วิวาห์(ไม่)ไร้รัก
Writer : Aile'N
ตอนที่ 6
"หลีกไป ฉันจะเข้า! "
ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เกวลินมา 'พิมผกา' ผู้เป็นเลขาของท่านประธานก็ไม่สามารถรั้งหล่อนให้หยุดรอหน้าห้องได้เลยสักครั้ง เช่นเดียวกับวันนี้ที่เจ้าหล่อนไม่รู้ไปกินรังแตนมาจากไหนถึงได้เดินหน้าบึ้งมาแต่ไกล มาถึงก็ใช้แรงไม่น้อยผลักเธอออกไปให้พ้นทางจนเสียหลักล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้นด้วยตั้งตัวไม่ทัน ไม่แม้แต่จะชายตามองให้เสียเวลาร่างเพรียวนั้นก็กระชากประตูห้องท่านประธานเปิดออกและปิดเสียงดังจนเจ้าของห้องที่นั่งทำงานอยู่ยังสะดุ้งด้วยความตกใจ นัยน์ตาคมปราดมองผู้บุกรุกอย่างไม่พอใจ กำลังจะเอ่ยปากตักเตือนก็เป็นอันต้องเงียบไปเมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย
"นี่มันหมายความว่ายังไงคะธันย์! ? " น้ำเสียงเล็กแหลมตะคอกถามพร้อมกับยื่นโทรศัพท์เครื่องหรูที่กำแน่นมาตลอดทางไปให้ร่างสูงดูจนเกือบจะกระแทกหน้า
"คุณไปแอบมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไรคะ แล้วเกวล่ะ คุณเห็นเกวเป็นอะไร! " ร่างเพรียวเอ่ยตัดพ้อเสียงเครือแสร้งน้ำตาคลอในขณะที่ดวงตาคมยังคงไล่อ่านเนื้อหาที่อยู่บนหน้าจอโดยไม่พูดอะไร เมื่ออ่านจบก็พลันนิ่งไปนิด..
ปกติข่าวพวกซุบซิบนินทาดาราคนดังเทือกนี้วรธันย์ไม่เคยสนใจ แต่ข่าวนี้ไม่สนคงไม่ได้เพราะเขายังไม่ได้บอกเกวลินเรื่องที่พ่อแม่บีบบังคับให้แต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น และไม่คิดด้วยว่าจะต้องพูดกับอีกฝ่ายไวขนาดนี้ ไม่รู้ใครเป็นคนแพร่งพรายสิ่งที่น่าจะรู้กันแค่คนในครอบครัวออกไปให้สื่อรับรู้..
"ผมว่าจะบอกคุณอยู่เหมือนกัน.." ร่างสูงถอนหายใจทิ้งไปทีก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้หญิงสาวฟังโดยไม่ผิดเพี้ยนไปแม้แต่นิดเดียว
"ทำไมคุณไม่บอกพ่อกับแม่คุณล่ะคะว่าคุณมีเกวอยู่แล้ว และจะแต่งกับเกวเพื่อมีทายาทให้พวกเขาเอง" ทันทีที่เล่าจบเกวลินก็ยิงคำถามที่เขาคิดเอาไว้แล้วว่าหล่อนจะต้องถาม ซึ่งคำตอบง่ายๆ เลยก็คือเขาไม่ได้อยากได้หล่อนมาเป็นแม่ของลูก.. ก็เท่านั้น อีกอย่างเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเกวลินมีหรือจะรอดพ้นสายตาพ่อแม่ไปได้ ถึงไม่บอกพวกเขาก็รู้ได้ไม่ยาก และตอนพูดเรื่องแต่งงานก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะพูดถึงหล่อนเลยสักนิด ซึ่งมันก็ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการหล่อนมาเป็นสะใภ้เช่นเดียวกัน
"ผมค้านแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างถูกพวกเขากำหนด ถ้าไม่แต่งกับผู้หญิงคนนั้น ผมก็จะไม่ได้มรดกเลยสักบาท! " วรธันย์ถอนหายใจซ้ำอีก คราวนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องถูกบังคับแต่งงาน แต่เป็นเพราะใบหน้าคนฟังเริ่มบิดเบี้ยวหนักขึ้นทุกที แค่งานก็น่าปวดหัวมากพอแล้ว..
"เจ็บใจนัก! เกวอยากรู้จังเลยว่านังนั่นมันมีดีอะไร ทำไมคุณพ่อคุณแม่คุณถึงได้บีบบังคับคุณถึงขนาดนี้" มือเรียวกำหมัดแน่นด้วยความริษยา ได้แต่นึกเจ็บใจที่ไม่มีใครเห็นหัวเธอ ทั้งๆ ที่พ่อแม่เขาก็น่าจะรู้เรื่องที่เขาคบหากับเธออยู่ แต่ก็ยังพาผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ๆ ควรจะเป็นของเธอ.. ทำแบบนี้มันหักหน้ากันชัดๆ!
