ในห้องโถงด้านข้าง เสิ่นว่านจือมองดูพระชายาอ๋องเยี่ยนที่กำลังขอโทษตนเองอย่างจริงใจด้วยสีหน้าเย็นชา หากนางไม่รู้จักลูกพี่ลูกน้องคนนี้ดีนัก นางก็คงจะเชื่อนางจริงๆ"จริงๆ เลย เจ้าเชื่อพี่นะ เป็นเพราะเจียอี้มาหาข้าและขอร้องให้ข้าช่วยนางแสวงหาความยุติธรรม ข้าใจอ่อนไปเลยยอมช่วยนาง หลังจากที่เจ้าจากไปเมื่อวาน ท่านอ๋องก็ด่าข้าอยู่นาน โดยบอกว่าสร้างโรงงานเพื่อประโยชน์ของผู้หญิง ข้าไม่ควรใส่ร้าย ข้าสำนึกผิดแล้ว เจ้ายกโทษให้พี่ได้ไหม"เสิ่นว่านจือไม่เชื่อแม้แต่คำเดียวเลยไม่เชื่อว่านางใจอ่อนเลยไปช่วยเหลือเจียอี้สักหน่อย และยิ่งไม่เชื่อว่าอ๋องเยี่ยนจะพูดว่า "การสร้างโรงงานเพื่อประโยชน์ของผู้หญิง"ท่านป้าของซีซี อดีตพระชายาอ๋องเยี่ยนได้ตายอย่างไรเล่า คนอื่นอาจไม่รู้ แล้วนางจะไม่รู้ได้อย่างไร?เสิ่นว่านจือฟังนางพูดอย่างใจเย็น แล้วเห็นน้ำตาแห่งความเสียใจของนางไหลออกมาไม่หยุด นางรู้สึกว่าหลังจากลูกพี่ลูกน้องคนนี้เป็นพระชายาอ๋องเยี่ยนแล้ว เรื่องอื่นนางไม่ได้เรียนแต่ทักษะการแสดงกลับเก่งมากทีเดียว ดูท่าว่าในปกติต้องดูการแสดงไม่น้อยเลย"พูดได้ดีมากนะ แต่วันนี้มาเพื่อขอโทษ ทำไมไม่ส่งจดหมายขอพนเล่า แล้
หลังจากการประชุมยามเช้าเสร็จ เซี่ยหลูโม่นำคดีที่ได้รับกาทบทวนเมื่อเร็วๆ นี้ไปที่ห้องทรงพระอักษรเพื่อไปพบฝ่าบาท และรายงานความคืบหน้าการสอบสวนคดีกบฏตามปกติคดีกบฏยังไม่จบ ดังนั้นหอต้าหลี่จึงยังคงสืบสวนอยู่ และจะมีการรายงานทุกๆ สักพัก มันก็ทำงานตามกฏ ขณะนี้มุ่งความสงสัยไปที่อ๋องเยี่ยน แต่ฝ่าบาทไม่อนุญาตให้หอต้าหลี่ทำการตรวจสอบ ถึงขนาดยังไม่พูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย แม้ว่าเซี่ยหลูโม่จะชี้แจงอย่างชัดเจน แต่เขาก็เงียบตลอดจักรพรรดิ์ซูชิงอ่านเอกสารบันทึกคดีคร่าวๆ ฟังเขาพูดถึงความคืบหน้าของคดีกบฏ และกล่าวว่า "ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีความคืบหน้าที่แท้จริง"มีความคืบหน้าได้ แต่ท่านต้องสั่งสิ!จักรพรรดิ์ซูชิงวางเอกสารบันทึกคดีไว้ข้างๆ และตรัสว่า "งั้นก็สอบสวนกันต่อไป""พะย่ะค่ะ!" เซี่ยหลูโม่ตอบรับเมื่อเห็นว่าเขายังคงไม่ยอมจากไป จักรพรรดิ์ซูชิงจึงถามว่า "มีอะไรอีกหรือ"เซี่ยหลูโม่ยิ้มและพูดว่า "มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เสด็จอาเยี่ยมชวนกระหม่อม และครอบครัวของกระหม่อมไปงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ย้านในคืนนี้"จักรพรรดิ์ซูชิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย แล้วยิ้ม "จะว่าไปแล้ว เสด็จอากลั
