ซ่งซีซีถามคำถามเพิ่มเติมสองสามข้อ และในที่สุดก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเพื่อการแต่งงานของลูกชายคนที่สาม พ่อแม่ของเสี่ยวหมิงซีคิดจะใช้ช่วงที่สัตว์ป่าบนภูเขาเข้าสู่การจำศีลและยังไม่ออกมาจากที่ซ่อน จึงเข้าไปเก็บสมุนไพรในป่าลึกๆ โดยปกติแล้วสมุนไพรหลายชนิดจะพบได้ในภูเขาที่สูงชันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากขึ้นไปบนภูเขามาหลายวัน ทั้งคู่ก็รู้สึกหนาว หิว และเหนื่อยล้า จากนั้นก็กลิ้งตกลงมาด้วยกันถ้าไม่มีคนเก็บสมุนไพรบังเอิญเดินผ่านไป พวกเขาคงตายอยู่บนภูเขาไปแล้วแต่แม้ว่าจะช่วยชีวิตไว้ได้ คนหนึ่งล้มได้รับบาดเจ็บที่เอว ส่วนอีกคนหนึ่งขาหัก ในอนาคตจะไม่สามารถทำงานได้อีก ยังต้องมีคนคอยดูแล อีกอย่างอาการบาดเจ็บก็ยังไม่หาย การรักษาต่อเนื่องก็ต้องเสียเงินนอกจากนี้ การแต่งงานของพี่ชายคนที่สามก็ใกล้เข้ามาแล้ว เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่คอยบอกว่าเราต้องสามัคคีกัน กลับตกเป็นเหยื่อเสียเอง“พ่อแม่ของนางรู้ไหม?” ซ่งซีซีถาม“ไม่รู้ พ่อแม่ของนางไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังคากระเบื้อง ถูกพากลับไปรักษาตัวที่บ้านหลังเก่าที่ทรุดโทรม”“คนอื่นก็เห็นด้วยที่จะขายนาง?” ซ่งซีซีถามอีกครั้ง“ข้าไม่รู้ อย่างไรก็ตามพี่ชายของนา
ซ่งซีซีจับมือของนาง พูดคุยกับนางมากมาย แต่สิ่งเดียวที่นางไม่เคยพูดถึงก็คือคำพูดไม่ดีเกี่ยวกับครอบครัวของนางเสิ่นว่านจือกับเฉินเฉินฟังอยู่ข้างนอก หลังจากที่พวกนางพูดคุยกันเสร็จ ก็ให้เป่าจูพานางไปหาที่พัก เสิ่นว่านจือถามว่า “ทำไมถึงยังให้นางปกป้องคนในครอบครัวของนางอีก? ควรจะบอกให้นางรู้ว่า คนในครอบครัวของนางโหดร้ายกับนางแค่ไหน ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกผูกมัดไปตลอดชีวิต”ซ่งซีซีจิบน้ำ สายตาที่สงบนั้นมีความเศร้าแฝงอยู่ “ซีซี ไม่ใช่กรณีเดียว ครอบครัวของผู้คนมากมายเป็นแบบนี้ เมื่อเผชิญกับความยากลำบากก็คิดขายลูกสาวหรือน้องสาวได้ง่ายๆ ในความคิดของพวกเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่โหดร้าย พวกเขาคิดว่าการขายนางไปเป็นเจ้าสาวเด็กก็ดี ขายนางให้ไปเป็นสาวใช้ในครอบครัวร่ำรวยก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นเพียงทางรอดเท่านั้น”นางหยุดชั่วคราวและพูดต่อ “ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนจะใช้ลูกสาวแลกกับการแต่งงานหาภรรยาให้กับลูกชาย แต่อย่างน้อย พ่อแม่ของหมิงซีก็ไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาใช้วิธีการต่างๆ เพื่อหาเงิน แม่ของนางตั้งแผงขายของ พ่อของนางทำงานเป็นคนงานรายวัน แถมยังขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่เคยคิดที่จะขายหมิงซี ไม่อย่าง