"ไม่ใช่แค่คุณหรอกที่อยากรู้.." จนถึงตอนนี้วรธันย์ก็ยังคิดไม่ตกว่ารินลดามีดีอะไรถึงทำให้พ่อแม่เขาหลงหนักถึงขนาดมาบีบบังคับให้เขาแต่งงานด้วยให้ได้ ซ้ำมีตัวประกันเป็นมรดก.. ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมเสียไปให้ผู้หญิงคนนั้นแม้แต่บาทเดียว!
"หึ คอยดูเถอะค่ะ เกวนี่แหละจะเป็นคนกระชากหน้ากากมันเอง! ไม่รู้ว่ามันโน้มน้าวพ่อแม่คุณยังไง แต่เกวฟันธงว่ามันเข้ามาเพราะหวังจะจับคุณแน่ๆ ผู้ชายหล่อๆ รวยๆ แบบคุณผู้หญิงที่ไหนจะไม่ชอบ! " ร่างเพรียวเอ่ยอย่างหมายมาด ดวงตาคมสวยวาวโรจน์กรุ่นโกรธอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าตำแหน่งสะใภ้บ้านอินทรเกษมกุลที่เคยวาดหวังถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง
"ถ้าเราทำให้ยัยนั่นเป็นฝ่ายถอดใจ ยกเลิกงานแต่งเสียเอง ทุกอย่างก็จบ มรดกก็จะยังคงเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว" ร่างสูงยกยิ้มร้ายอย่างพึงพอใจ เมื่อหญิงสาวเสนอตัวเข้าช่วยก็พลันคิดอะไรดีๆ ได้ นั่นก็คือ เขาไม่จำเป็นจะต้องออกแรงให้เหนื่อยเลยถ้ายืมมือหล่อนมาช่วย
"อย่าห่วงเลยค่ะ เกวไม่มีวันยอมให้มันได้แต่งงานกับคุณแน่.." ร่างเพรียวบางเดินอ้อมไปยืนหลังเก้าอี้ทำงาน โน้มตัวลงวาดแขนกอดรอบต้นคอแกร่ง ก่อนกระซิบบอกเสียงอ่อนหวานโดยที่เขาไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าหล่อนทำหน้ายังไงตอนพูดมัน..
..
เกวลินไม่ยอมให้ข่าวเปิดตัวคู่หมั้นของวรธันย์ตกเป็นที่สนใจของทุกคนได้นาน วันถัดมาหล่อนทำทีเป็นมาหาชายหนุ่มที่บริษัทอีกครั้ง และชวนเขาออกไปทานข้าวข้างนอก เดินควงร่างสูงให้พนักงานรวมไปถึงผู้คนรอบข้างเห็น ที่สำคัญก็เพื่อหามุมเด็ดๆ ให้คนที่หล่อนจ้างวานมาแอบถ่ายภาพหล่อนกับเขาได้กดชัตเตอร์รัวๆ เก็บไว้ เพื่อส่งต่อให้นักข่าว และหล่อนก็ทำสำเร็จ.. กระแสข่าวตีกลับไปที่รินลดาอีกครั้งว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นมือที่สามระหว่างคนทั้งคู่ เนื่องจากพวกเขามีความสัมพันธ์กันมานาน ก่อนหน้าที่เธอจะปรากฏตัวเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าข่าวที่เกวลินสร้างขึ้นทำให้ร่างบางตกเป็นที่ครหาของผู้คนรอบข้างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอบอกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกยังไงดี.. เพราะเธอเข้ามาเป็นคู่หมั้นของวรธันย์ได้โดยพ่อแม่ของเขา และไม่รู้เลยสักนิดว่าเขามีคนรักอยู่ก่อนหรือเปล่า
ที่แท้.. เขาก็มีคนรักอยู่แล้ว ก็ไม่แปลกที่จะโมโหขนาดนั้น แต่เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาขัดขวางความรักของใครเลยจริงๆ อ่านข่าวแล้วก็ได้แต่เห็นใจเขาและสงสารผู้หญิงคนนั้น หรือเธอจะลองคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของเขาดูดีไหมนะ?
"เอ่อ.. ผู้หญิงคนนี้.. เป็นคนรักของคุณหรอคะ" มือบางยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปของเขาและผู้หญิงคนนั้นให้ดูประกอบคำพูด ก่อนจะไปคุยกับคุณสุรศักดิ์และคุณนาฏยา รินลดาจำต้องคุยกับคนข้างๆ เสียก่อน เพื่อความมั่นใจว่าเธอเข้าใจถูกต้อง..