อู๋เซี่ยงถอนหายใจเล็กน้อย "หากเป็นผู้หญิงคนอื่นมาใช้ยาของท่านอ๋องก็ไม่เป็นไร แต่คนๆ นี้คือเสิ่นว่านจือ ดังนั้นยาธรรมดาจึงไม่สามารถจัดการกับนางได้"อ๋องเยี่ยนถามว่า "ผลของยาเหล่านี้ก็ล้วนกระตุ้นอารมณ์ไม่ใช่หรือ ยาของเจ้าแตกต่างกันอย่างไรหรือ"อู๋เซี่ยงกล่าวว่า "เอาจริงๆ ว่ายาของท่านอ๋องไม่ได้กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ แต่แค่ให้เกิดความปรารถนา ยาของข้าคือยาชนิดหนึ่งของพิษเหมียว สารพิษจะทำให้สมองเป็นอัมพาต ทำให้นางเกิดอารมณ์เราร้อนและรักใคร่กับบุคคลนั้นหลังจากมีเพศสัมพันธ์"อ๋องเยี่ยนดีใจมาก "ด้วยยาวิเศษเช่นนี้ ทำไมคุณชายไม่เอามาให้ตั้งแต่แรกเล่า หากนางมีใจให้ข้า งั้นสิ่งที่ข้าต้องการก็กลายเป็นสิ่งที่นางต้องการสินะ"อู๋เซี่ยงยิ้มอย่างขมขื่น "ท่านอ๋อง สิ่งที่เรียกว่าความรักใคร่นี้ขัดต่อเจตจำนงของผู้คน ดังนั้นจึงสามารถคงอยู่ได้เพียงช่วงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น""จะอยู่ได้นานแค่ไหน" อ๋องเยี่ยนถาม"สิบวันถึงครึ่งเดือน"อ๋องเยี่ยนรับขวดยา และมีแสงสีเข้มแวบขึ้นมาในดวงตาของเขา "จะเป็นอย่างไรบ้างถ้ายาหมดฤทธิ์แล้วเราก็ให้กินยาต่ออีก? มันไม่เท่ากับว่าจะยื้อเวลาให้มีความรู้สึกแบบนี้ตลอดเหรอ?"อู๋เซี
ยามโย รถม้าสองคันจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาถึงประตูจวนอ๋องเยี่ยนตรงเวลาเมื่อรถม้ามาถึง ผู้ดูแลประตูก็รีบไปรายงาน ทางจวนอ๋องเยี่ยนเปิดประตูกลางเพื่อต้อนรับเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าให้ความสำคัญมากเพียงใดนางเสิ่นและชายารองจินนำอวี้ชิงและอวี้หยินสองคนรอต้อนรับที่หน้าประตู เนื่องจากเสิ่นว่านจือเป็นผู้หญิง เซี่ยหรูเฉาและเซี่ยหรูหลิงจึงไม่ออกมาต้อนรับด้วยเมื่อเห็นรถม้าสองคัน หัวใจของชายารองจินก็เต้นรัว นางรู้ดีถึงแผนการของอ๋องเยี่ยน คืนนี้น่าจะมีเสิ่นว่านจือคนเดียว แล้วทำไมถึงต้องการรถม้าสองคัน?เมื่อเห็นเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีลงจากรถม้า ชายารองจินก็ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง และรอยยิ้มที่เรียบร้อยบนใบหน้าของนางก็แข็งทื่อทันที ทำไมพวกเขาก็มาด้วยล่ะ"ไหนบอกว่าชวนแค่เสิ่นว่านจือไม่ใช่เหรอ เจ้าเชิญชวนนางยังไงกัน" ชายารองจินกัดฟันกรอดและถามนางเสิ่นที่อยู่ข้างๆ ด้วยเสียงต่ำนางเสิ่นมีความสุขมาก เดิมทีท่านอ๋องแค่ให้นางไปเชิญเสิ่นว่านจือ แต่ตอนนี้ทั้งเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีต่างก็มาด้วย งั้นท่านอ๋องก็ต้องดีใจมากทีเดียวเมื่อนางกำลังอารมณ์ดีนั้นกลับได้ยินน้ำเสียงที่ถามจี้จากชายารองจิน และนางก็ทำหน้าบึ้งตึงทันท
อู๋เซี่ยงไม่ไว้ใจจึงชักชวนต่อไป "ท่านอ๋อง หากท่านประสบความสำเร็จ ท่านจะหาผู้หญิงแบบไหนก็ได้หมด เมื่อถึงตอนนั้นท่านจะคิดว่าเสิ่นว่านจือก็ธรรมดาทีเดียว""เอาล่ะ" สีหน้าของอ๋องเยี่ยนค่อนข้างไม่าู้ดี หลังจากพูดว่า "เอาล่ะ" เขาก็รู้สึกถึงความคับข้องใจในใจ เขาไม่สามารถควบคุมมันได้ ความคับข้องใจนี้เกิดขึ้นราวกับพายุแรงที่พุ่งเข้ามา ทำให้เขาระเบิดออกมาในชั่วขณะหนึ่ง "ที่ผ่านมาข้าถือว่าจิตใจผ่องแผ้วบริสุทธิ์มากแล้ว ทุกๆ วันก็ใช้ชีวิตอย่างเข้มงวด ระงับความต้องการของตนเอง และไม่กล้าเดิกข้อผิดพลาดใดๆ หาใช่ว่าข้าไม่มีคนที่ถูกใจ แต่ข้าต่างก็ไม่สนใจ เพราะข้ารู้ว่าหากมกมุ่นอยู่กับความสุกจะมีแต่เป็นผลเสียกับแผนการของตนเอง