ประมาณช่วงตีสาม ฝนค่อยๆ ซาลง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าอากาศไม่ได้อบอ้าวนัก และหลับใหลได้หวานละมุนยิ่งขึ้นเงาร่างเจ็ดแปดสายพุ่งผ่านรัตติกาลของเมืองหลวงที่ถูกห้ามสัญจร ยามปลายเท้าสัมผัสหลังคาดั่งนกนางแอ่นโฉบผ่าน ไร้ซึ่งร่องรอยประหนึ่งเหยียบหิมะไร้เสียงเหล่าเงาร่างตกลงบนจวนกองกำลังเมืองหลวง ภายในจวนกองกำลังเมืองหลวงเหล่าทหารเวรยามได้ถอนออกไปแต่แรก เหลือเพียงพวกเขาสองสามคนในโถงใหญ่ ตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างเข้มงวดพวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง กำอาวุธในมือแน่น …มาแล้ว!แสงตะเกียงริบหรี่ ขณะเงาดำปราดเข้ามา ลมฝ่ามือระลอกหนึ่งทำให้เปลวไฟดับสนิทในความมืดสนิท ยื่นมือออกไปยังไม่เห็นแม้สักนิ้วพวกเขาทำได้เพียงอาศัยฟังเสียงลมหายใจของฝ่ายตรงข้ามเพื่อกะตำแหน่งเซี่ยทิงเหยียนมีวรยุทธ์ภายในลึกล้ำ ไม่อาจเทียบกับผู้ใด ท่วงท่าลงมือรวดเร็วดุดัน ฟันกระบี่ผ่านอากาศมุ่งหมายคอหอยของซ่งซีซีโดยตรงซ่งซีซีกระโจนขึ้นเหยียบกระบี่หลบพ้น หมุนตัวลงพื้นด้วยหอกดอกท้อเหวี่ยงกวาด สลายภัยตรงหน้า แล้วอาศัยกลิ่นอายชี้ทางหาเสิ่นว่านจือ เบียดหลังชนกันเพื่อต้านศัตรูการประหัตประหารในความมืดมิดดุเดือดสุดเปรียบ ได้ยินเพียงเสียงอาวุธ
ในเรือนเหวินซี โคมไฟที่อยู่หน้าทางเดินส่องภาพกระดาษตัดบนโครงตาข่ายหน้าต่าง และสะท้อนมันลงบนผนังบ้านราวกับสัตว์ขนาดยักษ์อย่างไรอย่างนั้นซ่งซีซีนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่มีพนักพิง ประสานมือไว้ข้างหน้า ร่างเพรียวบางห่อด้วยเสื้อผ้าเรียบๆ นางมองไปที่คนอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นสามีที่เพิ่งต่างงานของนาง ซึ่งนางรอคอยมานานหนึ่งปีชุดเกราะทหารที่ดูค่อนข้างเก่าของจ้านเป่ยว่างยังไม่ได้ถอด และเขาดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีความรู้สึกขอโทษแฝงไว้ "ซีซี ได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้สมรสกันแล้ว ยี่ฝางจะต้องแต่งเข้ามาอย่างแน่นอน"ซ่งซีซีประสานมือไว้หน้าลำตัว ดวงตาของนางมืดมัว นางถามอย่างสงสัย "ไทโฮ่วเคยกล่าวไว้ว่าแม่ทัพยี่ฝางเป็นแบบอย่างสำหรับผู้หญิงในใต้หล้า นางยอมที่จะเป็นอนุภรรยาหรือ? "ดวงตาที่หนักอึ้งของจ้านเป่ยว่างฉายแววความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย "ไม่ ไม่ใช่อนุภรรยา นางเป็นภรรยาเท่าเทียม ไม่ต่างจากเจ้า"ซ่งซีซียังคงนิ่งเฉยและพูดว่า "ท่านแม่ทัพรู้ดีว่าภรรยาเท่าเทียมแค่ฟังดูดีเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วนางก็เป็นอนุภรรยาอยู่ดี"จ้านเป่ยว่างขมวดคิ้ว "จะอนุอะไรกัน นางกับข้ามีใจให้กันในสนามรบและตกหลุมรักกัน อีกอย่างเ