นางใช้เวลาครึ่งชั่วยาม เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความกลัว จากนั้นก็ขี่ม้าเข้าไปในพระราชวัง นางต้องการเหตุผลในการออกจากเมืองหลวงจักรพรรดิซูชิงได้รับจดหมายสองฉบับจากเซี่ยหลูโม่ จดหมายฉบับแรกระบุว่าเขาค้นพบความผิดปกติในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นไปได้ว่าชาวบ้านเหล่านั้นเป็นทหารส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงส่งคำสั่งลับสั่งให้เขาเข้าไปในภูเขาเพื่อตรวจสอบจดหมายฉบับที่สอง คือพวกเขาเคยเข้าไปในภูเขาครั้งหนึ่ง พบว่ามีการคุ้มกันเข้มงวด น่าจะเป็นทหารส่วนตัวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยังไม่พบอาวุธและเสบียงอาหาร เขาจึงได้มีพระราชโองการลงไปอีก ให้เขาตรวจสอบต่อไป ต้องค้นหาอาวุธกับเสบียงให้พบและทำลายหลังจากนั้น ก็ไม่มีข่าวคราวจากเขาจริงๆ แล้วเขาค่อนข้างเป็นกังวล คนไม่กี่คนเข้าไปสำรวจตรวจสอบภูเขาหลายลูก และไม่ทราบจำนวนทหารส่วนตัว ไม่มียอดฝีมือติดตามไปด้วย เกรงว่าจะเกิดอันตรายแต่เขารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสอันดี หากสามารถค้นหาอาวุธทั้งหมดและทำลายพวกมันได้ ก็สามารถส่งกองกำลังใกล้เคียงไปปราบพวกโจรได้ทันที ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำอย่างเปิดเผย ก็สามารถลดการสูญเสียได้ตอนนี้ได้ยินซ่งซีซีบอกว่าไม่มีข่าวมาครึ่งเดือนแล้ว เขาก็กังวลม
ซ่งซีซีและคนอื่นๆ มาที่หลูโจวในฐานะพ่อค้า หลังจากสอบถามเรื่องหมู่บ้านต้าสือ พวกเขาจำเป็นต้องติดต่อศิษย์พี่เสิ่นกับกุ้นเอ๋อร์ก่อนนางวาดภาพดอกท้อในสถานที่ที่เห็นได้ชัดเจนในเมือง ทิ้งรหัสลับไว้ ซึ่งหากตามรหัสลับไปก็จะสามารถหาโรงเตี๊ยมที่พวกเขาพักอยู่ได้คืนนั้น ศิษย์พี่เสิ่นและกุ้นเอ๋อร์มาหาพวกเขา ทั้งสองคนหัวเต็มไปด้วยขี้เถ้าหน้าเต็มไปด้วยดิน เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ผมเผ้าแม้จะมีการจัดแต่งทรงมาก่อน แต่รองเท้าเต็มไปด้วยฝุ่นโคลน เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาเพิ่งออกจากภูเขาตลอดการเดินทางมานี้ซ่งซีซีกังวลมาตลอด ตอนนี้เมื่อนางได้พบกับศิษย์พี่เสิ่น นางก็รีบถามถึงสถานการณ์เสิ่นชิงเหอปลอบนางก่อน “ตอนที่ให้นกพิราบส่งสารส่งจดหมายเจ้า เราขาดการติดต่อ ไม่มีเบาะแสร่องรอยใดๆ จริง แต่เราได้ค้นพบบางอย่างเมื่อสองวันก่อน พบเครื่องหมายที่ศิษย์น้องชายทิ้งไว้ในป่าเก่าทางใต้ของหมู่บ้านต้าสือ ซึ่งยืนยันได้ว่าพวกเขาเคยหยุดที่สถานที่นั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน”หลังจากบอกข่าวเพื่อให้ซ่งซีซีผ่อนคลาย จากนั้นเขาก็บอกเหตุผลว่าทำไมทั้งสองจึงขาดการติดต่อพวกเขาได้รับคำสั่งลับจากฝ่าบาท ให้พวกเขาเข้าไปในภูเขาเพื่อค้นหาว่าเสบียง
