ด้านนอกประตูไม้ มีเสียงร้องครวญครางดังขึ้นไม่หยุด ซึ่งทำให้ยี่ฝางตกใจจนแทบจะเป็นลมนางรู้ว่าพวกเขาได้รับการลงโทษแบบไหนกัน เพราะนางเคยใช้วิธีลงโทษนี้กับหัวหน้าทหาร... ไม่สิ องค์ชายของเมืองซีจิงการถูกตอน ตัดมันทั้งเป็น และดูมันกลิ้งไปบนพื้นเหมือนกับแมลงที่กำลังบิดตัวหากเขายอมส่งเสียงร้องครวญครางแค่เสียงเดียวก็ได้ คงไม่ถูกทรมานเขาต่อไป แต่เขายังกัดฟัน และปฏิเสธที่จะร้อง ดังนั้นทหารทั้งหมดจึงไปปัสสาวะตามบาดแผลและร่างกายของเขา จากนั้นก็ฟันร่างกายของเขาทีละครั้ง มองดูเลือดผสมกับปัสสาวะเมื่อก่อนตอนที่นางคิดถึงฉากนี้ ยี่ฝางก็รู้สึกสะใจแต่ตอนนี้พอนึกถึงฉากนั้น นางรู้แต่หวาดกลัวไปหมดซูลันจีหยิบกริชออกมา นางกรีดร้อ "อย่า อย่าเข้ามา"ซูลันจีโน้วตัวไปตัดเชือกที่อยู่รอบตัวของนาง เมื่อเห็นนางขดตัวกลมด้วยความกลัว ในใจโกรธถึงที่สุดแล้วรัชทายาทกลับถูกสัตว์ร้ายที่ขี้ขลาดอย่างนางทรมานเชือกถูกตัดออก และมือใหญ่ของเขาก็คว้าผมของนางไว้ ก่อนที่ลากนางออกไปความหนาวเย็นและความเจ็บปวดบนหนังศีรษะล้วนเข้ามาปกคลุมนาง นางน้ำตาคลอเบ้า เมื่อถูกลากออกไปนั้น ซูลันจีจับผมนางโดยทิ้งนางออกไปอย่างแรงมันเป็
และเมื่อนางคิดว่าพวกเขาจะทรมานนางต่อไป นางก็ถูกลากกลับไปที่บ้านไม้ และทุกคนก็ถูกลากกลับไปที่บ้านไม้กองไฟถูกจุดขึ้นในบ้านไม้ เนื่องจากมีลมพัดมาจากทุกทิศทุกทาง ความอบอุ่นเพียงเล็กน้อยที่พวกเขาได้รับมาได้แต่จากไฟถ่านนี้เท่านั้น ดังนั้นทุกคนต่างคลานไปทางไฟถ่านโดยหวังว่าจะขจัดความหนาวเย็นและความเจ็บปวดบนตัวออกกางเกงของยี่ฝางถูกถอดออกหมดแล้ว แต่ความเจ็บปวดที่ต้นขาของนางทำให้นางไม่สามารถขยับขาได้ เนื่องจากในห้องอบอุ่นขึ้นมาหน่อยแล้ว เลือดจึงยังคงไหลอย่างช้าๆ และมีกองเลือดอยู่ใต้ร่างกายของนางแต่ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเจ็บมาก เลยไม่มีใครมองมาที่นาง มีเพียงเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดเท่านั้นที่ยังคงดังอยู่มีคนเข้ามา ป้อนยาให้นางชามหนึ่ง ยาที่ผสมกับกลิ่นปัสสาวะทำให้นางเกือบจะอาเจียนออกมาอีกครั้งนางไม่ได้อาเจียนเพราะกลัวว่าจะถูกฉี่อีก นางรู้สึกว่าเมื่อตกอยู่ในกำมือของซูลันจีแล้ว นางไม่มีทางรอดชีวิตได้ หากให้ยาพิษแก่นาง ก็เท่ากับให้นางตาย นางก็จะตายอย่างสบายๆ ก็ไดีหลังจากดื่มยาแล้ว องค์ชายสามคนนั้นก็เข้ามาใช้กำลังต่อยนาง ที่ใบหน้าและร่างกายมีบาดแผลไปทั่ว แต่เขาไม่ได้ใช้มีดมาฟันนาง นอกจากใบ
พวกซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือกำลังนั่งข้างๆ กองไฟเพื่อให้เพิ่มความอุ่นให้ร่างกาย และเม้มริมฝีปากที่แห้งแตก "มีหลักฐานใดที่ว่า นางอยู่ในกองทหารที่ล่าถอยของแคว้นซาหรือ""เปล่า แต่เมื่อสงครามเริ่มขึ้นนั้น นางก็ไล่ตามกลุ่มทหารของเมืองซีจิงไป จากนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย"เสิ่นว่านจือพูดอย่างเย็นชา "ถ้าอย่างนั้นก็ลองค้นหากองศพทั่วเมืองดูสิว่ามีนางหรือเปล่า""นางจะไม่ตาย" แววตาของจ้านเป่ยว่างฉายแววความโกรธ "เจ้าอย่าไปสาปแช่งนาง ต่างก็เป็นสมาชิกของกองทัพเป่ยหมิง เจ้าจะสาปแช่งสหายร่มกองของเจ้าได้อย่างไร"เสิ่นว่านจือพลิกฝ่ามือของนางแล้วพูดออกมาว่า "สงครมจบลงแล้ว ข้าไม่เป็นทหารอีกเลย อย่าพูดว่าข้ากับนางเป็นสหายร่มกองกัน นางไม่มีค่าพอ"จ้านเป่ยว่างโกรธมากจนไม่อยากพูดกับนาง เขามองไปที่ซ่งซีซี ก่อนพูดอย่างจริงจัง "เป็นข้าที่ทำผิดต่อเจ้า มันไม่เกี่ยวอะไรกับยี่ฝาง ถ้าทหารคนอื่นถูกจับ เจ้าจะไปช่วยชีวิตคนคนนั้นหรือไม่?"ซ่งซีซีถามกลับว่า "ถ้าเป็นทหารคนอื่นถูกจับ เจ้าจะปล่อยให้ทหารตั้งสองหมื่นคนเสี่ยงชีวิตเพื่อไล่ล่ากองทัพที่กำลังล่าถอยของศัตรูหรือไม่"จ้านเป่ยว่างพูดไม่ออกในทันที "นี่..."ซ่งซีซีกล
เมื่อจ้านเป่ยว่างได้ยินเช่นนี้ เขาก็โกรธจัด เขาคว้ามือของนาง แล้วเดินออกไปข้างๆ "ซ่งซีซี เจ้ารู้ว่านางถูกจับแต่ไม่ยอมไปช่วยเหลือนาง เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้ารู้ใช่ไหมว่านางอยู่ที่ไหน"เสิ่นว่านจือเฆี่ยนแส้ออไปเพื่อบังคับให้จ้านเป่ยว่างปล่อยมือของซ่งซีซี จากนั้นเขาก็ถอยออกไปก้าวหนึ่งเสิ่นว่านจือเดินเจ้าไปหาพร้อมกับน้ำเสียงเย็นชา "หากมีอะไรจะพูด ก็ให้รักษาระยะห่างเอาไว้ด้วย อย่าใกล้ชิดซีซีของเรามากเกินไป"จ้านเป่ยว่างเกลียดชังเสิ่นว่านจือสุดๆ เลย แต่เนื่องจากทักษะการต่อสู้ที่เก่งของนาง และนางไม่ใช่ลูกน้องภายใต้บังตับบัญชาของเขา เลยจัดการได้ยาก เขาจึงต้องอดทนไว้ แล้วถามซ่งซีซีต่อไป "เจ้ารู้ว่านางอยู่ที่ไหนใช่ไหม?"ซ่งซีซีส่ายหัว "ข้าไม่รู้ นางอาจจะอยู่ในทะเลทราย บนทุ่งหญ้า หรือไม่ก็ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา แต่ไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหน เราจะปล่อยให้กองทัพซวนเจียทั้งหมดไปตามหานางคนเดียวไม่ได้ มันเสี่ยงเกินไป""แล้วเราจะรออะไรที่นี่ รอให้พวกเขาส่งคนกลับมาหรือ?" จ้านเป่ยว่างโกรธมากจนยืนตัวไม่นิ่งอีกเลยดวงตาของซ่งซีซียังคงสงบ "ใช่ รอให้พวกเขาส่งคนกลับมา"จ้านเป่ยว่างมองนางด้วยความประหลาดใจ "เ
ซ่งซีซีมองดูไฟค่อยๆ ตัดลง จากนั้นจึงเติมฟืนลงไปสองสามฟืน นางมองดูไฟกลืนกินฟืนแห้งอย่างรวดเร็ว ไฟได้รุนแรงขึ้น ภาพที่สะท้อนในดวงตาของนางคือ ภาพที่นางกลับมาบ้านท่านพ่อแม่ของนางจากจวนแม่ทัพ และมองเห็นศพเต็มบ้าน มีเลือดเต็มพื้นความเจ็บปวดอันหนักหน่วงจากใจปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำให้นางหายใจลำบากด้วยนางจะไม่อยากให้ยี่ฝางตายได้ยังไง? แต่การปล่อยให้นางตาย อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในแก้แค้นนางคิดเช่นนั้น ซูลันจีก็คงคิดเช่นนั้นเช่นกันดังนั้น นางคิดว่าซูลันจีจะไม่ฆ่ายี่ฝาง