จ้านเป่ยว่างจนใจเล็กน้อย "ทำไมต้องหาเรื่องด้วยล่ะ? นี่คือพระราชทานสมรสที่ฝ่าบาทออกให้ และแม้ว่ายี่ฝางจะเข้ามา พวกเจ้าก็อยู่คนละเรือนกัน และนางก็จะไม่แย่งชิงสิทธิในการบริหารครอบครัวกับเจ้า ซีซี สิ่งที่เจ้าให้สำคัญนั้นนางไม่สนหรอก""ท่านคิดว่าข้าสนใจอยากกุมอำนาจดูแลบ้านเหรอ?" ซ่งซีซีถามกลับ มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นผู้นำที่ดูแลจวนแม่ทัพ แค่ยาที่หมอมหัศจรรย์ดันออกให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินในแต่ละเดือนก็ต้องเสียเงินหลายสิบตำลึง ไหนจะของกินของใช้ของทุกคน ไหนจะมีญาติพี่น้องและเพื่อนต้องติดต่ออีก ต้องใช้เงินไปหมดจวนแม่ทัพมีแค่มีชื่อเสียงเท่านั้น ในปีที่ผ่านมา เงินสินเดิมของนางใช้อุดหนุนไปไม่น้อยเลย แต่นี่คือผลที่นางแลกมางั้นหรือจ้านเป่ยว่างหมดความอดทนโดยสิ้นเชิง "ช่างเถอะ ข้าไม่อยากเสียน้ำลายกับเจ้า ข้าแค่ต้องแจ้งให้เจ้าทราบเรื่องก็เท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนใจข้าได้"ซ่งซีซีเฝ้าดูเขาเดินจากไปอย่างเย็นชา รู้สึกตัวเองน่าขำมากทีเดียว"คุณหนู" เป่าจูเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ "ท่านเขยเขารังแกคนมากเกินไปจริงๆ""อย่าเรียกไปมั่ว!" ซ่งซีซีเหลือบมองนางเบาๆ "เขาและข้ายังไม่ได้
เป่าจูหยิบรายการสินเดิมมา "ในเวลาหนึ่งปีนี้ ท่านได้อุดหนุนเงินไปมากกว่าหกพันตำลึง แต่ร้านค้า บ้านพัก และสวนต่างไม่ได้แตะต้องเลย ใบรับรองเงินฝากของฮูหยิงที่เก็บไว้ในร้านฝากเงินตอนมีชีวิต และโฉนดบ้าน โฉนดที่ดิน ฯลฯ ทั้งหมดอยู่ในกล่องแถมได้ปิดไว้เรียบร้อย""อืม!" ซ่งซีซีดูรายการนั้น ท่านแม่ของนางให้สินเดิมก้อนโตแก่นางในเวลานั้น คงกลัวว่านางจะต้องทนทุกข์ในครอบครัวของสามี และนางรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงขึ้นมาเป่าจูถามอย่างเศร้าๆ จากด้านข้าง "คุณหนู เราจะไปที่ไหนได้บ้าง หรือว่าจะกลับจวนโหวเหรอ ไม่งั้นเรากลับภูเขาเหม่ยชานดีไหม"สายตาของนางแวบภาพที่ทั้งจวนเต็มไปด้วยเลือดและศพอันน่าสลดใจของคนในครอบครัว นางรู้สึกเจ็บปวดใจทันที "ไปไหนก็ได้ ยังไงก็ดีกว่าอยู่ที่นี่""พอท่านไปแล้ว มันก็ให้พวกเขาได้สมหวังสินะ"ซ่งซีซีพูดดรียบๆ "ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาได้สมหวังเถอะ หากข้าอยู่ต่อ ก็จะใช้ชีวิตอย่างทรมานเมื่อต้องเห็นพวกเขารักใคร่กัน เป่าจู ยามนี้ จวนโหวเหลือข้าเพียงคนเดียว ข้าต้องอยู่ดีกินดีเพื่อที่พ่อแม่และพี่ๆ ของข้าที่อยู่ในสวรรค์ได้หายห่วง""คุณหนู!" เป่าจูร้องไห้อย่างหนัก นางเป็นผู้รับใช้ที่