"ใช่.. และเธอก็กำลังจะทำความรักของคนอื่นพัง สะใจมากมั้ยล่ะ" ร่างสูงปรายตามองตามเล็กน้อยก่อนตอบรับเสียงเรียบ ใบหน้าคมเคร่งขึ้นเพื่อความน่าเชื่อถือว่าเรารักกันมาก.. เผื่อรินลดาจะยังคงมีจิตสำนึกดีๆ หลงเหลือและยอมหลีกทางให้โดยง่าย
"งั้น... ฉันจะไปคุยกับคุณท่านให้นะคะ พวกท่านจะได้เข้าใจคุณมากขึ้นและยอมยกเลิกงานแต่งให้" ร่างบางนิ่งไปนิด สีหน้าครุ่นคิดก่อนตอบในสิ่งที่คิดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้า ดวงตาที่มองมามีประกายแห่งความคาดหวัง
ท่าทางซื่อๆ นั้นทำวรธันย์นึกฉงนในใจไม่น้อย ไม่ใช่ว่าตั้งใจเข้ามาเพื่อจับเขาหรือไง เธอไม่ควรจะเสนอตัวมาช่วยเหลือเขาราวกับบริสุทธิ์ใจแบบนี้สิ! หรือว่า.. นี่จะเป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่มีไว้บังหน้า ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงเพื่อให้เขาตายใจ?
"หึ.. ไม่ต้องแกล้งทำตัวเป็นคนดีหรอกน่า ฉันไม่หลงกล! " ร่างสูงเหยียดยิ้มอย่างรู้ทัน ความรู้สึกที่เกือบจะหลงเชื่อละครฉากนั้นของอีกฝ่ายถูกปัดทิ้งไปอย่างไม่ไยดีด้วยทิฐิที่มันมีมากกว่า
"...ก็แล้วแต่คุณเถอะค่ะ" รินลดานิ่งค้างไปหลายวินาที ด้วยเสียดายที่เคยนึกเห็นใจเขาที่กำลังจะถูกพรากคนรักไป ไม่คิดเลยว่าเขาจะมองความหวังดีของเธอเป็นแบบนั้นไปซะได้
ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนข้างๆ ที่แอบทำหน้ามุ่ยใส่เขาก่อนกลับไปนั่งเหม่อมองวิวข้างทางอย่างเดิม เขาพยายามจับผิดพิรุธอะไรสักอย่างให้ได้จากอีกฝ่าย แต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ ท่าจะแสดงเก่งไม่เบา..
อีกเรื่องที่รินลดารู้สึกเห็นใจวรธันย์ก็คือนอกจากจะต้องไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยทุกวันแล้วก็ยังต้องไปรับกลับด้วย ทั้งที่เขาต้องทำงานและบางวันเธอก็เลิกเรียนไม่เป็นเวลา เช่นวันนี้ที่เลิกตั้งแต่เที่ยงวันเขาก็ยังมารับตามคำสั่งของคุณท่าน ดีหน่อยที่รับมาส่งแค่หน้าตลาดเพราะเธอต้องมาช่วยพ่อกับแม่ขายของทุกวัน ไม่ใช่ส่งถึงบ้านที่อยู่ไกลออกไปอีกหลายกิโลเมตร เพราะถ้าไปส่งบ้านเขาก็ต้องวกกลับมาเพื่อเข้าบริษัทอีก ไปๆ มาๆ เสียเวลาแย่ เพราะเหตุนี้ตอนค่ำๆ เมื่อเลิกขายของเธอเลยขอคุณหญิงไว้ว่าให้ลุงพรมารับแทน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมอนุญาตแต่โดยดี
"ขอบคุณนะคะที่สละเวลาไปรับ"
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร นั่นเป็นสิ่งที่ร่างบางเข้าใจได้ไม่ขุ่นเคืองเพราะขนาดเธอยังเกรงกลัวที่จะพูดกับเขา เขาเองก็คงไม่อยากจะสนทนาอะไรกับเธอเช่นเดียวกัน
วันนี้เพราะเลิกเรียนไวรินลดาเลยยังพอมีเวลาช่วยพ่อแม่ทำกับข้าวหลายอย่าง แต่ก่อนที่จะเดินเข้าซอยไปถึงบ้านพักเธอไม่ลืมที่จะแวะซื้อลูกชิ้นจากร้านหน้าปากซอยไปฝาก 'เจ้าดำ' สุนัขจรจัดที่เคยหลงทางมานอนซมอยู่หน้าบ้านพร้อมด้วยบาดแผลเต็มตัว คาดว่าคงถูกสุนัขเจ้าถิ่นแถวนี้กัดมา เธอจึงรีบเข้าช่วยเหลือจนรอดพ้นจากความตายมาได้ และด้วยความน่ารักแสนรู้ของเจ้าดำก็ทำให้เธอตัดสินใจขอพ่อกับแม่รับเลี้ยงมันไว้