แต่เสิ่นว่านจือแตกต่างออกไป นางคือคนแรกที่ทำให้ข้าถูกตาต้องใจ ในขณะเดียวกันก็ช่วยข้าได้ นางเป็นตัวเลือกที่เป็นพระชายาอ๋องเยี่ยนที่ดีที่สุดคำพูดเหล่านี้ทำให้อู๋เซี่ยงรู้สึกหวาดกลัวและโกรธด้วย เป็นครั้งแรกที่เขาตำหนิเขาด้วยน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจังมาก "ที่ท่านอ๋องบอกว่าถูกใจ หมายความว่ามีใจให้เสิ่นว่านจือเหรอ ชอบนางใช่ไหม หากท่านคิดเช่นนั้น ข้าจะบอกอะไรท่านว่ามันไม่ใช่ นี่เป็นเพียงข้อ
เซี่ยหลูโม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม "เสด็จอาจะคิดว่าหลานโกรธกับท่านได้ยังไง หรือว่าเสด็จอาได้ทำอะไรไม่ดีกับหลานเหรอ"อ๋องเยี่ยนหัวเราะและโบกนิ้วต่อหน้าเขา "ชอบเล่นลิ้นเอาเสีย!"เขาเดินไปที่ที่นั่งหลัก ยกเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลง "ทุกคนนั่งเถอะ อย่ามัวแต่ยืนอยู่"เขาสวมเสื้อผ้าผ้าไหมชั้นดีที่ปักด้วยลวดลายนกกระเรียนบินด้วยด้ายสีทอง ริมฝีปากดูเหมือนจะถูกย้อมด้วยสีเล็กน้อย ทำให้ดูแดง รู้สึกมีความมั่นใจมาก เสิ่นว่านจือเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ไม่รู้ทำไมดูเขาเหมือนนกยูงตัวผู้ที่กำลังรำแพนหางหลังจากที่ทุกคนนั่งแล้ว อู๋เซี่ยงก็เข้ามาพร้อมกับเซี่ยหรูหลิงและเซี่ยหรูเฉา พี่น้องสองคนแต่เดิมก็ชอบซ่งซีซีและเซี่ยหลูโม่มาก แต่ตอนนี้กลับดูเหินห่างเล็กน้อย พวกเขาก็นั่งลงก่อนคารวะ ทั้งสองมีสีหน้าแปลกๆ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตามองเซี่ยหลูโม่ตรงๆเซี่ยหลูโม่มองไปที่อู๋เซี่ยง และรู้ว่าเขาเป็นที่ปรึกษาที่อยู่เบื้องหลังคอยให้คำแนะนำแกอ๋องเยี่ยน ไม่รู้ว่าเป็นเขาที่มองผิดหรือเปล่า มักจะรู้สึกว่าเขาได้ทะเลาะกับอ๋องเยี่ยนมายิ่งไปกว่านั้น การทะเลาะกันครั้งนี้ไม่ได้จยลงด้วยดี ดสงตาของทั้งสองยัหลงเหลือความโกรธอยู่ ความโกรธกลายเ
แต่เดิมอวี้ชิงยังคงกลัวซ่งซีซีอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากได้ยินคำพูดนี้ นางก็ลุกขึ้นยืนและพูดด้วยความโกรธจัดทันที "ซ่งซีซี เจ้าใส่ร้ายข้าเช่นนี้ ทำลายชื่อเสียงของข้า มันจะมีประโยชน์อะไรต่อเจ้า"ฃกุ้นเอ๋อร์ตะโกนอย่างแรง "ช่างบังอาจ เสี้ยนจู่ที่ต่ำต้อยยังกล้าเรียกพระชายาด้วยชื่อจริงตรงๆ เหรอ?"ซ่งซีซียกมือเพื่อส่งสัญญาณให้กุ้นเอ๋อร์ออกไป จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองอวี้ชิง และพูดประชดว่า "จ้าเห็นเจ้าก็ปากร้ายนี่ ทำไมตอนที่เสด็จแม่ของเจ้าถูกรังแกนั้น เจ้าไม่ออกหน้าช่วยพูดให้นางเล่า หากไม่กล้าพูด ก็คอยดูแลนางอยู่ข้างกายก็ได้ ไม่เสียแรงที่นางให้กำเนิดพวกเจ้า"อวี้ชิงปรี๊ดแตก แต่เมื่อเห็นสายตาอันเย็นชาของเซี่ยหลูโม่มองเข้ามา ทำเอานางรู้สึกหนาวสั่นในใจ และไม่กล้าที่จะอ้าปากไปสาปแช่งอีก แต่พูดอย่างไม่พอใจ "เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เจ้าเก่งมากนักก็ไปดูแลเองสิ ดีแต่ปาก ทำไมไม่ทำเองเล่า เจ้าก็เรียกนางว่าท่านป้าด้วยนะ"ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "สิ่งที่เจ้าพูดนั้นสมเหตุสมผลจริงๆ ที่แท้ถ้าตนเองอกตัญญูก็สามารถไปหาว่าคนอื่นไม่ช่วยให้ ข้าต้องจดจำเอาไว้ เดี๋ยวหาเวลาไปบอกมู่ฮูหยิน เพื่อให้มู่ฮูหยินช่วยเจ้าประกาศสักหน่อย