ฮูหยินผู้เฒ่าฝืนยิ้ม "จะชอบหรือไม่ยังให้คำตอบไม่ได้ เพิ่งพบกันครั้งแรก แต่ในเมื่อฝ่าบาททรงพระราชทานอภิเษกสมรสแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว ต่อไปนางและเป่ยว่างร่วมือกันเพื่อสร้างผลงานในกองทัพ ส่วนเจ้าจัดการดูแลเรื่องฝ่ายในของจวนแม่ทัพ เพลิดเพลินกับความสำเร็จทางการทหารที่พวกเขาต่อสู้มา ช่างดีเหลือเกิน""ดีจริงๆ!" ซ่งซีซียิ้ม "แต่ให้แม่ทัพยี่เป็นแค่อนุภรรยาคงไม่เหมาะกับสถานะของนางสินะ"ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแล้วกล่าวว่า "เจ้าเด็กโง่เอ๊ย นางจะเป็นแค่อนุภรรยาได้ยังไง ในเมื่อฝ่าพระบาททรงพระราชทานอภิเษกสมรสแล้ว อีกอย่างนางยังเป็นผู้บัญชาการทหาร เป็นข้าราชการในราชสำนักด้วย ข้าราชการจะเป็นอนุภรรยาได้ยังไง เป็นภรรยาที่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่า"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ไม่มีใครเหนือกว่างั้นเหรอ ราชวงศ์ของเรามีกฎเช่นนี้หรือ"ฮูหยินผู้เฒ่าดูเย็นชาเล็กน้อย "ซีซี เจ้าเป็นคนมีเหตุผลเสมอ ในเมื่อเจ้าได้แต่งเข้าตระกูลจ้านแล้ว ควรตามกฏของตระกูลจ้านก่อน หลังจากได้รับตรวจสอบโดยกระทรวงกลาโหมแล้ว ยี่ฝางสร้างผลงานโดดเด่นกว่าเป่ยว่างในสงครามครั้งนี้ ต่อไปสองสามีภรรยาพวกเขามีใจเดียวกันกัน บวกกับมีเจ้าดูแลฝ่าย
คนของตระกูลจ้านต่างมองหน้ากัน คิดไม่ถึงว่าซ่งซีซีมักจะที่อ่อนแอนั้น ยามนี้จะเด็ดขาดเช่นนี้ยิ่งกว่านั้นนางไม่ยอมเชื่อฟังท่านแม่ด้วยซ้ำฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างเย็นชา "นางต้องยอมแน่นอน นางไม่มีทางเลือกอื่น"ใช่ไง บัดนี้นางไม่มีครอบครัวที่ให้พึ่งพา นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอยู่ในตระกูลจ้าน ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลจ้านไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีต่อนาง นางยังเป็นภรรยาเอกเช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งซีซีนำเป่าจูกลับจวนโหวเจิ้นเป่ยภายในจวนก็รกร้าง ใบไม้ร่วงหล่นกองอยู่อย่างไรก็ตาม ไม่มีคนดูแลมาครึ่งปีแล้ว และลานบ้านของจวนโหวมีวัชพืชที่สูงพอๆ กับผู้ใหญ่ได้เมื่อเหยียบเข้าไปในจวนโหวอีกครั้ง ซ่งซีซีก็รู้สึกเจ็บใจจนเหมือนโดนมีดแทงใจเมื่อหกเดือนก่อน นางตกใจเมื่อได้ยินว่าครอบครัวของนางถูกสังหารไปหมด นางทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าศพของท่านย่าและท่านแม่ พวกนางหนาวมากจนไม่มีความอบอุ่นแม้แต่นิดเลย และทุกที่ของจวนก็เปื้อนไปด้วยเลือดหมดมีห้องโถงของบรรพบุรุษอยู่ในจวนโหว และป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษของตระกูลซ่งและท่านแม่ของนางล้วนอยู่ในห้องโถงของบรรพบุรุษนางและเป่าจูกำลังเตรียมเครื่องบูชา และน้ำตาของพวกนางก็ไม่เคยหยุด