โฮ่งๆ ๆ
ไม่ทันสิ้นความคิดสุนัขพันธุ์ไทยหลังอานตัวดำๆ ก็ส่งเสียงเห่าต้อนรับและรีบวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยความดีใจสุดขีด เจ้าดำกระโจนใส่เธอด้วยความคิดถึง เธอเองก็โอบกอดมันด้วยความรู้สึกเดียวกัน
"โอ้ยๆ พอแล้วๆ ดำ รู้แล้วว่าคิดถึง แต่หยุดก่อน ไม่งั้นไม่ได้กินลูกชิ้นนะ! " เพราะไม่ได้เจอกันหลายวันความคิดถึงจึงมีมากทำเจ้าดำทั้งกอดทั้งอ้อนเลียหน้าเลียตาเจ้านายของมันชุดใหญ่ จนร่างบางทนไม่ไหว ก่อนจะขาดอากาศหายใจเลยเอาของกินออกมาเรียกร้องความสนใจจากมัน พอเห็นลูกชิ้นเอ็นหมูของโปรดเจ้าดำก็ตาลุกวาวรีบถอยออกไปนั่งรออย่างใจจดจ่อเพราะจำได้ว่าก่อนกินเจ้านายของมันจะสั่งให้นั่งรอและขอมือก่อนนั่นเอง
"แน่ะ ยังไม่ทันขอเลย รีบจริงๆ " ร่างบางหัวเราะขำ เมื่อยังไม่ทันได้พูดว่าขอมือเจ้าดำก็ยกขาหน้ายื่นมาให้ทั้งสองข้าง ท่าจะหิวจัดจนรอไม่ไหว เธอเลยตอบแทนความน่ารักของมันด้วยลูกชิ้นที่ซื้อมาจนหมดถุง ใช้เวลาไม่ถึงนาทีเจ้าดำก็กินหมดเกลี้ยงและรีบวิ่งตามเจ้านายของมันเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี
"พ่อจ๋าแม่จ๋า สวัสดีจ้า" เสียงใสดังแจ้วไปก่อนตัวเมื่อมองเห็นแผ่นหลังบุคคลอันเป็นที่รักยืนอยู่ไม่ไกล ทั้งสองกำลังช่วยกันทำกับข้าวเพื่อนำไปขายที่ตลาดนั่นเอง
"มาเลยๆ มาช่วยแม่เอ็งเร็วๆ เข้า นานๆ ทีจะเลิกเรียนไว พ่อจะแอบอู้สักหน่อย" คนเป็นพ่อกวักมือเรียกหาตัวช่วยอย่างไว เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ เนื่องจากรินลดายังเรียนอยู่และเลิกไม่เป็นเวลา กับข้าวส่วนใหญ่เลยจะเป็นพ่อกับแม่ที่คอยช่วยกันทำออกไปขาย
"แหม จะไปไหนก็ไปเลยไป ทำอะไรก็ชักช้า ไม่เหมือนตอนแม่ทำกับน้องหญิง ไวกว่าคนแก่ๆ บางคนตั้งเยอะ" อรนภาทำหน้าเหม็นเบื่อใส่สามี มือที่ถือตะหลิวอยู่โบกไล่อย่างไม่จริงจัง เพียงหมั่นไส้ที่พอลูกมาก็รีบหนีไปอู้ทั้งที่ยังทำอะไรไม่เสร็จเลยสักอย่าง
"น้อยใจนะเนี่ย คำก็แก่ สองคำก็แก่ ยาหยีของพี่พูดจาไม่น่ารักเลย" ร่างบางถึงกับหลุดขำพรืดเมื่อได้ยินพ่อใช้เสียงสองหยอกเย้าแม่อย่างกับหนุ่มสาววัยรุ่น เธอมักจะได้ยินบ่อยๆ ยามที่พ่ออารมณ์ดี แต่ฟังเท่าไรก็ไม่ชินเลยสักที ไม่ต้องพูดถึงแม่ รายนั้นแทบจะเขวี้ยงตะหลิวใส่เพราะนอกจากจะไม่เขินแล้วยังขนลุกอีกต่างหาก
"ไปเลยนะ ก่อนตะหลิวจะบิน! " ร่างอวบถลึงตาใส่สามีอย่างเหลืออด อายุปูนนี้แล้วพูดจาอะไรไม่อายลูกบ้างเลย!
"จ้าๆ ไปแล้ว" ผู้เป็นสามีรีบเผ่นแนบออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าตะหลิวกำลังจะบินมาหาจริงๆ รินลดาได้แต่ยืนยิ้มจนปวดแก้มกับมุมหยอกกันน่ารักๆ ของพ่อกับแม่ นับว่าเธอยังมีแต้มบุญอยู่มากที่วันนั้นได้คุณสุรศักดิ์ยื้อชีวิตพ่อเอาไว้ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็อยากจะขอบคุณท่านอีกสักร้อยครั้งพันครั้ง..