อ๋องเยี่ยนด่านาง สั่งให้นางกลับไปสำนึกผิด อย่ามาขายหน้าคนอื่นอีก ชายารองจินเรียกอวี้หยินออกไปพร้อมนางทันทีที่ชายารองจินออกมาจากประตู ก็นำสาวใช้ไล่ตามซ่งซีซีไป แม้ว่าจะไม่มีห้องลับในจวนหลังนี้ แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะบุกเข้าไปได้มั่วๆ นางเสิ่นเป็นคนโง่ กลัวว่าจะถูกหลอกอู๋เซี่ยงแอบสังเกตเซี่ยหลูโม่เงียบๆ แลแม้ว่าเขาจะพูดคุยกับท่านอ๋อง แต่มีสีหน้าไม่ค่อยดี สายตามองออกไปข้างออกเป็นครั้งคราว ราวกับว่าคู่หนุ่มสาวทะเลาะกัน ทั้งโกรธแต่ก็ไม่อยากจากไปบวกกับสายตาที่ไม่แยแสของซ่งซีซีก่อนที่นางจากไป เกรงว่ามันไม่ได้เสแสร้ง อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่แน่ใจได้ จุดประสงค์ของซ่งซีซีมาที่จวนอ๋องเยี่ยนเพื่อช่วยแก้แค้นให้พระชายาอ๋องเยี่ยนความโกรธนี้เก็บไว้ในใจของนางมานานแล้ว และอู๋เซี่ยงคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่จะให้นางระบายความโกรธ ก็เป็นเรื่องดี หลังจากที่พวกนางออกไป เป่ยหมิงอ๋องก็ยังอยู่ที่นั่นซึ่งทำให้พูดคุยได้ง่ายขึ้น“หลูโม่ เสด็จแม่ของเจ้าสบายดีไหม" อ๋องเยี่ยนกำลังถามสารทุกข์สุขดิบกับเซี่ยหลูโม่เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ขอบคุณที่เสด็จอาห่วงใย เสด็จแม่สบายดี ไทเฟยหรงได้ดีขึ้นมาบ้างหรือยัง?"“ใน
จีซูเซิ่นสอบถามอย่างละเอียดว่านางพบเขาได้อย่างไร ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพไหน และเขาพาเด็กมาด้วยหรือไม่ หวังชิงหรูกล่าวว่า “เมื่อวานข้าออกไปซื้อหม้อตุ๋น ตั้งใจจะทำยาบำรุงให้ท่านแม่ พอซื้อเสร็จออกมา เขาก็เดินเข้ามา ตอนนั้นข้าตกใจมาก คิดว่าเป็นคนร้าย เขาเรียกข้าว่าน้องสาม พอได้ยินเสียงข้าก็จำได้ทันที ใบหน้าของเขาดำคล้ำ คิ้วก็ถูกโกนจนหมด ทั้งตัวผอมจนแทบจำไม่ได้ ถ้าไม่เพ่งดูดีๆ ข้าคงไม่เชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่” หวังชิงหรูนึกย้อนถึงเมื่อวาน และคำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่เมื่อครู่ ก็ยังรู้สึกใจสั่น “เขาไม่ได้พาเด็กมาด้วย มาเพียงลำพัง เขาบอกว่าตอนนั้นถูกบังคับให้หนี ตอนนี้ทุกที่มีหมายจับเขา ติดตัวไม่มีเงิน แถมยังมีลูกต้องเลี้ยง จึงลำบากมาก เขาให้ข้ากลับไปคุยกับท่านแม่เพื่อช่วยหาเงินสามพันตำลึงให้” “ถ้าหาเงินมาได้ จะส่งให้เขาอย่างไร?” จีซูเซิ่นรีบถาม “เขาไม่ได้บอก เพียงแต่ให้ข้าหาเงินมาให้ได้ก่อน แล้วเขาจะหาทางมาหาข้าเอง” หวังชิงหรูกล่าว จีซูเซิ่นด่าในใจว่า เขาไม่ได้ระวังตัวกับคนอื่น แต่กลับใช้ความระมัดระวังทั้งหมดกับคนในครอบครัวตัวเอง นางคิดครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เขาไม่มีคิ้วแล้ว?” “ใช่ คงโก