ซ่งซีซีรู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องเข้าไปตามหาในภูเขา ศิษย์อาควรจะมาถึงภายในวันหรือสองวันนี้ ก่อนที่พวกเขาจะมา นางทำได้เพียงใช้วิธีที่งุ่มง่ามที่สุดในการค้นหาสภาพอากาศในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ยังคงหนาวจัด ภาคเหนือไม่มีลมแรง มีแต่ความชื้นและความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ความชื้นและความหนาวเย็นนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ทำให้นางวิตกกังวลจิตใจไม่สงบตกค่ำก็พลิกตัวกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ศิษย์พี่พบเครื่องหมายของเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้พวกเขาจะเผชิญกับอันตรายอื่นๆ บนภูเขาหรือไม่ พวกเขาจะถูกคนในหมู่บ้านต้าสือค้นพบและปิดล้อมไว้หรือไม่?แม้จะเกิดการสังหารขึ้นในภูเขาที่ลึกเข้าไป ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้แม้รู้ว่าการเข้าภูเขาในวันพรุ่งนี้จะต้องใช้พลังงานมาก ควรเข้านอนเร็ว แต่นางก็นอนไม่หลับ และตื่นก่อนรุ่งสางนางถือโอกาสตอนที่ร้านค้าทั้งหมดเปิดเร็วและตั้งแผงขายของ ซื้อเสบียงที่จะนำไปใช้ในป่าให้พร้อมก่อน แล้วค่อยกลับตอนที่ทุกคนตื่นกันหมดแล้วการเดินทางเข้าภูเขาในครั้งนี้ แบ่งออกเป็นสามกลุ่มกลุ่มภูเขาเหม่ยชานเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มเดียว กองทัพซวนเจียสามสิบคนที่
เสิ่นว่านจือเห็นว่าระหว่างทางมานี้นางผ่ายผอมลงไปมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงกอดนาด้วยความปวดใจ กดศีรษะของนางพิงไหล่ตัวเอง “ข้าจะให้เจ้ายืมไหล่ ร้องไห้แล้วก็จะตีขึ้น”อย่างไรก็ตาม จู่ๆ ซ่งซีซีก็เอื้อมมือออกไปผลักนางออก รีบลุกขึ้นยืนและกระโดดข้ามลำธาร จากนั้นวิ่งไปข้างหน้าสี่ห้าก้าว แล้วหยุดอยู่หน้าต้นไม้บนลำต้นของต้นไม้ มีดอกบ๊วยแกะสลักให้เห็นชัดนางลูบดอกบ๊วยที่เรียบร้อยบริบูรณ์ แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขมากนัก แม้ว่าจะสมบูรณ์ เมื่อพิจารณาจากสภาพของลำต้นและร่องรอยของดอกบ๊วย ดอกนี้ต้องเป็นดอกที่แกะสลักไว้ก่อนที่ศิษย์พี่เสิ่นและกุ้นเอ๋อร์จะเจอมีการค้นพบ แต่ก็เหมือนกับไม่พบอะไรเลยนางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “จือจือ พวกเจ้าลงเขาไปก่อนดีไหม ข้าจะไปเดินเล่นในภูเขาสักพัก ในเมื่อข้าทิ้งร่องรอยไว้ ข้างหน้าก็ต้องมีอีก”เสิ่นว่านจือดีดหน้าผากนางแล้วพูดว่า “คิดอะไรอยู่? เราก้าวไปข้างหน้าและถอยไปด้วยกัน ถ้าอยากไปก็ไปด้วยกัน ถ้าจะอยู่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน”“แต่อาหารแห้งมีไม่เพียงพอ” ซ่งซีซีกล่าว“งั้นก็จับปลา เก็บผลไม้ป่าดิน” เสิ่นว่านจือปลอบนาง “ข้าเดาว่าท่านอ๋องกับจางต้าจ้วงก็รอดมาได้แ