"ไงเรา.. ชีวิตเป็นยังไงบ้าง" อรนภายิ้มตามลูกชั่วครู่ ก่อนจะนิ่งไปแล้วถามขึ้นมา ไม่ได้เจาะจงเรื่องอะไรในชีวิตลูกเป็นพิเศษ แต่ร่างบางก็รับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่การถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอย่างปกติ
"ก็.. ดีค่ะ" เธอตอบกลับสั้นๆ เพราะไม่รู้จะตอบอะไรไปมากกว่านี้
"แม่เพิ่งรู้เรื่องข่าว.. เฮ้อ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพวกคนรวยๆ เขาคิดอะไรกันอยู่ ดีที่พ่อค้าแม่ค้าหาเช้ากินค่ำอย่างเราๆ เขาไม่สนใจข่าวซุบซิบของพวกคนรวยเท่าไร ไม่งั้นแม่ก็คงไม่รู้ว่าจะตอบพวกเขายังไง" พอไม่ได้คำตอบตรงใจผู้เป็นแม่เลยตัดสินใจพูดตรงๆ ก่อนร่ายยาวไปเรื่อยทำเหมือนบ่นเรื่องฝนฟ้าอากาศอย่างปกติ ทว่าน้ำเสียงกลับเจือไปด้วยความห่วงใยจนคนฟังรู้สึกได้
"หนู.. คุยกับคุณธันย์แล้วค่ะ เขาบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนของเขา หนูก็เลยคิดว่าจะลองคุยกับคุณท่านดู เผื่อท่านจะเห็นใจยอมยกเลิกงานแต่ง.." เสียงหวานเอ่ยบอกอย่างมีความหวังแต่ขณะเดียวกันพูดไปก็คล้ายจะมีความไม่มั่นใจอยู่หลายส่วน ดวงตาทั้งสองคู่ที่มองสบกันเต็มไปด้วยความสงสัยในหลายๆ เรื่องที่เหมือนๆ กัน
"แม่ไม่รู้หรอกนะว่าในข่าวมันจริงแท้แค่ไหน หรือในภายภาคหน้าลูกแม่จะต้องเจอกับเรื่องอะไร แต่แม่อยากให้หนูเชื่อฟังคุณท่านทั้งสองเป็นอันดับแรก ไม่อยากให้ไปถือสาหรือสนใจคำพูดของคนอื่นที่ไม่มีบทบาทสำคัญในชีวิตของเรา มีคนรักย่อมมีคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลก.. ที่แปลกเห็นทีจะเป็นคนที่เกลียดเราทั้งๆ ที่ไม่รู้จักเราเลยเสียมากกว่า.." น้ำเสียงแม่ยามพร่ำสอนยังคงอ่อนโยนอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่ได้ฟัง รินลดาระบายยิ้มบางเบา จิตใจซึมซับทุกคำสอนของแม่เอาไว้ในใจเพื่อใช้เตือนสติตัวเองเมื่อถึงคราวจำเป็น
วงแขนเล็กสวมกอดมารดาอย่างรักใคร่ เมื่อสบายใจขึ้นก็ชวนกันคุยสัพเพเหระไปเรื่องอื่น จนกระทั่งเตรียมอาหารเสร็จครบถ้วน ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็พากันนำไปขายที่ตลาด เป็นภาพชินตาในทุกๆ วันของผู้คนที่พบเห็น บางคนมองพวกเขาด้วยความรู้สึกเฉยๆ แต่บางคนที่กำลังโหยหาความสุขหรือรอยยิ้มเต็มแก้มคงจะต้องมองมาที่พวกเขาด้วยความอิจฉาเป็นแน่..
..
หลังจากตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเปิดอกคุยกับคุณสุรศักดิ์และคุณนาฏยาตรงๆ รินลดาก็พยายามจะหาจังหวะเหมาะๆ คุยอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาสนั้นเลย จนกระทั่งวันนี้.. วันที่เธอมีเรียนช่วงสาย เมื่อทานข้าวเช้าพร้อมกันเสร็จร่างบางก็เดินถือจานผลไม้ที่ขอพี่น้อมมาจากในครัวไปนั่งลงข้างๆ คุณท่านทั้งสองที่ศาลาเรือนไทยในสวน ถ้ายังจำกันได้พี่น้อมคือพี่เลี้ยงที่คุณท่านมอบหมายให้คอยดูแลเธอตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในบ้านอินทรเกษมกุล แต่ด้วยไม่เคยมีคนรับใช้ก็เลยไม่คุ้นชินและติดจะเกรงใจเธอจึงไม่เคยเรียกใช้อีกฝ่ายเลยสักครั้ง..