ซ่งซีซีคุกเข่าในห้องอ่านหนังสือของจักรวรรดิ ลดศีรษะลงพลางหรี่ตาลงจักรพรรดิ์ซูชิงจำได้ว่าทั้งครอบครัวจวนโหวเจิ้นเป่ยตอนนี้เหลือนางเพียงคนเดียวแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารขึ้นมา "ลุกขึ้นค่อยพูด!"ซ่งซีซีประสานมือแล้วกราบ "ฝ่าบาทเพค่ะ ที่หม่อมฉันมาขอพบในวันนี้ถือว่าทำตัวล่วงเกินไปจริงๆ แต่หม่อมฉันอยากขอเรื่องหนึ่งจากฝ่าบาทเพค่ะ"จักรพรรดิ์ซูชิงว่า "ซ่งซีซี ข้าได้ออกพระราชโองการแล้ว และไม่สามารถกลับคำได้"ซ่งซีซีส่ายหัวเบาๆ "หม่อมฉันขอร้องฝ่าบาทออกพระราชโองการให้หม่อมฉันกับแม่ทัพจ้านหย่าโดยสันติเพค่ะ"จักรพรรดิ์หนุ่มตกใจ "หย่า? เจ้าต้องการหย่าหรือ?"เดิมทีเขาคิดว่านางมาที่นี่เพื่อขอร้องให้เขาถอนพระราชโองการกาแต่งงาน แต่ไม่ได้คาดคิดว่านางมาขอออกพระราชโองการให้หย่าโดยสันติซ่งซีซีกลั้นน้ำตา "ฝ่าบาทเพค่ะ แม่ทัพจ้านและแม่ทัพยี่ใช้ผลงานการเอาชนะศึกเพื่อขอพระราชทานอภิเษกสมรส วันนี้เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของท่านพ่อและพี่ชายของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ต้องการใช้ผลงานทางทหารของพวกเขาเพื่อขอพระราชโองการให้หย่า หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้!"ดวงตาของจักรพรรดิ์ซูชิงมีความซับซ้อน "ซีซี เจ้ารู้ห
หลังจากที่ซ่งซีซีจากไป อู๋ต้าปั้นก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจากด้านนอกแล้วพูดว่า "ฝ่าบาท ไทโฮ่วได้ส่งคนมาที่นี่ เพื่อตามหาฝ่าบาทหาเวลาไปพบพะย่ะค่ะ"จักรพรรดิ์ซูชิงถอนหายใจ "อาจเป็นเพราะเรื่องของซีซี ทำให้นางวิตกกังวลเข้าแล้ว ไปกันเลย"ดอกโบตั๋นในตำหนักโซ่วคังกำลังบานสะพรั่ง งดงาม มีกลิ่มหอมด้วยและดอกกุหลาบที่เลื้อยตามกำแพงตำหนักก็บานสะพรั่งอย่างสวยงามเช่นกันไทโฮ่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หวงฮวาลีที่มีพนักพิงในห้องโถงใหญ่ สวมชุดคลุมสีม่วง และมีหยกขาวอยู่ในมวยของนาง ด้วยใบหน้าซีดเซียว"กระหม่อมคารวะเสด็จแม่พะย่ะค่ะ!" จักรพรรดิ์ซูชิงก้าวไปข้างหน้าและคารวะด้วยไทโฮ่วมองดูเขา ให้คนรับใช้ต่างๆ ออกไปแล้วถอนหายใจ "พระราชทานอภิเษกสมรสที่เจ้าออกให้นั้น ใช้ไม่ได้จริงๆ เจ้าทำแบบนี้ ทั้งผิดต่อท่านโหวซ่ง ยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับผู้คนในใต้หล้าอีกด้วย"เสียงของไทโฮ่วค่อยๆ เข้มขึ้น "ในราชวงศ์ซางมีกฎหมายอยู่ ขุนนางในราชสำนักไม่ได้รับอนุญาตให้รับอนุภรรยาภายในห้าปีหลังจากแต่งงาน ห้าปีเป็นเวลาที่สั้นมากแล้ว ตามที่ข้าคิด เว้นแต่เกินอายุสี่สิบแต่ยังไม่มีบุตรถึงจะแต่งอนุภรรยาได้ ตอนนี้เจ้าออกพระราชทาน