ที่ผู้บังคับบัญชาให้นางนำกองทัพมารออยู่ที่นี่ อาจเพราะซูลันจีได้ส่งคนไปส่งข่าวให้ผู้บังคับบัญชาแล้วผู้บังคับบัญชาเคยบอกว่า ที่เมืองอีลี่มีสายลับของตัวเอง ดังนั้นก็คงมีสายลับที่ซีม่อนเช่นกันปล่อยให้พวกเขารออยู่ที่นี่เป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และยังเป็นความต้องการของซูลันจีด้วยพอตกดึก ทุกคนต่างก็ทั้งเหนื่อย ง่วงนอน และหิวโหด มันไม่ได้หนาวเพราะมีเชื้อฟืนมากพอที่จะให้กองไฟมีไฟอยู่คนจากทางด้านหลังส่งอาหารมาให้ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ข้าวผัด แต่ก็สามารถให้ทหารอิ่มท้องได้ในสนามรบ ไม่สนว่ามันคืออาหารอะไร กินได้หมดแหละแม่ทัพ
จ้านเป่ยว่างมองนางอย่างอึ้งๆ เขาไม่ทันพูดอะไรอีก ก็ถูกนางพูดตัดหน้าไปก่อนใช่สิ นางเป็นรองผู้บัญชาการของกองทัพซวนเจีย และเป็นแม่ทัพชั้นห้าในราชสำนัก คำพูดที่นางพูดอย่างเบาๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยพลังงานคนที่เขานำมาไม่เยอะเท่าไร เลยหวังว่ากองทัพซวนเจียจะไปกับเขาด้วยผู้คนของเขาเหนื่อยล้ามากแล้ว แต่กองทัพซวนเจียก็พักอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน เขาคิดว่าหากพวกเขาเผชิญหน้ากับกองทัพเมืองซีจิงหรือชนเผ่าเร่ร่อน กองทัพซวนเจียก็สามารถต่อสู้ได้เขากระซิบว่า "ข้าต้องการนำกองทัพซวนเจียไปด้วย ถือว่าข้าขอร้องเจ้า ซีซี เมื่อก่อนเป็นข้าที่ทำผิดกับเจ้า เจ้าสามารถลงโทษข้าได้ตามที่เจ้าต้องการ แต่เรารอมาเกือบสองวันแล้ว ยี่ฝางรอไม่ได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดนาง เมื่อตามหานางเจอ เราสองคนยอมมาขาโทษต่อหน้าเจ้า"ใบหน้าที่ซูบผอมของซ่งซีซีเผยสีหน้าเย็นชา "มันไม่เกี่ยวอะไรกับความแค้นส่วนตัว กองทัพซวนเจียไม่สามารถไปต่อได้อีกแล้ว"จ้านเป่ยว่างกำมัดแน่นแล้วพูดว่า "ซ่งซีซี ข้าก้มหน้ามาขอร้องเจ้าแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก"เสิ่นว่านจือเยาะเย้ย "เจ้าก้มหน้าให้แล้วแล้วไงเล่า ท่าทางที่เจ้าขอร้องคนอื่นนี่ดูจริงใจจริงๆ สินะ
สีหน้าของจ้านเป่ยว่างเปลี่ยนไปทันที "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาอยู่บนภูเขา? พวกเขาต้องการคำอธิบายอะไรกัน"ซ่งซีซีเดินออกไปสองสามก้าว จ้านเป่ยว่างเดินตามนางไปอย่างง่อยๆ เมื่อซ่งซีซียืนนิ่ง เขาก็มองดูนางอย่างเงียบๆลมพัดเสียงดัง และเสียงของซ่งซีซีก็เบามาก "ถ้าเจ้าสงบสติอารมณ์แล้วค่อยตั้งใจฟังดู เจ้าจะได้ยินเสียงอื่นที่ไม่ใช่เสียงลม"จ้านเป่ยว่างสงบลงเพื่อตั้งใจฟัง แต่เขาไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงลมทักษะการต่อสู้ของเขาสู้ซ่งซีซีไม่ได้ และความแข็งแกร่งภายในกำลังยิ่งต้อยกว่า จะได้ยินการเคลื่อนไหวบนภูเขาได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าลมพัดแรงเช่นนี้ ต้องฟังเสียงหายใจของคนเกือบแสนคนด้วยเขารู้สึกว่าซ่งซีซีกำลังเล่นฝีมืออะไรอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะโกรธ "บอกข้าสิ พวกเขาต้องการคำอธิบายอะไร""ใช้สมองของเจ้าไปคิดดูสิ ทำไมผู้คนตั้งหนึ่งแสนคนอยู่บนภูเขาไม่ยอมล่าถอย ทำไมพวกเขาถึงต้องจับยี่ฝาง แล้วทำไมพวกเขาถึงไปสนามรบเขตหนานเจียงหลังจากทำสัญญาสันติภาพแล้วล่ะ"หลังจากซ่งซีซีพูดจบ นางก็เดินกลับโดยปล่อยให้จ้านเป่ยว่างยืนอยู่ที่นั่นตามลำพังด้วยใบหน้าซีดเซียวพระอาทิตย์อัสดงสะท้อนใบหน้าที่มืดมนและห
เมื่อฟ้ามืด กองทัพก็ลงมาจากภูเขาทันทีที่กองทัพเริ่มเคลื่อนไหว พวกซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือก็รู้เรื่องแล้ว จากนั้นมองหน้ากันซ่งซีซียืนขึ้นและออกคำสั่งว่า "กองทัพทั้งหมดเตรียมตัวให้พร้อม และต้องเก็บอาวุธไว้ในมือ"กองทัพซวนเจียทั้งหมดยืนขึ้น ถือโล่และอาวุธไว้ในมือ จากนั้นตั้งแถวอย่างรวดเร็วทหารของเมืองซีจิงเดินทัพอย่างรวดเร็ว กลุ่มทหารลงมาจากภูเขาและแบ่งออกเป็นสามแถว เดินเคียงข้างกันคนข้างหน้าถือคบเพลิง ห่างทุกๆ สิบคนก็มีคนถือคบเพลิงเพื่อส่องสว่างถนนบนภูเขามีน้ำแข็ง ตามหลักแล้ว หากเดินเร็วจะลื่นล้มได้ง่าย พอมีคนลื่นต้องทำให้ทั้งกลุ่มต้องลื่นไปด้วยแต่พวกเขากลับเดินอย่างมั่นคง เห็นได้ชัดว่ารองเท้าของพวกเขาทำมาเป็นพิเศษประเทศเมืองซีจิงร่ำรวยและทรงเจริญ ความแข็งแกร่งทางการเงินก็เผยให้เห็นอย่างดีในขณะนี้พวกเขาใช้การกระทำเพื่อให้ชาวซางเห็นว่าหากมีสงครามขนาดใหญ่กับเมืองซีจิง ชาวซางจะไม่ได้เป้นฝ่ายได้เปรียบแน่ในไม่ช้า ทหารของเมืองซีจิงตั้งหนึ่งแสนนายก็ยืนอยู่บนทุ่งหญ้าและเผชิญหน้ากับกองทัพซวนเจียแต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยืนนิ่งๆจ้านเป่ยว่างรีบวิ่งเข้าไปตะโกนว่า "พวกเจ้าพายี่ฝางไปที
เซี่ยหลูโม่ในฐานะที่ปรึกษา ได้เข้าวังสอนวิชาอาวุธให้แก่สามองค์ชายก่อนถึงงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ ที่จริงแล้ว องค์ชายใหญ่ควรฝึกมาตั้งนานแล้ว ทว่าเดิมทีเขาได้รับการเลี้ยงดูจากฮองเฮา ถูกตามใจดั่งดวงตาดวงใจ งานหนักใดๆ ล้วนไม่เคยต้องแตะต้อง เมื่อถูกส่งไปอยู่กับไทเฮา แม้พระนางจะทรงจัดการศึกษาให้ครบถ้วนทั้งบุ๋นและบู๊ แต่เขากลับโง่เง่าและเกียจคร้านเป็นทุนเดิม งานเล่าเรียนในแต่ละวันก็หนักหนาพออยู่แล้ว วิชาหนึ่งยังฝึกไม่ทันเสริม อีกวิชาหนึ่งก็ต้องตามไม่ทันเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีพรสวรรค์แต่อย่างใด ซ้ำยังมิได้ขยันหมั่นเพียร จึงมักหาทางหลบเลี่ยงอยู่เสมอ ความก้าวหน้าที่น่าพอใจที่สุดในตอนนี้ คงเป็นเพียงการที่เขายอมไปเรียนหนังสือโดยไม่ร้องไห้อีก ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการฝึกครั้งนี้กลับเป็นรุ่ยเอ๋อร์ รุ่ยเอ๋อร์ได้ฝึกพื้นฐานไปบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ออกแรงมากเกินไป หมอมหัศจรรย์ดันกล่าวว่าเขาต้องค่อยๆ ฝึก ไม่อาจรีบร้อน หากได้รับบาดเจ็บที่ขาอีกครั้ง จะไม่คุ้มค่าความเสียหาย ดังนั้น เมื่อเซี่ยหลูโม่สอนวิชาธนูให้พวกเขา รุ่ยเอ๋อร์จึงมีพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว ฝึกไปไม่กี่วันก็เริ่มเห็นผล ส่วนองค์ชายใหญ