เขาคาดการณ์ว่าจะมีการขนส่งภายในสองวันข้างหน้า แม้ว่าพวกเขาจะมีเพียงสองคน แต่ตราบใดที่ตกกลางคืน พวกเขาสามารถหาวิธีติดตามพวกเขาออกไปได้ ถ้ามีคนมากก็จะยิ่งจัดการได้ยากถึงเวลานั้นเมื่อพบทางออก ค่อยจับตัวคนมาสอบปากคำเพิ่มอีกสักคนสองคนคน หากถูกทรมานหน่อย แม้ปากแข็งแค่ไหนก็สามารถสอบถามความได้“อดทนอีกหน่อย อย่างมากก็สามวัน ก็จะเสร็จงานแล้ว” เซี่ยหลูโม่กล่าว“ข้าอยากกินซาลาเปาชิ้นใหญ่ๆ” จางต้าจ้วงเรอ ทำตาปริบๆ อย่างทรมานใจ “หากไม่มีอาหาร คนก็จะตาย วันๆ กินแต่เนื้อย่างพวกนี้ เลี่ยนมาก”“หยิบหญ้าขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วยัดเข้าไปในปากแก้เลี่ยนสิ” เซี่ยหลูโม่ยื่นมือออกมา หยิบวัชพืชที่กินได้ แถมยังเป็นยอดอ่อนๆ ให้เขา “กินสิ กินเร็วๆ”“ขม ไม่กินหรอก” จางต้าจวงสั่นศีรษะ ปฏิเสธความมีน้ำใจของท่านอ๋องเขาไม่กิน แต่เซี่ยหลู่โม่กิน แม้แต่รากหญ้าก็สามารถกินได้ ใบอ่อนๆ เช่นนี้ก็ยังมีรสขมเล็กน้อย ช่วยแก้เลี่ยนได้ดีทีเดียว อร่อย“ท่านอ๋อง อาจารย์เสิ่นจะเขียนจดหมายถึงพระชายา บอกว่าพวกเราหายตัวไปหรือเปล่า?” จางต้าจ้วงถาม“คงไม่หรอก ข้าทิ้งร่องรอยไว้แล้ว ศิษย์พี่คงเข้าใจ” เซี่ยหลูโม่ใช้มีดสั้นขุดหลุม และฝัง
ดวงตาของซ่งซีซีเบิกกว้าง นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าศิษย์อาหล่อเหลา น่ามองมากขนาดนี้แผนที่แผ่นหนึ่งถูกวางไว้ แต่ละคนก็ชะโงกหน้าเข้ามาดู อุโมงค์บนแผนที่นั้นสลับซับซ้อนเหมือนใยแมงมุม แต่มีทางเข้าเพียงสี่ทางเท่านั้นมีสองแห่งทางทิศตะวันออก แห่งหนึ่งทางทิศตะวันตก และอีกหนึ่งแห่งทางทิศใต้ แต่ทางทิศเหนือที่เป็นทางเข้าหมู่บ้านต้าสือนั้น ไม่มีอุโมงค์ทางเข้ากล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่มีทางเข้าอุโมงค์อย่างไรก็ตาม จะพูดตรงๆ ว่าทางเข้ามีสี่ทางเท่านั้นก็ไม่ถูกต้อง แพราะมีทางเข้าหลายทางในภูเขา หากเข้าอุโมงค์จากภูเขาก็จะมีทางออกเพียงสี่ทางเท่านั้น ไม่ว่าจะเข้าตรงจุดไหนในภูเขาก็ตาม ในที่สุดก็จะออกทางทางออกทั้งสี่นี้ก่อนที่พวกเขาจะดูจบ อูโซเว่ยก็วางแผนที่แผ่นที่สองลง ชี้นิ้วลงบนแผนที่ นิ้วชี้อยู่บนสัญลักษณ์ที่เขาทำเครื่องหมายไว้ “หมู่บ้านเหล่านี้ล้วนมีทางเข้า มีทั้งหมด 13 หมู่บ้าน พวกเจ้าลองดู แล้วจำไว้ในใจเร็วๆ ต่อไปเราจะแยกตัวออกไปเฝ้าทางออกทั้งสี่แห่ง รอรับพวกเขา แล้วค่อยส่งคนไปสำรวจหมู่บ้านเหล่านั้น”ความเหนื่อยล้าในร่างกายของซ่งซีซีถูกพัดหายไปสิ้น นางยกนิ้วโป้งให้อูโซเว่ย ประกายในดวงตาเต็
ในตำหนักฉางชุน ฮองเฮายังไม่ได้ปลดปิ่นปักผมและเครื่องประดับออกจากร่าง ใบหน้ายังคงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ดวงตาฉายแววคาดหวัง วันนี้มีข่าวจากหน้าพระที่นั่งส่งมาบอกว่า ฝ่าบาทจะเสด็จมายังวังหลังในคืนนี้ นางรออยู่นานแต่ไม่ได้ยินว่าฝ่าบาทเลือกสนมคนใด ในใจก็พลันยินดี เพราะการไม่เลือกหมายถึงฝ่าบาทจะเสด็จมาที่ตำหนักกลาง "หลานเจี่ยน ไปดูหน่อยสิว่าฝ่าบาทมาแล้วหรือยัง?" นางเร่งเร้าอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สามของคืนนี้แล้ว หลานเจี่ยนกูกูที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างยิ้มพลางกล่าว "พระนางโปรดอย่ารีบร้อนเลยเพคะ หากฝ่าบาทจะเสด็จมา แน่นอนว่าต้องมีคนมาบอกล่วงหน้า