ประมาณช่วงตีสาม ฝนค่อยๆ ซาลง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าอากาศไม่ได้อบอ้าวนัก และหลับใหลได้หวานละมุนยิ่งขึ้นเงาร่างเจ็ดแปดสายพุ่งผ่านรัตติกาลของเมืองหลวงที่ถูกห้ามสัญจร ยามปลายเท้าสัมผัสหลังคาดั่งนกนางแอ่นโฉบผ่าน ไร้ซึ่งร่องรอยประหนึ่งเหยียบหิมะไร้เสียงเหล่าเงาร่างตกลงบนจวนกองกำลังเมืองหลวง ภายในจวนกองกำลังเมืองหลวงเหล่าทหารเวรยามได้ถอนออกไปแต่แรก เหลือเพียงพวกเขาสองสามคนในโถงใหญ่ ตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างเข้มงวดพวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง กำอาวุธในมือแน่น …มาแล้ว!แสงตะเกียงริบหรี่ ขณะเงาดำปราดเข้ามา ลมฝ่ามือระลอกหนึ่งทำให้เปลวไฟดับสนิทในความมืดสนิท ยื่นมือออกไปยังไม่เห็นแม้สักนิ้วพวกเขาทำได้เพียงอาศัยฟังเสียงลมหายใจของฝ่ายตรงข้ามเพื่อกะตำแหน่งเซี่ยทิงเหยียนมีวรยุทธ์ภายในลึกล้ำ ไม่อาจเทียบกับผู้ใด ท่วงท่าลงมือรวดเร็วดุดัน ฟันกระบี่ผ่านอากาศมุ่งหมายคอหอยของซ่งซีซีโดยตรงซ่งซีซีกระโจนขึ้นเหยียบกระบี่หลบพ้น หมุนตัวลงพื้นด้วยหอกดอกท้อเหวี่ยงกวาด สลายภัยตรงหน้า แล้วอาศัยกลิ่นอายชี้ทางหาเสิ่นว่านจือ เบียดหลังชนกันเพื่อต้านศัตรูการประหัตประหารในความมืดมิดดุเดือดสุดเปรียบ ได้ยินเพียงเสียงอาวุธ
ค่ำคืนฤดูร้อนชื้นแฉะ ทำให้ใจผู้คนพลันหงุดหงิดโดยไม่รู้สาเหตุคืนนี้อ๋องฮุยเบื่ออาหาร เพียงตักสองสามคำก็วางตะเกียบลงแล้วกล่าวว่าจะกลับไปห้องหนังสือเพื่อฝึกคัดอักษรผ่อนใจ พากู้ชิงหยิงออกไปด้วยก่อนกู้ชิงหยิงจะจากไปยังหยิบจานขนมสองจานใหญ่ติดมือไปด้วย นางไม่อาจปล่อยให้ท้องหิวได้หนิงจวิ้นอ๋องยังคงแต่งกายเป็นลุงกวน พอเห็นอ๋องฮุยกลับห้องหนังสือก็ไม่ขัดขวาง เพราะไม่ว่าจะอยู่แห่งใด ก็มีคนจับตาดูชายชราอยู่ตลอดทว่ายามค่ำคืนนี้ หนิงจวิ้นอ๋องมีภารกิจสำคัญยิ่งกว่ารอคอย เขากลับเข้าห้องตน เปลี่ยนเป็นชุดรัตติกาล แล้วนั่งหน้ากระจกทองเหลือง เปิดหีบที่บรรจุหน้ากากหนังมนุษย์หลายแผ่น เขาค่อยๆ ลอกหน้ากากที่สวมอยู่ก่อนออก แล้วเลือกอีกแผ่นหนึ่งมาสวมแทน หน้ากากเหล่านี้แนบสนิทจนมองไม่ออกว่าเป็นของปลอมแม้จะต้องปิดผ้าดำที่ใบหน้าไว้ แต่เขายังคงพิถีพิถันทาสีให้เนียนเสมอกันบริเวณรอยต่อระหว่างใบหน้าและลำคอ เช่นนี้ ต่อให้ผ้าดำถูกดึงออกก็ยากจะสังเกตพบพิรุธมีผู้มาเคาะประตูด้านนอก เขาจึงปิดผ้าดำบนใบหน้าแล้วกล่าวว่า “เข้ามา”ร่างหนึ่งราวภูตพรายย่างเข้ามาเงียบงัน เอ่ยเบาๆ ว่า “นายท่าน เสิ่นชิงเหอและหยูจินพาเมิ่งเ
ในที่สุด ค่ำวันนั้นความขัดแย้งก็ปะทุรุนแรงขึ้นกรมดูแลทางน้ำมีทหารคุมกำกับแรงงานอาญาให้ทำงาน ด้วยเมื่อวานฝนเทกระหน่ำทำให้หยุดงานไป วันนี้ครั้นฟ้าอึมครึมไร้ฝน จินชางหมิงจึงสั่งให้คนงานเร่งงานให้เร็วกว่ากำหนดถึงสามวันคนงานไม่ยินยอม เกิดปะทะคารมกับคนของกรมดูแลทางน้ำ จินชางหมิงโมโหจึงสะบัดไม้กระบองฟาดลงไปที่คนงานผู้หนึ่ง เพียงไม้เดียวนี้ทำให้เหล่าคนงานโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดนับร้อยคนกรูเข้ารุมทำร้ายข้าราชการของกรมทางน้ำ โชคดีที่ซ่งซีซีวางคนเฝ้าดูอยู่รอบด้าน เมื่อเหตุเกิดขึ้น จึงมีผู้รีบไปแจ้งลู่เจินลู่เจินแม้กังวลว่านี่อาจเป็นอุบายของอีกฝ่าย