จักรพรรดิ์ซูชิงเสด็จขึ้นว่าราชการอีกครั้ง พระพักตร์ดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก ขุนนางอาวุโสบางคนถึงกับหลั่งน้ำตาต่อหน้าพระที่นั่ง โดยเฉพาะหุ่ยอวี่สือ ซึ่งเกือบก่อเรื่องใหญ่โตไปแล้ว บัดนี้เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ทรงมีอาการดีขึ้น อีกทั้งหมอมหัศจรรย์ดันก็ถูกเชิญเข้าวังเพื่อถวายการรักษา จึงพอมีความหวัง อย่างไรก็ตาม เป็นไปตามที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงคาดไว้ เสียงเรียกร้องให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทในราชสำนักดังขึ้นเป็นอย่างมาก กระนั้น จักรพรรดิ์ซูชิงก็มิได้ทรงรับคำในทันที เพียงตรัสว่าองค์ชายทั้งสามยังเยาว์วัยนัก ให้รออีกสักระยะเถิด ในกลุ่มขุนนางที่กราบทูลขอให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทนั้น ย่อมมีศิษย์ของตระกูลฉีรวมอยู่ด้วย แต่ก็เพียงกล่าวคล้อยตามผู้อื่น มิได้มีใครลุกขึ้นมาเสนอเป็นฝ่ายแรก จักรพรรดิ์ซูชิงมิได้ทรงเชื่อโดยแท้จริงว่าเจ้ากรมฉีต้องการเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์โดยไร้ส่วนได้เสีย ช่วงนี้ตระกูลฉีทำตัวสงบเสงี่ยมลงก็จริง แต่ทั้งหมดเป็นผลจากการถูกกดดันและเตือนสติ แม้พระองค์จะยังมิได้ทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาท แต่กลับทรงประกาศเรื่องหนึ่งแทน นั่นคือ ทรงแต่งตั้งเป่ยหมิงอ๋อง เซี่ยหลูโม่เป็นที่ปรึกษาองค์รัชท
ฉีฮูหยินใหญ่เข้าเฝ้าในวัง ครานี้นางมาโดยได้รับคำสั่งจากเจ้ากรมฉี เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจน เมื่อฮองเฮาทรงได้ยินว่าบิดาทรงตัดสินใจจะวางตัวเป็นกลาง ก็มิอาจระงับโทสะได้ ตรัสเย็นชา “แต่ก่อนให้ข้าช่วยสนับสนุนตระกูลฉี ข้าก็มิเคยปฏิเสธ บัดนี้เมื่อข้าต้องการให้พวกท่านช่วยบ้าง กลับถอยหนีไปหมดสิ้น ข้าช่างไม่เข้าใจเลยจริงๆ หากองค์ชายใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์ ตระกูลฉีจะไม่ได้รับผลดีเลยหรือ? หรือบิดามั่นใจว่าต่อจากนี้ตระกูลฉีจะราบรื่นไร้ปัญหา?” ฉีฮูหยินใหญ่กล่าวอย่างใจเย็น “ความหมายของบิดา คือเพียงอยากเป็นขุนนางผู้ภักดี มิอาจข้องเกี่ยวเรื่องนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของฮ่องเต้” “ช่างน่าขันนัก!” ฮองเฮาทรงหัวร่อเยาะ “เปรอะเปื้อนมลทินไปทั้งตัว บัดนี้ยังมีหน้ามาอ้างตนว่าเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์? เหตุใดจึงไม่พูดเช่นนี้ให้เร็วกว่านี้เล่า? เช่นนั้นข้าจะได้ไม่ต้องแต่งเข้าวังมา ปล่อยให้ข้าดิ้นรนต่อสู้เพียงลำพัง” ฉีฮูหยินใหญ่กล่าว “แม้บิดาจะมีความผิดพลาดในเรื่องส่วนตัว แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในกรมขุนนาง ก็รับใช้แผ่นดินและฮ่องเต้โดยซื่อสัตย์ ไม่เคยขายตำแหน่งขุนนางหรือรับสินบน” ฮองเฮาทรงแค่นเสียง “ทำหรือไม
ฮองเฮาเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้เสียเมื่อไร? แม้แต่ฮ่องเต้ทรงกริ้วพระนางอย่างที่สุด ก็เพียงแค่ทรงตำหนิเล็กน้อย หรือไม่ก็ทรงมีรับสั่งกักบริเวณพระนางเท่านั้น “เซี่ยหลูโม่เป็นตัวอะไร? เขาถึงได้กล้าถึงเพียงนี้! บังอาจมาทำอวดดีต่อหน้าข้า! ข้าเห็นว่าเขาสร้างผลงานไว้ จึงเป็นห่วงเรื่องเชื้อสายของเขา เขาคิดว่าข้าไม่มีเรื่องใดให้ทำ นอกจากยุ่งเรื่องของเขารึ? เขาไม่ชอบก็แล้วไป ยังมีคนที่ชอบอีกมาก!” ฮองเฮาทรงกริ้วจนปวดพระเศียร ไม่เคยพบผู้ใดที่ไม่รู้คุณคนเช่นนี้มาก่อน ความน้อยพระทัยของพระนางทำให้หลานเจี่ยนกูกูงุนงงนัก เดิมทีเรื่องนี้ก็แค่หาข้ออ้างเพื่อบีบให้พระชายาอ๋องต้องยอมเข้าวังมิใช่หรือ? เหตุใดถึงกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อสายของจวนอ๋องจริงๆ แล้วล่ะ? หลานเจี่ยนกูกูคิดว่าฮองเฮาทรงหาข้อแก้ตัวให้พระองค์เองเพราะทรงโกรธ แต่ข้อแก้ตัวเช่นนี้ดูจะไร้ความจำเป็นไปมาก เพียงทำให้พระองค์เองขุ่นเคืองยิ่งขึ้นเท่านั้น นางจึงเอ่ยปลอบ “พระนางอย่าได้กริ้วไปเพคะ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นการหาพระชายารองให้เขาจริงๆ นี่เพคะ” ฮองเฮาทรงตวัดพระเนตรมองนางด้วยความไม่พอพระทัย ก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เซี่ยหลูโม่เห็นเขามีท่าทางอิดโรย ประกอบกับอู๋ต้าปั้นก็ได้นำฎีกากลับไปแล้ว จึงกล่าวว่า “น้องมีเรื่องหนึ่งขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสถาม “เรื่องอันใด?” เซี่ยหลูโม่ดวงตาสงบนิ่งเย็นชา “น้องอยากไปตำหนักฉางชุนสักคราพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงเข้าใจทันทีว่าเป็นเรื่องอันใด เรื่องนี้ก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถึงขั้นเกือบทำให้ผู้ตรวจการสวี่ต้องสิ้นชีพ จักรพรรดิ์ซูชิงไม่ต้องการเผชิญหน้า จึงรับสั่งให้เขาไปตามต้องการ เซี่ยหลูโม่ถวายบังคมลา มุ่งหน้าสู่ตำหนักฉางชุนทันที ฮองเฮาทรงทราบถึงเจตนาของเขา จึงให้คนไปเชิญเข้ามา นางเห็นว่าซ่งซีซีปฏิเสธการแต่งตั้งพระชายารองให้เซี่ยหลูโม่ เป็นเพราะซ่งซีซีขี้หึงและเห็นแก่ตัว ทว่าชายใดเล่าจะคิดเช่นนั้น แม้จะกล่าวคำโตเพียงใด ก็ไม่อาจกลบซ่อนสันดานดิบของบุรุษได้ แม้ฮ่องเต้จะทรงอุทิศพระองค์เพื่อราชกิจ ไม่เสด็จเยือนฝ่ายในบ่อยนัก แต่ก็ยังมีสนมมากมายถึงสามวังหกตำหนัก เมื่อเจอคนถูกพระทัย ก็ยังทรงพลิกป้ายให้เข้าพบเดือนละสามสี่ครั้ง ฉีฮองเฮาทรงเห็นว่าไม่มีแมวตัวใดไม่ชอบกินปลา รวมถึงเซี่ยหลูโม่เองก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น นางยัง