จีซูเซิ่นกำลังเย็บเสื้อผ้าให้ลูกสาว เมื่อตัดเย็บเสร็จ นางก็ปักลวดลายตกแต่งลงไป ทุกวันนี้ลูกสาวของนางอาศัยอยู่ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง จึงไม่สมควรให้ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดมาจากจวนอ๋อง ความคิดของนางยุ่งเหยิง คำพูดของพระชายาอ๋องที่พูดกับนาง นางเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น หากหวังเบียวจนตรอก เขาย่อมกลับมายังเมืองหลวง แต่หลังจากเขากลับมาแล้ว เขาจะมาหานางทันทีหรือไม่ ก็ยังไม่แน่นอน เขาน่าจะพยายามหาฮูหยินผู้เฒ่าก่อน และเมื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีความสามารถช่วยเหลือเขาได้ จึงจะมาหานาง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ารักลูกชายมาก นางย่อมพยายามทุกวิถีทาง วันนี้แม้จะเพียงติดตามพวกนางตลอดทางโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไปจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น การที่หวังเบียวกลับมายังเมืองหลวง ก็เพียงเพราะต้องการเงิน เขาไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้เป็นเวลานาน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีเงินติดตัว แต่การอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ทำให้นางมีเครือข่ายอยู่บ้าง ยืมจากตรงนั้นเล็กน้อย ตรงนี้เล็กน้อย ก็เท่ากับลากคนอื่นให้ลำบากไปด้วย อย่างไรก็ตาม นางป่วยหนักออกไปไหนไม่ได้ และคงไม่กล้าหน้าห
นางไม่ได้ไปหา หวังเยว่จาง ในอดีตนางอาจหน้าหนาพอที่จะคิดว่า เขาอย่างไรก็เป็นสายเลือดของจวนป๋อผิงซี เมื่อครอบครัวหรือญาติเกิดปัญหา การช่วยเหลือย่อมเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางเข้าใจความจริงบางประการว่า ในวันที่จวนป๋อผิงซีรุ่งเรือง เขาไม่เคยได้สัมผัสแม้เศษเสี้ยวของเกียรติยศนั้น แต่พอถึงวันที่ล่มจม กลับต้องการให้เขายื่นมือช่วยเหลือ นางทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องว่าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อพูดเรื่องนี้หรือไม่ นางลังเลใจยิ่งนัก เพราะอย่างไรเสีย นางก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย นางนั่งอยู่ใต้ต้นไหว มองเหม่อลอยอยู่นาน พอดีศิษย์พี่ซือโซยกตะกร้าไหมเดินผ่านมา เมื่อเห็นนางก็รีบเลี้ยวหลบไปทางอื่น ท่าทางเหมือนไม่อยากเผชิญหน้ากับนาง หวังชิงหรูนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ รีบเรียกนางไว้ “ศิษย์พี่ซือโซ ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ศิษย์พี่ซือโซเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “อืม” พูดจบ นางก็เตรียมเดินจากไป หวังชิงหรูคิดถึงนิสัยของหญิงสาวในยุทธภพเหล่านี้ ที่มักซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่คิดอะไรซับซ้อน จึงถามว่า “ศิษย์พี่ซือโซ ข้าขอพูดคุย
