วนซ่งซีซีก็เป็นผู้รับหน้าที่สืบสวน นางไม่มีวันยอมให้ซ่งซีซีช่วยปกป้องซูเฟย ทุกอย่างต้องทำต่อหน้าตนเอง ซ่งซีซีมองออกถึงความคิดข
ซูเฟยนั่งอยู่หน้ากระจกเครื่องแป้ง จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า ชุดที่ก่อนหน้านี้นางให้มารดาว่าจ้างสตรีนามว่าม่อเหนียงจื่อให้ตัดเย็บ ก็ถูกส่งมาถึงแล้ว นางเคยเห็นชุดนั้นมาก่อน เดิมทีตั้งใจจะสวมไปงานเลี้ยงในคืนวันตรุษจีน ชุดเป็นสีเหลืองอัสดง ปักลวดลายดอกไห่ถางเล็กๆ งดงามและละเอียดอ่อน ให้ความรู้สึกสดใสอ่อนหวาน ปลายกระโปรงพลิ้วไหวเสริมให้ดูสูงศักดิ์และสง่างามยิ่งขึ้น นางสั่งให้ฮว๋าเชี่ยนนำชุดมาให้ และเปลี่ยนใส่ทันที นางจ้องมองเงาตัวเองในกระจกทองเหลือง ดวงหน้าของนางแม้จะซีดเซียวลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงงามสะคราญดังเช่นเคย ผิวขาวละเอียด ไม่มีริ้วรอยหรือร่องรอยแห่งความชราเลยสักนิด นางยังคงงดงามอยู่ ปลายนิ้วเรียวขาวลูบไล้ลวดลายปักอันวิจิตร นางพึมพำเบาๆ "ฝีมือปักผ้าของม่อเหนียงจื่อช่างดีนัก ชุดนี้งามกว่าชุดเครื่องแต่งกายในวังของข้าเสียอีก งดงามจริงๆ" ฮว๋าเชี่ยนคุกเข่าลง น้ำตาคลอเต็มดวงตา "พระสนม หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์คิดจะทำอะไร แต่โปรดอย่าได้ทำเลยเพคะ หากพระองค์ทำเช่นนั้น จะกลายเป็นการหนีความผิด องค์ชายสามจะต้องแบกรับข้อหาปลงพระชนม์พี่ชายไปตลอดชีวิต" ซูเฟยหัวเราะเยาะเยียบหยิ่ง แต่แวว
รุ่งขึ้น ณ ท้องพระโรง เซี่ยหลูโม่ประกาศข่าวการสวรรคตขององค์ชายใหญ่ ขุนนางทั้งราชสำนักต่างตกตะลึงและเศร้าสลด! เซี่ยหลูโม่กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง "ฮ่องเต้ทรงได้รับความกระทบกระเทือนทางพระทัยอย่างหนัก จนล้มประชวร ในช่วงเวลานี้ กระหม่อมและอัครเสนาบดีมู่จะเป็นผู้ว่าราชการแทน พระราชพิธีพระศพขององค์ชายใหญ่ จะมอบให้กรมพิธีการและกรมวังเป็นผู้ดำเนินการร่วมกัน" เจ้ากรมฉีทรงตัวยืนไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำ เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนแม้แต่น้อย แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้ฟังข่าวนี้ เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าสลดถึงขีดสุด ณ วังหลัง ข่าวการสวรรคตแพร่กระจายออกไป ฮองเฮาตั้งแต่ถูกส่งกลับมาวานนี้ ก็คอยร่ำไห้ขอเข้าเฝ้าองค์ชายใหญ่เสมอ บัดนี้เมื่อทราบข่าวร้าย นางก็หมดสติไปอีกครั้ง โชคดีที่หมอหลวงคอยเฝ้าอยู่ในตำหนักฉางชุนตลอด เมื่อหมอหลวงช่วยให้ฮองเฮาฟื้นขึ้นมา เสียงร่ำไห้อันโศกเศร้าก็ดังก้องไปทั่ววังหลัง ณ ตำหนักไฉหลิง เต๋อเฟยเมื่อได้ยินข่าวก็ทั้งดีใจและกังวล ดีใจ เพราะแผนการสำเร็จลุล่วง ไม่มีร่องรอย ไม่อาจสาวถึงนางและโอรสของนาง กังวล เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่องค์ชายรองกลับจากอุทยานบุปผาห