เซี่ยหลูโม่เอ่ยขึ้น "แล้วเสด็จพี่มีแผนการอย่างไร?" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสตอบ "เดิมที หากข้ามีชีวิตอยู่ได้เพียงสามเดือน ข้าจะตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท และให้เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พร้อมตั้งขุนนางที่ไว้ใจได้อีกสองสามคนเป็นผู้ช่วยว่าราชการ ส่วนองค์ชายรอง จะถูกส่งไปประจำอยู่ที่หนานเจียง และปลดฮองเฮาออกจากตำแหน่ง เช่นนี้จะช่วยลดอำนาจของตระกูลฉีลงได้" เซี่ยหลูโม่เอ่ยเสียงเรียบ “เกรงว่าน้องจะไม่อาจรับตำแหน่งสำคัญนี้" เขาเข้าใจดีว่า หากเขาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ย่อมต้องแลกเปลี่ยนบางสิ่งกับจักรพรรดิ์ซูชิง และสิ่งที่เขาคิดถึงเป็นอย่างแรกก็คือ คำสั่งห้ามให้เขามีทายาท เช่นนั้น แม้เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ สุดท้ายก็ต้องคืนตำแหน่งจักรพรรดิ์ให้กับราชวงศ์ จักรพรรดิ์ซูชิงมองลึกเข้าไปในแววตาของเขาแล้วถอนพระปัสสาสะเบาๆ "เรื่องมากมายก็มิอาจปิดบังไปจากเจ้าได้ ข้าเคยคิดจะให้เจ้าสาบานว่า เจ้าจะไม่มีบุตร ไม่มีทายาท ข้าเห็นแก่ตัว แต่ข้าทำได้เพียงเท่านี้" เซี่ยหลูโม่เข้าใจความหมายของจักรพรรดิ์ซูชิง แต่เขาไม่อาจยอมรับได้ การมีหรือไม่มีบุตร ไม่ใช่เรื่องที่เขาตัดสินใจเพียงลำพัง ซีซีมีสิทธิ์ที่จะ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนสีพระพักตร์จะค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น "หมอมหัศจรรย์ดันบอกว่า ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกสามปี แต่ก่อนหน้านี้ หมอหลวงเคยบอกว่า ข้าน่าจะอยู่ได้หนึ่งปี ทว่าผ่านไปไม่นาน กลับเหลือเพียงแค่หกเดือน ข้าคิดว่า คำของหมอทั้งหลาย เมื่อมาถึงตัวข้า ก็ควรจะต้องลดลงครึ่งหนึ่งเสมอ เช่นนั้น หนึ่งปีครึ่งที่เหลือ อาจจะไม่ได้มีจริงด้วยซ้ำ" "เสด็จพี่ อย่าทรงคิดในแง่ร้าย..." จักรพรรดิ์ซูชิงยกพระหัตถ์ขึ้นปราม "เจ้าฟังข้าก่อน บัดนี้ ข้ามีสติแจ่มชัด มิได้เลอะเลือน เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ต้องรีบจัดการ แต่ปัญหาคือ ข้าไม่กล้าตั้งใคร ยังเหลือเวลาอีกหลายปีกว่าพระจักรพรรดิ์องค์ใหม่จะเติบโตขึ้นปกครองแผ่นดิน มหาเสนาบดีแก่ชราลงแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะฝากบ้านเมืองไว้ในมือใครได้ นอกจากเจ้า" เซี่ยหลูโม่มิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะเขารู้ดีว่า ความไว้วางใจและความระแวงของเสด็จพี่ล้วนเกิดขึ้นโดยไร้หลักการ มันมักมาเป็นระยะๆ "ข้า มีพระโอรสสามองค์ เดิมทีมีองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาทโดยธรรมชาติ ตำแหน่งรัชทายาทจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่องค์ชายใหญ่ เขาธรรมดาเกินไป ธรรมดาก็ไม่เป็นไรนัก แต่เขา ขี้เกียจ หยิ่งยะโส