แต่จากการสืบสวนพบว่าไม่ใช่แรงงานอาญาทั้งหมดเป็นคนของหนิงจวิ้นอ๋อง พวกที่ถูกยุยงให้ปะทะกับข้าราชการกลุ่มนี้อาจเป็นเพียงคนงานธรรมดาเท่านั้นดังนั้น เขาจึงนำคนไปห้ามทัพด้านหนึ่ง อีกด้านส่งคนไปกราบทูลใต้เท้าซ่งซ่งซีซีเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว ยามราตรีเมืองหลวงจะประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน หากยังชกต่อยกันไม่เลิกรา เกรงว่าศัตรูจะฉวยโอกาสปะปนก่อเหตุได้ง่ายนางจึงสั่งให้ปี้หมิงนำกองกำลังเมืองหลวงไป ด้านหนึ่งก็ส่งคนแจ้งโหวเซวียนผิงให้เรียกตัวจินชางหมิงกลับมาแล้วกั
ครั้งนี้เหรินหยางอวิ๋นยังได้นำปืนใหญ่เข้ามาด้วยหนึ่งลำ ทว่าตอนนี้สามารถวางทิ้งไว้เพียงนอกเมือง ยังไม่อาจขนเข้าไปได้ปืนใหญ่นี้ดัดแปลงมาจากปืนใหญ่เสื้อฉาดของเป่ยถัง ในอดีตลานบ้านของอูโซเว่ยเคยถูกปืนใหญ่นี้ถล่มจนราบคาบมาแล้วผ่านไปอีกสองวัน เหล่าสำนักที่ได้รับเชิญในงานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนล้วนเข้ามาในเมืองใเมืองาบหลากหลาย เพราะทราบดีว่าชาวยุทธ์จะถูกสอบถามอย่างยืดเยื้อ จึงพากันปลอมแปลงตัวกันหมดเหรินหยางอวิ๋นจงใจคัดเลือกคนของเขาเหลิ่งเยว่ ให้ไปเฝ้าระวังผลัดเวรกันที่จวนกองกำลังเมืองหลวง และจวนเป่ยหมิงอ๋องที่ทำเช่นนี้เพราะมีเหตุผลอยู่ คนของเขาเหลิ่งเยว่ไม่ค่อยปรากฏตัวในยุทธภพ เมืองหลวงยิ่งไม่ได้ย่างกราย หนิงจวิ้นอ๋องคงไม่เคยพบพวกเขา ให้พวกเขามาคอยปกป้องซ่งซีซีอย่างลับๆ เช่นนี้ย่อมวางใจได้มากกว่าเหรินหยางอวิ๋นมั่นใจนักว่าก้าวต่อไปของหนิงจวิ้นอ๋องคือสังหารซีซี ถ้าไม่นับสิ่งที่เขาคาดเดาพลาดไปบ้าง เขานั้นไม่เคยคาดเดาพลาดเลยเขาจัดเลี้ยงที่ตึกว่างจิง เชิญทุกคนมากินดื่มมื้อหนึ่ง เรื่องสำคัญย่อมต้องสนทนากับพวกเขาเป็นการส่วนตัว“เรื่องอื่นพวกเราอย่าเพิ่งใส่ใจ ก่อนอื่นต้องคุ้มครองความปลอดภ
พวกเขาเข้ามาในเมืองแล้ว เพราะมีขบวนค้าจากที่อื่นตามมาอีก เขาจึงไปตรวจสอบขบวนพ่อค้าวาณิชเหล่านั้นให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา จึงปล่อยพวกเขาผ่านทว่าขณะหันศีรษะไป เขากลับเห็นขบวนค้าติดตามกลุ่มคนเมื่อครู่นั้นเดินไปด้วยกัน ในหมู่บุคคลเหล่านั้นมีอยู่หนึ่งคนที่หันหลังให้อย่างคุ้นตายิ่ง ดูประหนึ่งเป็นอาจารย์อาแห่งสถาบันว่านซงเหมินอาจารย์อาผู้นั้นดูเหมือนจะชื่ออูโซเว่ย แต่ก็นะ แค่ส่วนที่เห็นจากด้านหลังก็ละม้ายคล้าย ส่วนใบหน้าหากลองนึกดูแล้วกลับไม่เหมือนเลยสักนิดอย่างไรก็ดี เขายังคงตัดสินใจส่งคนไม่กี่คนให้สะกดรอยตามขบวนพ่อค้า เพื่อสังเกตดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ครั้นผ่านไปครึ่งชั่วโมง มีข่าวว่าพวกเขาพักอยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งบนถนนตงหลัน