จักรพรรดิซูชิงทรงประกาศพระดำริแล้ว จึงทรงถามเซี่ยหลูโม่ถึงผลการสอบสวน พระองค์ทรงทราบดีว่า ม้าหนุ่มไม่อาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาโดยไร้เหตุผล ม้าทุกตัวล้วนผ่านการฝึกฝนมาแล้ว แม้จะมีนิสัยดื้อรั้นเล็กน้อย แต่ก็เชื่องภายใต้การดูแลของเหล่าองค์ชาย เซี่ยหลูโม่มิได้ปิดบัง หยิบเอาดอกหนามเหล็กออกมาถวาย "มีผู้วางดอกหนามเหล็กนี้ไว้ใต้อานม้า หากไม่มีผู้ใดนั่งบนอาน ดอกหนามเหล็กเพียงแค่สร้างความรำคาญให้กับม้าเล็กน้อย แต่เมื่อองค์ชายใหญ่ขึ้นขี่ ดอกหนามเหล็กที่แหลมคมจะทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ ทำให้ม้าเจ็บปวดจนคลุ้มคลั่ง" สายพระเนตรของจักรพรรดิซูชิงฉายแววเย็นเยียบ ทรงหันไปมองซ่งซีซี "ก่อนหน้านี้มิได้ตรวจสอบเลยหรือ?" ซ่งซีซีรีบตอบ "กราบทูลฝ่าบาท ได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งมีองครักษ์เฝ้าอยู่ตลอดเวลา นอกจากองค์ชายทั้งสามพระองค์กับรุ่ยเอ่อร์แล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ม้าเหล่านั้นได้ อีกทั้งตลอดทางมา พวกเขาต่างจูงม้าของตนเอง ไม่มีผู้ใดผ่านมือคนอื่น" ไทเฮาทรงมีพระพักตร์เคร่งขรึม "ข้าได้สั่งกำชับไปแล้ว องค์ชายทั้งสามพระองค์กับซ่งรุ่ย รวมถึงม้าทุกตัว จะต้องอยู่ในสายตาของพวกเขาเสมอ เว้นเสียแต่ว่ามีคนของ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงถามเช่นนั้น หมอมหัศจรรย์ดันนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เขากำลังครุ่นคิด กำลังไตร่ตรอง ในห้องมีเพียงเสียงหายใจหนักหน่วงและเสียงหัวใจเต้นเงียบสงัดราวกับความตาย ความเงียบที่แฝงไปด้วยความสิ้นหวัง กดดันจนแทบหายใจไม่ออก "มิอาจเรียกว่ามีหนทาง เพียงแต่เป็นการลองเสี่ยงดู" หมอมหัศจรรย์ดันเอ่ยขึ้นช้าๆ "อีกทั้งโอกาสสำเร็จนั้นต่ำมาก ต่ำยิ่งนัก" "ท่านว่ามาเถิด" ไทเฮาร้อนพระทัยยิ่งกว่าจักรพรรดิ์ซูชิง "บอกมาให้ฟังเสีย" หมอมหัศจรรย์ดันถอนหายใจหนักหน่วง "ถึงแม้จะเป็นหนทางที่เสี่ยง แต่ต้องให้เขาผ่านสามวันแรกไปได้เสียก่อน หากรอดพ้นสามวันนี้ ข้าจะนำเขาไปยังสำนักเทพโอสถ ให้เขาแช่ร่างในน้ำยาต้มจากหญ้าต้วนซวี่ ซึ่งเติบโตในสำนักเทพโอสถทุกวัน อาจพอรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ว่าความหวังริบหรี่นัก เกรงว่าเขาอาจทนไม่ไหวจนไปไม่ถึงสำนักเทพโอสถ" ซ่งซีซีถามขึ้น "มิอาจเก็บหญ้าต้วนซวี่มาได้หรือ? บัดนี้เขาบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ จะเคลื่อนย้ายได้อย่างไร?" หมอมหัศจรรย์ดันส่ายหน้า "มิอาจ แม้ว่าหญ้าต้วนซวี่ที่แห้งแล้วจะยังมีสรรพคุณอยู่ แต่หากต้องการใช้ให้เกิดผลสูงสุด ต้องนำไปต้มภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากเก็บเ