"หญิง.. เป็นอะไรไปจ๊ะ ทำหน้าเหมือนมีอะไรจะพูด มีอะไรอยากพูดกับพ่อแม่ก็พูดได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ" คุณหญิงสังเกตเห็นอาการลังเลแปลกๆ จากว่าที่ลูกสะใภ้เลยเอ่ยถามออกไปอย่างใจดี ไม่ว่าจะเรื่องอะไรน้อยใหญ่สักแค่ไหนก็อยากให้รินลดากล้าพูด ไม่อยากให้เก็บไว้เพราะคำว่าเกรงใจ
"คือว่า.. หนูอยากจะขอให้คุณพ่อคุณแม่พิจารณาเรื่องงานแต่งงานดูอีกทีน่ะค่ะ หนูเพิ่งรู้ว่าคุณธันย์มีแฟนอยู่แล้ว.." เสียงหวานค่อยๆ เอ่ยอย่างลำบากใจ ไม่ได้ขี้ขลาดจนอยากจะถอนตัว แต่เธอไม่อยากเป็นมือที่สามพรากความรักของใคร
"นึกว่าเรื่องอะไร.. ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น ถ้าพี่ธันย์เขารักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ คงพามาหาพ่อกับแม่นานแล้ว" คำตอบที่ได้ฟังทำร่างบางนิ่งอึ้ง ทั้งเรื่องที่คุณหญิงพูดเหมือนกับว่ารู้เรื่องคนรักของลูกชายอยู่แล้ว และเรื่องที่บอกว่าวรธันย์ไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นจริง ทั้งที่ตอนเธอถามเขาก็ยังแสดงออกว่ารักกันมากอยู่เลย ตกลงมันยังไงกันแน่..
"แต่ว่า..." ร่างบางกำลังจะแย้งว่าร่างสูงเองก็ไม่ได้รักเธอเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีโอกาสเมื่อถูกว่าที่แม่สามีขัดขึ้นมาเสียก่อน
"ถ้าหนูคิดมากเรื่องข่าวที่ผู้หญิงคนนั้นจงใจสร้างขึ้นล่ะก็ ไม่ต้องคิดหรอกจ้ะ พรุ่งนี้ก็เงียบ.." น้ำเสียงคนพูดราบเรียบขึ้นกว่าปกติ ดวงหน้าอ่อนเยาว์ผุดรอยยิ้มไม่น่าไว้วางใจแปลกๆ ทั้งคำพูดและท่าทางก็ดูมีลับลมคมนัยจนคนฟังชักจะรู้สึกไม่ดีอยู่ลึกๆ
"ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกเจ้าหญิง พ่อแม่ทุกคนย่อมเลือกสิ่งดีๆ ให้กับลูกเสมอ.." คุณสุรศักดิ์ที่นั่งเงียบฟังอยู่นานเอ่ยตัดบทนิ่งๆ คำพูดที่มีความหมายโดยนัยทำคนฟังได้แต่นิ่งงัน จนปัญญาจะเซ้าซี้ต่อเพราะมองไม่เห็นทางเลยที่จะโน้มน้าวคนทั้งคู่ได้สำเร็จ
..
..
..
..
บรรยายเยอะหน่อยน้าาาาาา
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nบทนำ"เมื่อไหร่แกจะแต่งงานฮะเจ้าธันย์ จะให้ฉันต้องถามไปจนถึงเมื่อไหร่" ทันทีที่เห็นลูกชายเพียงคนเดียวเดินเข้าบ้านมาเสียงผู้นำครอบครัวก็ขัดจังหวะการก้าวเดินของร่างสูงนั้นให้หยุดชะงัก"แล้วเมื่อไหร่พ่อจะเลิกบังคับผมเรื่องแต่งงานสักทีครับ อยากแต่งเมื่อไหร่เดี๋ยวผมก็แต่งเองนั่นแหละ" ร่างแกร่งหยุดเผชิญหน้ากับบิดาอย่างจำใจ ใบหน้าคมที่เคยมีร่องรอยของอารมณ์สุนทรีย์เลือนหายไปตั้งแต่ได้ยินเสียงทัก เหลือไว้แต่เพียงความยุ่งเหยิง เพราะคนเป็นพ่อเอาแต่พูดเรื่องเดิมซ้ำๆ แทบจะทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา"แล้วมันเมื่อไหร่? แม่แกจะตายวันตายพรุ่งเคยโผล่หัวไปดูบ้างมั้ย ฉันอุตส่าห์ปล่อยให้แกเลือกเมียได้ตามใจแล้วนะ อย่าให้ต้องบังคับ! ""ขู่ตลอดอ่ะ ก็ให้เวลาผมหน่อยดิ เมียดีๆ ใช่จะหาได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่" วรธันย์ถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินคำขู่นับครั้งไม่ถ้วน เริ่มตั้งแต่เขาอายุย่างเข้าเลขสามจนตอนนี้สามสิบห้าปีเข้าไปแล้ว ก็นับว่าได้ยินมาตลอดห้าปี ตอนนี้เลยเบื่อที่จะฟังเต็มที"แกไม่หาเองมากกว่ามั้ง ฉันให้เวลาแกมามากพอแล้ว ภายในเดือนนี้ถ้ายังเอ้อระเหยอยู่แบบนี้ ฉันนี