แถบนั้นล้วนเป็นที่พำนักของขุนนางและตระกูลทรงอำนาจ แม้พ่อค้ามั่งคั่งแค่ไหนก็ยากจะซื้อบ้านเรือนตรงนั้นได้ปี้หมิงส่งคนไปสืบความ จึงรู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเข้าพักนั้นคือคฤหาสน์ของอ๋องต่างสกุล ซึ่งถูกปล่อยร้างมานาน ไม่มีผู้พำนัก ได้ยินว่าเจ้าของเดิมเดิมย้ายไปตั้งรกรากที่อื่นนานแล้วปี้หมิงรู้สึกเหมือนมีลับลมคมในอะไรสักอย่าง แต่ครุ่นคิดแล้วก็คิดไม่ออกสมองมืดมนว่างเ
ทางฝั่งหนิงโจวมีข่าวส่งมาว่า หนิงจวิ้นอ๋องตัวปลอม ถูกเปิดโปงแล้ว เขาเป็นเพียงชายธรรมดาที่มีหน้าตาคล้ายหนิงจวิ้นอ๋อง เดิมทีเป็นราษฎรคนหนึ่ง ถูกหนิงจวิ้นอ๋องพาตัวไปยังจวน ฝึกฝนให้เลียนแบบอิริยาบถทุกกระเบียดนิ้วของหนิงจวิ้นอ๋องเมื่อหนิงจวิ้นอ๋องละทิ้งหนิงโจว ตัวปลอมผู้นี้จึงกลายเป็นร่างแทน ออกไปยังสถานที่ที่หนิงจวิ้นอ๋องโปรดปราน นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมเมื่อตรวจสอบในคราแรก จึงกล่าวกันว่าหนิงจวิ้นอ๋องแทบไม่เคยออกจากแดนศักดินาของตนที่แท้แต่แรกเริ่ม เขาได้ปลอมแปลงอำพรางตัว ตระเวนเคลื่อนไหวไปทั่วทุกสารทิศ“ควบคุมตัวชายผู้นั้นไว้แล้วหรือไม่?” ซ่งซีซีรีบเอ่ยถามทันที “วางใจได้ นำตัวคนไปแล้ว” อาจารย์หยูตอบ ซ่งซีซีผ่อนลมหายใจเบาๆ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว หนิงโจวจะได้ไม่มีหนิงจวิ้นอ๋องปรากฏขึ้นอีก ข้านับว่ามองเห็นกลอุบายของหนิงจวิ้นอ๋องแจ่มชัด เขาซ่อนตัวภายใต้นามลุงกวน คำสั่งทั้งหมดส่งออกจากจวนอ๋องฮุย ดังนั้นคนที่ทุกฝ่ายรู้จักว่าเป็นกบฏก็คืออ๋องฮุย ซึ่งเขาอยู่ที่หนิงโจวมาตลอด ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏเลยสักนิด”อาจารย์หยูกล่าว “ใช่แล้ว หากพลาดพลั้ง ทุกอย่างก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขายังสามารถอ้างว่า
ซ่งซีซีร่วมปรึกษาราชการต่อเนื่องกันหลายวัน นางจึงเข้าใจวาจาของเสนาบดีอย่างแท้จริง บางเรื่องมีผู้เห็นต่างกันมากมาย ล้วนมีเหตุผลในแบบของตน ถกเถียงกันไม่หยุดหย่อน จะมีผู้เห็นด้วยหรือคัดค้านอย่างไรก็ไม่อาจนำไปสู่ข้อชี้นำชัดเจนนางรู้สึกว่าตนไม่อาจเข้าร่วมการประชุมอีกต่อไป หลายวันที่ผ่านมานางถูกกระแสความเห็นนับไม่ถ้วนห้อมล้อม จนไม่อาจตัดสินใจว่าจะขยับก้าวไปทางใดยิ่งไปกว่านั้น พระอาการของฝ่าบาทก็ยังไม่ทุเลาสิ้น พระองค์ทรงไอไม่หยุด ต้องฝืนพระวรกายไว้ มีคนฉวยโอกาสกระตุ้นให้แต่งตั้งรัชทายาทในเวลานี้ผู้ที่เสนอความเห็นนี้คือเหล่าศิษย์ที่เคยเป็นคนของเจ้ากรมฉี เป็นขุนนางหนุ่มซึ่งเดิมทีถูกฮองเฮาฉีโน้มน้าวให้ช่วยผลักดันเรื่ององค์รัชทายาท ครั้นเห็นฝ่าบาทประชวร แผ่นดินมีภัยรอบด้าน จึงฉวยจังหวะเสนอให้รีบกำหนดองค์รัชทายาทโดยเร็วเจ้ากรมฉีโกรธจนใบหน้าถอดสี แม้จะขอคัดค้านเต็มกำลังต่อเบื้องพระพักตร์ แต่กลับทำให้คนมองว่าการถอยนี้คือการรุกอีกรูปแบบหนึ่ง หรืออาจเป็นการปัดความรับผิดชอบอย่างเต็มที่เพราะเรื่องนี้ จักรพรรดิ์ซูชิงถึงกับสำรอกโลหิตอีกครั้ง ทำให้ทุกคนร้อนใจอลหม่านปั่นป่วนยิ่งนักซ่งซีซีจึงอ้า