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกลับต้องพบว่า ดูหรือไม่ดู ก็ไม่ต่างกันเลย เพียงเห็นว่าหมอมหัศจรรย์ดันคีบเข็มไว้ในซอกนิ้วทั้งห้า แล้วในพริบตาเดียว เข็มสี่เล่ม ก็ปักลงจุดได้อย่างแม่นยำ พวกเขาแทบมองเห็นเพียงแค่ภาพลวงตาของมือหนึ่งข้างเท่านั้น แต่ผลลัพธ์กลับแม่นยำและมั่นคง ราวกับว่าทุกอย่างจบลงในพริบตาเดียว ทั้งสี่จุด แม้จะอยู่ไม่ไกลกันนัก แต่การจะหา จุดฝังเข็ม ให้ถูกต้อง และปักเข็มลงไปอย่างแม่นยำโดยไม่ลังเลนั้น ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่หมอมหัศจรรย์ดันกลับทำได้ในพริบตาเดียว หลังจากฝังเข็มแล้ว เขาจึงให้จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยซูซื่อตันเพื่อบรรเทาอาการปวด ผลของยาระงับปวดชัดเจนมาก สีพระพักตร์ของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นทันตา ไม่ซีดเผือดเหมือนก่อนหน้านี้ หมอมหัศจรรย์ดันถอนเข็มออก ก่อนจะเขียนตำรับยา จากนั้นจึงหยิบยาดันเสวี่ยออกมาจากหีบยา แล้วกล่าวว่า "ทุกคนต่างคิดว่ายาดันเสวี่ย ใช้เพียงเพื่อบำรุงชีพจร แต่แท้จริงแล้ว มันช่วยฟื้นฟูร่างกายและบำรุงอวัยวะทั้งห้า ได้ด้วย ต่อไป ฮ่องเต้ต้องใช้ยาที่แรงขึ้น ยานี้จึงจำเป็นต้องช่วยคุ้มครอง ตับและไต โดยปกติ ควรเสวยทุกเจ็ดวันหนึ่งเม็ด แต่บัดน
จักรพรรดิ์ซูชิง ทรงเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนมีพระบัญชาให้จัดเตรียมห้องพักในตำหนักข้างเคียงของตำหนักเฉียนหยาง พร้อมทั้งส่งแพทย์จากสำนักหมอหลวงมาคอยดูแลหมอมหัศจรรย์ดัน พร้อมกันนั้น ทรงมีพระบัญชาให้จางฉีเหวินและฉีกุ้ยเป็นองครักษ์ส่วนตัวของหมอมหัศจรรย์ดัน คอยติดตามดูแลเขาตลอดเวลา พระองค์ทรงทราบดีว่าจางฉีเหวินเป็นศิษย์ของเสิ่นว่านจือ การให้เขาคุ้มครองหมอมหัศจรรย์ดัน ก็เพื่อให้หมอมหัศจรรย์ดันรู้สึกวางใจ แต่เพื่อให้พระองค์เองก็วางใจได้เช่นกัน จึงทรงส่งฉีกุ้ยไปด้วยอีกคน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังมีพระบัญชาให้สำนักหมอหลวงปฏิบัติตามคำสั่งของหมอมหัศจรรย์ดันเป็นอันดับแรก อำนาจนี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่แท้จริงแล้ว พระองค์หวังให้สำนักหมอหลวงเป็นฝ่ายจัดหายา หมอมหัศจรรย์ดันมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ ขอเพียงมีคนทำตามคำสั่งก็เพียงพอแล้ว แต่จากการที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงส่งจางฉีเหวินและฉีกุ้ยไป อาจมองออกได้ว่า พระองค์มิได้ไว้วางพระทัยผู้คนจากฝ่ายใน บัดนี้ พระองค์และหมอมหัศจรรย์ดัน มีชะตาเดียวกัน หากหมอมหัศจรรย์ดันตาย พระองค์ก็ตาย หากหมอมหัศจรรย์ดันมีชีวิตอยู่ พระองค์ก็อาจอยู่ได้อีกอย่างน้อยสามปี สามปีไม่ยาว