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 1"คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่หมอต้องขอดูอาการอย่างใกล้ชิดอีกสักวันสองวัน ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนก็ย้ายไปห้องพักฟื้นปกติได้" เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง.. ในที่สุดคนรอก็ได้รับข่าวดีอย่างที่ใจหวัง ทำเอาเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่รีบเข้าไปยกมือไหว้คนที่ช่วยชีวิตบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเธอเสียยกใหญ่"ขอบคุณค่ะคุณหมอ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ""คนที่พวกคุณควรขอบคุณไม่ใช่หมอหรอกครับ ขอตัวก่อนนะครับ" คุณหมอบอกก่อนยกยิ้มบางๆ ขณะมองไปที่ชายอีกคนที่ยังไม่หนีไปไหน อยู่ติดตามอาการคนป่วยจนการผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเมื่อหมดหน้าที่บุรุษชุดกาวน์ก็ขอตัวออกไป สองแม่ลูกจึงตั้งสติและพากันเดินมาหาผู้มีพระคุณด้วยความตื้นตันใจ ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกัน ค่าผ่าตัดก็ไม่ใช่ถูกๆ แต่ใครคนนั้นก็ยังยอมช่วยเหลือทุกสิ่งอย่างจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงหมดในชาตินี้"คุณคะ.. ฉันกับลูกขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยพวกเราไว้ ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลยแท้ๆ แต่คุณช่วยพวกเราถึงขนาดนี้ ฉันกับลูกซาบซึ้งมากจนไม่รู้จะตอบแทนยังไง มีอะไรที่พวกเราจะตอบแทนได้บ้างมั้ยคะ พวกเรายินดี" อรนภาพูดขณะยกมือไหว้ร่างสูงนั้นทั้งน้ำตานองหน้
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 2ก่อนจะถึงหกโมงเย็นตามนัดที่เจ้าของบ้านบอกไว้รินลดาก็อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดใหม่ที่ถูกซื้อมาแขวนไว้ให้ในตู้เสื้อผ้า ตอนแรกเธอไม่ได้คิดจะหยิบออกมาใส่เลยเพราะมองแค่เผินๆ ก็พอจะเดาราคาได้ว่าต้องแพงมากแน่ๆ เลยกะจะใส่เสื้อผ้าชุดเดิมของตนที่ขนมาจากบ้าน แต่ทว่าเสื้อผ้าของเธอมีแต่ชุดธรรมดาราคาถูก อย่าว่าแต่จะใส่ไปพบหน้าว่าที่สามีเลย ให้ใส่อยู่ในส่วนไหนของบ้านหลังนี้มันก็ดูไม่ได้ทั้งนั้นสุดท้ายรินลดาก็เลยต้องจำใจหยิบชุดใหม่ที่คุณนาฏยาซื้อให้มาใส่ และเฝ้ารอใครสักคนมาเรียกด้วยความตื่นเต้นชนิดที่ว่านั่งก้นไม่ติดพื้น เทียวลุกเดินไปส่องกระจกบานใหญ่ตรงห้องแต่งตัวซ้ำแล้วซ้ำแล้ว แต่ถึงภาพที่ปรากฏอยู่ในกระจกจะเป็นที่น่าพึงพอใจแค่ไหนเธอก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้เป็นกังวลที่สุดก็คือว่าที่สามี.. ไม่รู้ว่าวรธันย์จะเป็นคนแบบไหน และเขาจะรับได้ไหมถ้ารู้ว่าเธอเป็นแค่ลูกสาวพ่อค้าแม่ค้าธรรมดาๆ เท่านั้นก๊อกๆ "คุณหญิงคะ คุณผู้หญิงให้มาตามค่ะ" เวลาหกโมงเย็นนิดๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่น้ำเสียงสุภาพอ่อนหวานของใครสักคนจะดังตามหลังมา คน
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 3"เฮ้ยๆ ใจเย็นไอ้เสือ มึงจะเมาตั้งแต่สองทุ่มไม่ได้นะเว้ย"'ภาค' หนุ่มตำรวจจากกรมสืบสวนคดีพิเศษหรือที่เรียกสั้นๆ ว่าดีเอสไอทักขึ้นเสียงหลง เมื่อเห็นเพื่อนสนิทที่กอดคอถือหาง (?) กันมาตั้งแต่สมัยเรียน ม.