สถาบันว่านซงเหมินเข้มงวดในการรับศิษย์นัก ด้วยเหตุนี้ศิษย์แท้จริงของเหรินหยางอวิ๋นจึงไม่ได้มีมากมาย รวมทั้งผู้ที่จากสถาบันไปแล้วด้วย รวมทั้งสิ้นมีเพียงสิบห้าคนเท่านั้นส่วนศิษย์ที่ออกจากสถาบันว่านซงเหมินไปนั้น ไม่ใช่ว่าทรยศต่อสำนัก เพียงแต่ต่างก็มีเส้นทางเติบโตของตนเองเหรินหยางอวิ๋นเป็นคนไม่ได้คร่ำครึ เขาอนุญาตให้ศิษย์ของตนทำสิ่งที่อยากทำได้ตามใจ แต่มีเงื่อนไขว่าอย่าได้ก่อความเดือดร้อนแก่ราษฎรและคนดีมีคุณธรรมหลายวันก่อน เขาได้ใช้วิธีส่งหนังสือโดยนกพิราบถึงเหล่าศิษย์ที่จากสำนักไปแล้ว บัดนี้แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงฐานะ เมื่อได้ยินอาจารย์เรียกหา พวกเขาล้วนจะมุ่งหน้าไปเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือศิษย์น้องหญิงในสถาบันว่านซงเหมินยังมีศิษย์อื่นๆ อยู่อีก เพียงแต่เรียกขานรวมๆ ว่าศิษย์ แต่ไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงของเหรินหยางอวิ๋น เขาเพียงชี้แนะในบางคราวเท่านั้น ส่วนผู้ที่สั่งสอนวิชายุทธ์จริงจังคือสองผู้อาวุโสผู้เชี่ยวชาญในสถาบันว่านซงเหมิน และบางครั้งศิษย์สายตรงของเหรินหยางอวิ๋นก็คอยช่วยสอนบ้างวิทยายุทธ์ของพวกเขาไม่นับว่าแย่ แต่ในชีวิตประจำวันต้องรับหน้าที่ทำงานอื่นๆ จึงไม่อาจทุ่มเททั้งใจจดจ่อฝึกว
สถาบันว่านซงเหมิน ณ เขาเหมยซานวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเหรินหยางอวิ๋น ทว่าอูโซเว่ยกลับกล่าวว่ายังไม่ใช่แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาต้องการความครื้นเครง จึงได้ส่งเทียบเชิญไปยังบรรดาสำนักบนเขาเหมยซาน รวมถึงพรรคในยุทธภพที่พอจะมีไมตรีกันอยู่บ้างล่วงหน้าหลายวัน จัดเลี้ยงเกินสามสิบโต๊ะอูโซเว่ยลงมือจัดเตรียมงานเลี้ยงวันประเกิดนี้ด้วยตนเองเรื่องราวภายในสถาบันว่านซงเหมิน ส่วนมากล้วนเป็นเขาที่ลงมือจัดการเอง เขา อูโซเว่ย ไม่ถือสาหากต้องลำบากสักหน่อย แต่ที่ทำให้เขาคิดว่ามีปัญหาก็คือ คราวนี้ศิษย์พี่กลับระบุในเทียบเชิญว่าห้ามนำของขวัญอวยพรวันเกิด มันลำบากเกินไปจริงๆสถาบันว่านซงเหมินมั่งคั่งก็จริง แต่ไม่อาจลดเกียรติตนเองเช่นนี้ แม้ไปดื่มสุรามงคลหรือสุราวันเกิดของผู้อื่นก็ใช่ว่าจะไปมือเปล่า ของขวัญกับน้ำใจย่อมขาดไม่ได้ศิษย์พี่ก็เป็นบุรุษที่เงินทองมากจนคันมือคันไม้ หากมิหาเหตุผลใดๆ เพื่อใช้จ่ายออกไปบ้าง ก็คงไม่อาจเป็นสุขกายใจทว่า ที่ทำให้อูโซเว่ยรู้สึกประหลาดใจก็คือ แต่ก่อนศิษย์พี่ไม่ค่อยชอบคบหาผู้คน ถึงมีเรื่องน่ายินดีก็เพียงเอ่ยวาจาทักทายสองสามคำก็จบแต่วันนี้ต่างออกไป เห็นเขาใช้โอกาสข