หวังชิงหรูรู้ว่าศิษย์พี่ซือโซเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้รีบอธิบาย เพราะในใจยังว้าวุ่น นางปิดประตู ยกยาเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ดื่มยาก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยคิดหาวิธีแก้ทีหลัง” ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า มองหน้านางพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองถามใจตัวเองดูว่าพี่ชายของเจ้าเคยปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร?” หวังชิงหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ พวกเราไม่มีความสามารถจะช่วยเขาได้ พวกเรายังอาศัยอยู่ในโรงงาน เงินที่ใช้ซื้อยาของท่านยังเป็นของแม่นางเสิ่นเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าคิดผิด เงินเหล่านี้ล้วนเป็นของเยว่จาง เขาแม้จะไม่ได้ยอมรับพวกเรา แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้หยุดช่วยเหลือเราเลย” หวังชิงหรูกล่าวว่า “แม้ว่าเงินจะเป็นของเขา พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะขอให้เขาเอาเงินไปช่วยพี่ใหญ่ของเรา” “เงินเหล่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัดฟัน กล่าวความจริงออกมาว่า “ไม่ใช่ของเขา ในตอนนั้นที่เขากลับมา พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแนะนำให้ชดเชยเขา จึงโอนที่ดินและร้านค้าให้เขาบางส่วน” “ในเมื่อโอนให้เขาไปแล้ว และเขาก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างลับๆ เสมอมา ยังจะให้เขาคืนกลับมาอีกหรือ? ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย” ฮู
จีซูเซิ่นไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหรู ในวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกนางออกไปตรวจที่ร้านขายยาเย่าหวัง นางแปลงตัวเป็นชาวนาและแอบตามไป เพียงแต่ตลอดทางจากไปจนกลับ ไม่มีใครเข้ามาใกล้รถลาของพวกนาง และระหว่างทางรถลานั้นก็ไม่ได้หยุดเลย หลังจากกลับมาถึงโรงงาน หวังชิงหรูก็เริ่มต้มยา ในโรงงานไม่มีใครคอยรับใช้ ทุกคนต้องผลัดกันทำอาหาร ตอนแรกหวังชิงหรูทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่การก่อไฟยังต้องใช้เวลาฝึกถึงสามวัน อาหารมื้อแรกที่นางทำถึงกับกินไม่ได้เลย คนในโรงงานช่วยเหลือกัน แต่ก็ล้อกันด้วย พวกเขาหัวเราะเยาะว่านางมีร่างกายเหมือนฮูหยิน แต่โชคชะตาไม่ใช่ฮูหยินตอนแรกนางโกรธและรู้สึกน้อยใจ คิดว่าทำไมต้องมาเจอกับความลำบากเช่นนี้ นางถึงขั้นคิดว่าพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเจียอี้มาที่โรงงานเพื่อเยี่ยม นางลงมือทำอาหารเอง มันอาจจะไม่เลิศรส แต่ก็รสชาติกลมกล่อมพอดี นางนิ่งเงียบไป หวังชิงหรูรู้ดีว่าเจียอี้เคยเป็นคนอย่างไร อดีตท่านหญิงที่หยิ่งยโส แต่หลังจากถูกหย่าแล้วได้รับการพากลับมา นางยังสามารถลดตัวเองลงและลงมือทำอาหารให้กลุ่มสตรีที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ได้ ที่สำค