ต้น ยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นดื่มเอาๆ ราวกับอดอยากปากแห้งมานมนานทั้งที่คนอย่าง 'วรธันย์ อินทรเกษมกุล' ทายาทจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง 'อินทรเกษมกุล กรุ๊ป' ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟแวร์อันดับหนึ่งของประเทศไม่น่าจะห่างหายจากเรื่องพวกนี้ได้"เออ เป็นไรวะ มาถึงก็ดื่มเอาๆ หน้าบูดเหมือนตูดไอ้อ้วนเลยเนี่ย"'อาทิตย์' คู่หูรวมอาชีพของภาคผสมโรงมองงงใส่ร่างสูงอีกคน ต่างกันตรงที่เขาถูกเจ้าตัวตวัดตามองเคืองใส่หลังพูดจบเพราะดันไปเปรียบเทียบหน้าคนกับก้นหมาที่บ้านใส่กัน แต่เขาก็ได้ใส่ใจสายตาเชือดเฉือนคู่นั้น แถมยิ้มเย้ยกลับไปอีกต่างหาก"มึงก็พูดไป กูว่าตูดไอ้อ้วนยังดูดีกว่าหน้าไอ้ธันย์ตอนนี้เลยว่ะ ฮ่าๆ " ภาคแย้งขึ้น อดไม่ได้ต้องระเบิดหัวเราะร่าไปทีเพราะชอบอกชอบใจกับคำเปรียบเปรยของตนเอง ไม่ต่างจากอาทิตย์ที่รีบยกมือขึ้นแท็คทีมกันอย่างออกนอกหน้า แล้วก็พากันขำเอิ้กอ้ากต่อไป ฝ่ายจำเ
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 4เมื่อทานอาหารเช้าร่วมกับคุณสุรศักดิ์และคุณนาฏยาแล้ว รินลดาก็กลับขึ้นห้องเพื่อแต่งตัวใหม่เป็นชุดนักศึกษาเนื่องจากมีเรียนตอนสิบโมง เมื่อเรียบร้อยก็กลับลงมาไหว้ลาคนทั้งสอง เธอเผื่อเวลาเดินทางไว้มากโขเพราะเมื่อวานได้สังเกตลู่ทางไว้แล้วพบว่าป้ายรอรถประจำทางอยู่ตรงหน้าปากซอย ต้องเดินเท้าออกไปค่อนข้างไกล เธอเตรียมตัวพร้อมทุกอย่างทั้งร่มแบบพกพาไว้กางกันแดดและสวมรองเท้าผ้าใบเพื่อที่จะได้เดินสบายเท้า แต่พอคุณสุรศักดิ์และคุณหญิงรู้เข้าก็พร้อมใจกันรีบเบรกความตั้งใจของเธอ และสั่งให้คนขับรถถอยรถยนต์คันหรูมารับถึงหน้าประตูบ้านร่างบางได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก ครั้นจะแย้งว่าเธอเดินทางไปเรียนเองได้ก็ถูกมือบางของว่าที่แม่สามีดันหลังให้ขึ้นไปนั่งแหมะอยู่บนรถและลุงคนขับรถก็รีบออกตัวอย่างว่องไวราวกับแท็กทีมกันมัดมือชกให้เธอต้องจำยอม..การเดินทางมามหาวิทยาลัยของรินลดาในวันนี้ดูจะกลายเป็นที่สนใจของผู้คนที่พบเห็นไม่ใช่น้อย เธอไม่ใช่คนดังแต่เพราะรถยนต์สัญชาติอังกฤษราคาแพงที่น้อยคนนักจะกล้าซื้อมาขับกำลังทำให้เธอกลายเป็นจุดเด่น ซ้ำ 'ลุงพร' คนขับรถของคุณท่านทั้งสองยังไม
วิวาห์(ไม่)ไร้รัก Writer : Aile'N ตอนที่ 5 "กลับมาแล้วหรอลูก"กว่าจะช่วยพ่อกับแม่ขายของรวมเก็บร้านจนเสร็จและเดินทางกลับมาถึงบ้านอินทรเกษมกุลก็ปาไปสามทุ่มกว่าจวนจะสี่ทุ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่คนที่กำลังเดินลากเท้าด้วยความเหนื่อยล้ากลับต้องแปลกใจที่ภายในบ้านอันเงียบสงบมีร่างหนึ่งของสตรีวัยกลางคนกำลังนั่งรอการกลับมาของเธออยู่ที่โซฟารับแขก"คุณหญิง...เอ่อ คุณแม่ทำไมยังไม่เข้านอนอีกล่ะคะ" เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเดินเข้ามาหาคนถามก็รีบสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหาอย่างรีบร้อนเสียเอง"ยังจ้ะ แม่แค่รู้สึก...เป็นห่วงหนูนิดหน่อยน่ะ กลับมืดค่ำ แล้วดูสิเนี่ย เหนื่อยมากเลยใช่มั้ยหื้ม? " คุณหญิงนาฏยายกยิ้มอ่อนพลางเอื้อมมือมาลูบแก้มใสแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยมองสำรวจร่างกายบางๆ นั้นอย่างละเอียด ยิ่งเห็นเด็กสาวมีท่าทีเหนื่อยล้าเธอก็ยิ่งสงสารและเห็นใจ วันนี้อากาศดูจะร้อนกว่าทุกวันอีกฝ่ายเลยเหงื่อโทรมกายเสียขนาดนี้"นิดหน่อยค่ะ แต่หนูชินแล้ว" ร่างบางยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เพราะถึงจะเหนื่อยก็เหนื่อยเพราะทำเพื่อพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งกว่าที่ท่านทั้งสองจะเลี้ยงดูให้เธอเติบโตมาได้ถึงยี่สิบก