เพื่อให้พระนางเตรียมตัวรับเสด็จ" "จริงด้วย จริงด้วย ฝ่าบาทไม่ได้มาที่ตำหนักฉางชุนนานจนข้าแทบจะลืมเสียแล้ว" ฮองเฮาใช้นิ้วลูบไปที่ปอยผมข้างใบหู พลางยิ้มอย่างอ่อนหวาน "ข้ากับฝ่าบาทถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยา สามีภรรยาที่ไหนจะมีความแค้นข้ามคืนกันได้? ตอนนี้องค์ชายใหญ่ก็มีความก้าวหน้า ฝ่าบาทย่อมใจอ่อนลงบ้างแล้ว" "เมื่อฝ่าบาทเสด็จมา พระนางค่อยๆ พูดเถิด อย่ารีบร้อนที่จะพูดเรื่องให้องค์ชายใหญ่กลับมา" หลานเจี่ยนกูกูเตือนด้วยความนอบน้อม ฮองเฮาพยักหน้า
ในห้องทรงพระอักษรในพระราชวัง ยังไม่มีการจุดเตาใต้พื้น ความเย็นแทรกซึมเข้ามาทีละน้อยฎีกาถูกพิจารณาเสร็จสิ้นนานแล้ว แต่จักรพรรดิ์ซูชิงกลับยังไม่เลือกสนม เพียงนั่งนิ่งมองแสงตะเกียงที่ริบหรี่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอยเขาได้อ่านจดหมายจากเซี่ยหลูโม่ที่เขียนถึงซ่งซีซี ในนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงที่เอ่อล้น และความรู้สึกในใจที่ถ่ายทอดไม่หมด ราวกับพวกเขาเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ช่างหวานชื่นจนยากจะพรากจากกันนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้อ่านจดหมายของพวกเขา แม้ก่อนหน้านี้จะมีเนื้อความที่กล่าวถึงความคิดถึงอยู่บ้าง แต่กลับไม่ถึงขั้น "เปิดเผยและห้าวหาญ" เช่นครั้งนี้คำเหล่านี้ แค่พูดออกมาก็รู้สึกน่าอายอยู่แล้ว หากเขียนลงในจดหมายไม่ยิ่งน่าอายกว่าหรือ?เขาคิดว่าพระอนุชาเช่นนี้ช่างไม่เหมาะสม ฉาบฉวยเกินไปวิธีเอาใจสตรีนั้นมีมากมาย ไยต้องทำถึงเพียงนี้?เขาคิดเช่นนั้น แต่ในใจกลับเหมือนมีกรวดเล็กๆ ก้อนหนึ่งตกลงไป ทำให้ผิวน้ำในจิตใจเป็นระลอกคลื่นวนไปมาอย่างไม่อาจสงบได้เขาไม่รู้เลยว่า การเป็นฮ่องเต้เช่นนี้ เขาสูญเสียไปมากเพียงใด...เรื่องความรักระหว่างชายหญิงนั้น จักรพรรดิไม่เคยกล้าคิดถึง แม้จะเคยมีช่วงเวลาที่หวั่
เส้าปู้เข้ามาในเมืองพร้อมกับคนเพียงสิบกว่าคน แต่ละคนล้วนกำยำล่ำสัน มีมีดโค้งคาดอยู่ที่เอว ดูท่าทางน่าเกรงขามราวกับเทพเจ้าสงคราม แต่เมื่อได้นั่งดื่มสุรากินเนื้อ ใบหน้าสีเข้มของพวกเขากลับเปื้อนรอยยิ้มสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ หลางจู่เส้าปู่อายุห้าสิบกว่าปี ผิวสีเข้มเป็นประกายเหมือนพวกเขา ดวงตาเต็มไปด้วยพลังและความคมกล้า เขาเป็นคนฉลาดเป็นพิเศษและมีจิตใจรอบคอบ หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาระแวงอยู่เสมอและไม่กล้ามอบความไว้วางใจให้เป่ยหมิงอ๋องอย่างเต็มที่ เขามีเพียงข้อเรียกร้องเดียว คือการร่วมมือกันครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หลังจากขับไล่คนของแคว้นซาได้สำเร็จ พวกเขาต้องถอนกำลังออกจากทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว และห้ามเข้าสู่เขตหลักของทุ่งหญ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เซี่ยหลูโม่ตอบรับข้อเรียกร้องและลงนามในข้อตกลงทันที หลังจากลงนามในข้อตกลง พวกเขาก็ไม่รั้งรอและจากไปทันที ชนเผ่าทุ่งหญ้าไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อแคว้นซางนัก เพราะสงครามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปีล้วนส่งผลกระทบถึงพวกเขาไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าทุ่งหญ้ามีหลายเผ่าและไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงไม่สามารถต่อต้านทั้งแคว้นซางหรือแคว
หลังจากกลับมาที่จวนอ๋องจากงานเลี้ยงที่ครึกครื้น ซ่งซีซีรู้สึกว่าลานเหมยฮวานั้นเงียบเหงาเป็นพิเศษ นางคิดถึงศิษย์น้อง แต่เขาอยู่ไกลถึงหนานเจียง แม้จะไม่ได้คำนวณวันเวลาที่แยกจากกัน แต่นางรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน เมื่อนางคิดจะออกไปยังตึกว่างจิงเพื่อหาอาจารย์เหมือนเดิม นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ได้กลับไปที่ภูเขาเหม่ยชานแล้ว หัวใจของนางรู้สึกเหงาหงอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคิดถึงหยานหรูอวี้ในค่ำคืนนี้ ถึงได้เข้าใจว่าหญิงสาวในยามแต่งงานนั้นเต็มไปด้วยความสุข ความคาดหวัง และความเขินอายจนความสุขล้นเอ่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับตัวนาง การแต่งงานทั้งสองครั้งกลับเงียบสงบเกินไป หลังจากที่เป่าจูช่วยนางล้างเครื่องสำอางและเตรียมน้ำสำหรับอาบ ซ่งซีซีก็ส่ายหน้าและดึงนางให้นั่งลงข้างกัน "เป่าจู ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าว่า เรื่องแต่งงานของเจ้าควรจะเริ่มพูดคุยกันแล้ว เจ้าพอจะมีคนที่ชอบหรือยัง?" เป่าจูมองนางแวบหนึ่งและกล่าว "คุณหนูไปกินเลี้ยงแต่งงานแล้วติดใจหรือเจ้าคะ ถึงได้รีบเร่งให้มีอีกงาน?" ซ่งซีซีหัวเราะ "ข้าเป็นคนตะกละขนาดนั้นหรือ? ข้าทำเพื่อเจ้านะ ถ้ายังอยู่แบบนี
งานแต่งงานของเจ้าสิบเอ็ดฝางกับหยานหรูอวี้ที่ถูกเลื่อนมาหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เลือกวันมงคลจัดขึ้น งานแต่งไม่ได้จัดอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อเป็นหลานสาวของไท่ฟู่ สิ่งที่สมควรมีเพื่อความสง่างามก็จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วน ไทเฮาทรงเป็นผู้นำในการมอบของขวัญ ตามด้วยบรรดามเหสีที่ต่างมอบรางวัลและเพิ่มสินเดิมให้หยานหรูอวี้ นักเรียนจากโรงเรียนสตรีหย่าจวินต่างพากันทำของขวัญแสดงความยินดีด้วยมือของพวกนางเองให้กับหยานหรูอวี้ นักเรียนหญิงในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของครอบครัวชาวบ้านธรรมดา แม้ของขวัญจะไม่ล้ำค่า แต่สิ่งที่พวกนางปักเย็บหรือทำด้วยมือเอง ล้วนแสดงถึงน้ำใจอันบริสุทธิ์ที่สุด ชุดเจ้าสาวของหยานหรูอวี้ถูกสั่งทำล่วงหน้าโดยโม่เหนียงจื่อจากโรงงานฝีมือ ชุดนี้เคยถูกนำไปจัดแสดงในร้านผ้าปักของโรงงานมาก่อน ทำให้หญิงสาวที่กำลังรอแต่งงานหลายคนหลงใหลและใฝ่ฝันอยากสวมชุดสวยเช่นนี้ในวันแต่งงานของพวกนาง โม่เหนียงจื่อที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อหลานสาวของไท่ฟู่ยังสวมชุดเจ้าสาวที่นางทำ จะมีใครอีกที่คิดว่าอดีตของนางเป็นเรื่องโชคร้าย? ในเวลาไม่นาน ร้านผ้าปักของโรงงานก็คึกคักจนประตูแทบทรุดจากการเ