องค์ชายใหญ่ถูกส่งกลับไปยังตำหนักภายในอุทยานบุปผาหลวง บัดนี้ไม่มีหนทางที่จะส่งเขากลับวังหลวงได้ จำต้องทำการรักษา ณ ที่ใกล้ที่สุด ส่วนอาการของเขาเป็นเช่นไร ทุกคนเพียงแค่มองสีหน้าของหมอมหัศจรรย์ดัน ก็คาดเดาได้ไม่ยาก เกรงว่า… คงไม่รอดแล้ว เซี่ยหลูโม่สั่งให้กระจายผู้คนออกไป ส่วนผลการสอบสวน เขาไม่ได้เร่งส่งขึ้นไปทันที แต่สั่งให้คนสืบต่อไป บรรดาสนมทั้งหมดถูกส่งกลับคืนสู่พระตำหนัก รวมถึงฮองเฮาด้วย เดิมทีนางไม่ยอมกลับ ไม่ว่าเป็นหรือตายก็ยังคงยืนกรานจะอยู่ข้างกายโอรส แต่เมื่อเข้าไปพบองค์ชายใหญ่ นางกลับหมดสติไปอีกครั้ง จักรพรรดิ์ซูชิงจึงมีรับสั่งให้นำตัวนางกลับไป รุ่ยเอ่อร์ไม่ยอมจากไป ยืนกรานจะอยู่เคียงข้างองค์ชายใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เซี่ยหลูโม่จึงอนุญาตให้เขาอยู่ต่อ คืนนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงประทับอยู่ ณ อุทยานบุปผาหลวง ไทเฮาเสด็จมาในยามเย็น ข่าวคราวที่เกิดขึ้นมีคนกราบทูลนางแล้ว ทันทีที่ไทเฮามาถึง นางก็รับช่วงต่อจากซ่งซีซี นางเป็นผู้คอยดูแลองค์ชายใหญ่ด้วยพระองค์เอง เมื่อนำองค์ชายใหญ่มายังตำหนักฉือหนิงในครั้งแรก ไทเฮาไม่มีทางเลือกอื่น ความเย็นชาของนางที่มีต่อองค์ชายใหญ่
ฮองเฮามิได้ถูกขัดขวาง นางพุ่งเข้าไปภายในฉากไม้ไผ่ เพียงแค่เห็นพระโอรสที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต นางก็กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะเป็นลมล้มลงในทันที โชคยังดีที่หมอหลวงอยู่ในที่นั้น นางกำนัลรีบพยุงนางออกไปด้านนอกเพื่อให้หมอหลวงช่วยรักษา หลังจากฟื้นคืนสติแล้ว ฮองเฮาทรงร่ำไห้อย่างสุดกำลัง เซี่ยหลูโม่พาผู้คนเข้าควบคุมสถานการณ์ และสกัดจับม้าบ้าคลั่งตัวนั้น พร้อมกับเริ่มต้นสืบสวนเหตุการณ์ทันที ภายในฉากไม้ไผ่ จักรพรรดิ์ซูชิงทรงคุกเข่าลง พระหัตถ์ที่สั่นระริกลูบใบหน้าขององค์ชายใหญ่ พระหัตถ์เปื้อนไปด้วยโลหิตสด หมอมหัศจรรย์ดันรีบปักเข็มลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตรัสให้ฮ่องเต้หลบไปด้านข้าง เขาต้องทำให้เลือดที่ศีรษะหยุดไหลก่อน การฝังเข็มในครั้งนี้ เป็นเพียงการรั้งลมหายใจสุดท้ายเอาไว้เท่านั้น ยาเม็ดที่เตรียมมาไม่สามารถให้กลืนลงไปได้ เขาจึงยื่นขวดยาห้ามเลือดให้ซ่งซีซี “ให้เขากลืนลงไป ถ้าเขากลืนได้ จะช่วยชะลอการตกเลือดภายใน” หมอมหัศจรรย์ดันมองออกอย่างชัดเจนว่า ฝีเท้าม้าที่เหยียบลงไปย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรง น้ำหนักของม้ารวมกับความเร็วเช่นนั้น แน่นอนว่าทำให้อวัยวะภายในเสียหายและตกเลือด หา