สถานการณ์ของหวังเบียวทำให้ซ่งซีซีแปลกใจไม่น้อย นางคิดว่าเขาจะพาคนสนิทหนีไปซ่อนได้อย่างน้อยสองสามปี ใครจะคาดคิดว่า ระหว่างทางเขาจะถูกปล้นทรัพย์สิน แม้แต่อนุที่รักก็ยังทอดทิ้งเขา ไม่รู้ว่าในเวลานั้น เขาเคยเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองบ้างหรือไม่ คนวัยกลางคน กลับยังหลงเชื่อในความรักแท้ คิดจะทิ้งภรรยาที่อยู่เคียงข้างและดูแลเขามากว่าสิบปี สุดท้ายกลับถูกคนอื่นทิ้งเสียเอง นับว่าเป็นกรรมที่ตามสนอง แต่กรรมที่เขาได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ด้วยนิสัยของกู้ชิงหวู่ ตอนที่จากไปนางต้องเคยดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเคยดูถูกเหลียงเส้า กู้ชิงหวู่ใช้ความงามของตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดชังชายที่หลงใหลในความงามของนางอย่างยุติธรรม ในความเป็นจริง ซ่งซีซีคิดว่าหวังเบียวอาจไม่ได้อยู่ที่อำเภอหยง เพราะด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้หลบหนี เขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่แท้จริง และไม่กล้าพำนักในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ได้แต่หนีซุกซ่อน เขายังพาลูกไปด้วยอีก ซ่งซีซีคิดว่า หากเขาจนตรอก เขาอาจจะแอบกลับเมืองหลวงหรือไม่?แม้เขาจะโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับโง่สิ้นดี เขารู
กู้ชิงหวู่กำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความโกรธ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม ไยต้องเป็นเช่นนี้?" "เจ้าพูดเอง ด้วยชาติกำเนิดที่ดีของข้า รวมถึงสตรีหน้าเหลืองที่เจ้ากล่าวถึง นางก็เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์" ซ่งซีซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เต็มไปด้วยท่าทีเหนือกว่า กู้ชิงหวู่เกลียดชังท่าทางเช่นนี้ที่สุด มันเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนหอคอยสูง ในขณะที่ตนต้องก้มต่ำอยู่ในโคลนตม นางโกรธจัด หน้าอกสะท้อนขึ้นลง "ถึงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ก็ยังถูกสามีรังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ?" "หวังเบียวหรือ? นางไม่เคยใส่ใจเขาเลย มีแต่เจ้าที่มองเขาเหมือนสมบัติ" ซ่งซีซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "สำหรับข้า เขาก็ไม่ใช่สมบัติอะไร แค่ขยะชิ้นหนึ่ง" กู้ชิงหวู่ตอบด้วยแววตาดุดัน ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "ข้ารู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าถึงกับให้กำเนิดบุตรให้เขา ทั้งที่รู้ว่าการหนีจากสนามรบเป็นความผิดร้ายแรง เจ้ากลับไม่สนใจและหนีตามเขาไป ข้าเคยเจอคนปากไม่ตรงกับใจเช่นเจ้ามานักต่อนัก" "ไร้สาระ!" กู้ชิงหวู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ "ฮะ คิดจะหลอกข้าหรือ? ใช่ ข้ารักเขาจนถ