จักรพรรดิ์ซูชิงได้เรียกตัวหัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าเฝ้าในวังหลวง หัวหน้าตระกูลเสิ่นเตรียมตัวมาอย่างดี แม้ในครั้งนี้เขาจะนำคนในคุ้มภัยและทหารองครักษ์เข้าปราบปรามกบฏ แต่เพราะตระกูลเสิ่นสาขาย่อยมีความเกี่ยวข้องกับหนิงจวิ้นอ๋อง แม้ว่าฮ่องเต้จะกล่าวว่าให้ชดเชยความผิดด้วยความชอบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลบล้างไปได้ง่ายๆ จักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน และยังชมเขาด้วยว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์และรักชาติ เป็นดั่งลักษณะของบิดาในอดีต หัวหน้าตระกูลคนก่อนมีความเอื้อเฟื้อต่อราชสำนักมาก และในช่วงสงครามก็ได้บริจาคเงินจำนวนไม่น้อย หัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าใจสถานการณ์ จึงกล่าวทันทีว่า หนานเจียงและชายแดนเฉิงหลิงยังคงมีสงครามอยู่ ตระกูลเสิ่นยินดีที่จะบริจาคเงินจำนวนสองแสนตำลึงเพื่อช่วยจัดหาเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวและปรับปรุงอาหารสำหรับทหาร จักรพรรดิ์ซูชิงแสดงความพอใจอย่างมาก พลางยิ้มและกล่าวว่า "ดี ด้วยเงินบริจาคสามแสนตำลึงจากหัวหน้าตระกูลเสิ่น ข้าเชื่อว่าทหารชายแดนของเราจะสามารถป้องกันศัตรูจากภายนอกได้ และเร่งรัดให้สงครามยุติลงโดยเร็ว" หัวหน้าตระกูลเสิ่นรีบตอบรับอย่างราบรื่น "ฮ่องเต้
เหรินหยางอวิ๋นอยู่ที่เมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าอาวุธเทพเจ้า ไม่มีเวลาว่าง บัดนี้เมื่อมีเวลาว่าง เขาจึงอ้างว่าธุรกิจในเมืองหลวงยังไม่เรียบร้อย อยากอยู่ต่ออีกสักระยะ ที่จริงแล้ว สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือซ่งซีซี เมื่อครั้งที่เขาวิจัยอาวุธเทพเจ้า เขายังส่งคนไปยังเป่ยถังเพื่อขอคำชี้แนะและเก็บสูตรลับ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะหนานเจียง เพราะซ่งหวยอัน และสุดท้ายก็เพราะเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซี ในฐานะอาจารย์ เขารู้ว่าลูกศิษย์แต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเองที่ต้องเดิน เขาไม่อาจขัดขวางพวกเขาได้ ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถและเป็นเบื้องหลังที่คอยสนับสนุน เหรินหยางอวิ๋นมักพูดเสมอว่าเขาไม่เก่งในการเป็นอาจารย์ แต่ศิษย์ทุกคนของเขาล้วนยอดเยี่ยม ทั้งความสามารถและคุณธรรม ไม่มีใครที่เขาต้องเป็นห่วง ยกเว้นลูกศิษย์คนเล็กอย่างซ่งซีซี นางชอบเล่นซนและสนุกสนาน แต่กลับสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์จนถึงขั้นล้ำเลิศ เป็นเครื่องยืนยันถึงพรสวรรค์อันสูงส่งของนาง ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสและไร้กังวลบนใบหน้าของนาง เหรินหยางอวิ๋นก็รู้สึกมีความสุขในใจ แต่หลังจากนั้น นางถูก
ระหว่างถูกพาเดินประจานรอบเมือง หนิงจวิ้นอ๋องถึงกับเสียสติอย่างสิ้นเชิง เขาสบถด่าชาวบ้านว่าโง่เขลา ถูกทางราชสำนักหลอกลวง เข้าใจผิดว่าฮ่องเต้ผู้โง่เขลาเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม และย้ำว่าตัวเขา เซี่ยทิงเหยียน จะเป็นจักรพรรดิ์ที่แท้จริง เสียงแหบแห้งของเขาถูกกลบด้วยเสียงสาปแช่งของชาวบ้าน ทุกคนตะโกนให้เขาตาย และกล่าวว่าการประหารครึ่งตัวนั้นยังน้อยไป เขาควรถูกประหารด้วยวิธีเชือดเนื้อเป็นพันครั้งและทรมานจนตาย ถึงจะสมกับความเลวของเขา อ๋องเยี่ยนเงียบตลอดทาง แต่ในใจเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความเกลียดชังต่อเซี่ยทิงเหยียน เขาเชื่อว่าหากเซี่ยทิงเหยียนไม่หักหลังและยุยงคนของเขา เขาก็คงประสบความสำเร็จไปแล้ว เซี่ยทิงเหยียนเปรียบเสมือนงูพิษ แฝงตัวอยู่ในความมืด และเมื่อเขาไม่ทันระวัง เซี่ยทิงเหยียนก็โผล่ออกมากัดเขา และกัดนั้นถึงตาย เพราะเซี่ยทิงเหยียน เขาไม่เพียงแต่เป็นกบฏ ยังเป็นกบฏที่โง่เขลา สิ่งที่เขาบากบั่นสร้างมาด้วยความยากลำบากกลับถูกส่งมอบให้คนอื่น และคนของเขาที่ถูกยุยงยังจับเขามัดส่งให้กองทัพหลวง ในอนาคต เมื่อถูกบันทึกในพงศาวดาร ชื่อเสียงของเขาจะไม่เพียงแต่ถูกสาปแช่ง แต่ยังกลายเป็นที่
ผู้คนมาพร้อมกันแล้ว การสะสางครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้นในที่สุด หลังจากการสืบสวนร่วมกันระหว่างหอต้าหลี่และกรมอาญาแห่งเมืองหลวง การกบฏนำโดยอ๋องเยี่ยนและหนิงจวิ้นอ๋องถูกยืนยันว่าเป็นความจริง ความผิดได้รับการยืนยันแน่นอนแล้ว การรอคอยที่ผ่านมาเพื่อจัดเรียงข้อกล่าวหาทั้งหมดของพวกเขา เพื่อประกาศให้โลกรู้ ทั้งครอบครัวของอ๋องเยี่ยน ถูกส่งตัวเข้าคุกหลวง ยกเว้นเซี่ยหรูหลิงที่ให้เบาะแสสำคัญ ชื่อของเซี่ยหรูหลิงถูกลบออกจากทะเบียนราชวงศ์ แม้ว่าเขาจะยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าคุกในหอต้าหลี่ แต่ในสิบปีนี้คงไม่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง เฉินยีให้เขาหยุดพักงานชั่วคราว และให้กลับมาหลังจากเรื่องนี้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เฉินยีมีความหวังดี จึงกำชับเขาว่าหากยังต้องการทำงานนี้ต่อ ก็อย่าเข้าใกล้คุกหลวง และให้อยู่บ้านพักฟื้นและทบทวนตัวเอง เฉินยีคิดว่าเขาค่อนข้างซื่อ แต่ข้อดีคือเชื่อฟังและเริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้นเฉินยีจึงยังยินดีดูแลเขา เฉินยีเคยพูดถึงเซี่ยหรูหลิงกับซ่งซีซี ซึ่งซ่งซีซีกล่าวว่าเขาเติบโตมาด้วยนิสัยขี้ขลาด ไม่กล้าต่อต้านเมื่อเผชิญป