สถานที่อันเป็นมงคลนี้ถูกเลือกโดยสำนักโหรหลวง เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยภูเขาและสายน้ำ มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สองแห่ง แม้จะเรียกว่าด้านข้างพระราชสุสาน แต่ความจริงแล้วห่างจากพระราชสุสานถึงสามสิบลี้ หลังจากงานศพ กู้ชิงหยิงมาพบซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพื่อกล่าวลา บอกว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเฝ้าสุสานของบิดาบุญธรรม เสิ่นว่านจือถามว่านางต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินหรือไม่ นางตอบว่าไม่จำเป็น เพราะนางจะขายเครื่องประดับที่เคยซื้อไว้ ก็เพียงพอจะกลายเป็นคนมีฐานะเล็กๆ ได้ วันที่นางจากไปพอดีกับวันที่เจ้าสิบเอ็ดฝางคุมตัวอ๋องเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง นางยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเข้าไปในรถนักโทษที่มีอ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวย ความเกลียดชังพลันผุดขึ้นในใจ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านต่างด่าทอและโยนใบไม้เน่าใส่พวกเขา นางก็รู้สึกคลายความโกรธ เพราะคิดว่าคนชั่วได้กรรมของตนเองแล้ว สำหรับนาง นับจากนี้ก็เป็นอิสระแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาผูกมัดนางได้อีก ในการคุมตัวครั้งนี้ ยังมีข้าราชการของหนิงโจวและชิวเหมิงถูกนำตัวกลับมาด้วย สิ่งที่ทำให้ซ่งซีซีประหลาดใจคือ นางยังเห็นกู้ชิงหวู่ด
ใช้เวลาห้าวันกว่าจะกวาดล้างเศษซากกบฏได้หมดสิ้น เจ้าสิบเอ็ดฝางและมู่ฉงกุยส่งข่าวชัยชนะมาว่าได้จับชิวเหมิงกบฏตัวสำคัญเป็นเชลย พร้อมนำตัวอ๋องเยี่ยน อ๋องหวย และอู๋เซียงผู้ทรยศกลับมายังเมืองหลวง ซึ่งอีกไม่นานจะมาถึง ยกเว้นเพียงหวังเบียวที่ยังคงหลบหนี นอกนั้นกบฏส่วนใหญ่ล้วนถูกจับกุมได้หมดแล้ว วันที่ 25 เดือนเจ็ด สำนักราชวังจัดพิธีศพให้ท่านอ๋องฮุย เพราะเหตุการณ์กบฏของเซี่ยทิงเหยียน พิธีศพจึงจัดอย่างเรียบง่าย และจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเรียกขุนนางมาหารือว่าท่านอ๋องฮุยควรได้ฝังในสุสานอ๋องหรือไม่ แม้ว่าท่านอ๋องฮุยจะบริสุทธิ์ แต่ความผิดของเซี่ยทิงเหยียนเป็นโทษที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูล ซ่งซีซีไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมพิธี นางจึงพาผู้คนจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาร่วมงานศพของอ๋องฮุย พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีขุนนางมาร่วมงาน นอกจากจักรพรรดิ์จะทรงอนุญาตให้อ๋องฮุยฝังในสุสานอ๋อง มิฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าร่วม กู้ชิงหยิงสวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าเผากระดาษหน้าโลงศพ ศพของอ๋องฮุยถูกบรรจุในโลงแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดฝา เมื่อซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาถึง ยังสามารถไปดูหน้าศพครั้งสุดท้ายได้ มีโลงศพสา