แชร์

ตอนที่ 5

วิวาห์(ไม่)ไร้รัก

Writer : Aile'N

ตอนที่ 5

"กลับมาแล้วหรอลูก"

กว่าจะช่วยพ่อกับแม่ขายของรวมเก็บร้านจนเสร็จและเดินทางกลับมาถึงบ้านอินทรเกษมกุลก็ปาไปสามทุ่มกว่าจวนจะสี่ทุ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่คนที่กำลังเดินลากเท้าด้วยความเหนื่อยล้ากลับต้องแปลกใจที่ภายในบ้านอันเงียบสงบมีร่างหนึ่งของสตรีวัยกลางคนกำลังนั่งรอการกลับมาของเธออยู่ที่โซฟารับแขก

"คุณหญิง...เอ่อ คุณแม่ทำไมยังไม่เข้านอนอีกล่ะคะ" เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเดินเข้ามาหาคนถามก็รีบสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหาอย่างรีบร้อนเสียเอง

"ยังจ้ะ แม่แค่รู้สึก...เป็นห่วงหนูนิดหน่อยน่ะ กลับมืดค่ำ แล้วดูสิเนี่ย เหนื่อยมากเลยใช่มั้ยหื้ม? " คุณหญิงนาฏยายกยิ้มอ่อนพลางเอื้อมมือมาลูบแก้มใสแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยมองสำรวจร่างกายบางๆ นั้นอย่างละเอียด ยิ่งเห็นเด็กสาวมีท่าทีเหนื่อยล้าเธอก็ยิ่งสงสารและเห็นใจ วันนี้อากาศดูจะร้อนกว่าทุกวันอีกฝ่ายเลยเหงื่อโทรมกายเสียขนาดนี้

"นิดหน่อยค่ะ แต่หนูชินแล้ว" ร่างบางยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เพราะถึงจะเหนื่อยก็เหนื่อยเพราะทำเพื่อพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งกว่าที่ท่านทั้งสองจะเลี้ยงดูให้เธอเติบโตมาได้ถึงยี่สิบกว่าปีพวกท่านก็เหนื่อยกับเธอมาไม่น้อยเลยเหมือนกัน

"ให้แม่หาคนไปช่วยแทนดีมั้ย หนูจะได้ไม่เหนื่อย ไหนจะต้องเรียนอีก" คุณหญิงมองเห็นความตั้งใจดีและกตัญญูรู้คุณคนจากคนตรงหน้ามาตลอดหลายวันตั้งแต่ที่ได้รู้จักกัน เธอจึงอยากแสดงความหวังดีตอบแทนความดีของเด็กสาวบ้าง แต่อีอีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับไปง่ายๆ

"ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องหรอกนะคะ คุณพ่อคุณแม่มีเมตตากับครอบครัวหนูมากพอแล้ว แค่นี้สบายมากค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ" รินลดาฉีกยิ้มเต็มแก้ม เอ่ยพลางรวบมือนุ่มทั้งสองข้างของผู้มีพระคุณขึ้นมากุมไว้อย่างทะนุถนอม แววตาที่มองสบกันมีแต่ความรักและเทิดทูนจนคนถูกมองรู้สึกเต็มตื้น ปลื้มปริ่มจนหัวใจพองโต ในหัวคิดแต่ว่าเด็กคนนี้ช่างเป็นคนดีจริงๆ เธอกับสามีนับว่าโชคดียิ่งที่ได้อีกฝ่ายมาเป็นสะใภ้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเจ้าลูกชายถึงจะเห็นตรงกันเสียที

"ถ้าหนูต้องการแบบนั้นแม่ก็จะไม่ก้าวก่าย แต่ถ้าเหนื่อยจนทนไม่ไหวก็บอกได้ตลอดเลยนะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจ" คุณหญิงยอมล้าถอย ปล่อยให้เป็นเรื่องของครอบครัวอีกฝ่าย เพียงแต่ถ้าวันใดร่างบางเหนื่อยจนทำต่อไม่ไหวเธอก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเต็มที่

"ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ แต่ตอนนี้ได้เวลาเข้านอนแล้ว คุณแม่ควรพักผ่อนได้แล้วนะคะ หนูไปส่ง" รินลดายิ้มรับความหวังดีที่ผู้ใหญ่ใจดีอย่างคุณนาฏยามอบให้ แต่ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคงไม่มีวันนั้น เธอไม่อยากรบกวนคุณท่านทั้งสองไปมากกว่านี้แล้ว

"อ้อ มีอีกเรื่อง"

"คะ? " สองเท้าที่กำลังก้าวเดินเคียงคู่กันไปหยุดชะงักตามกัน คนพูดเกริ่นไว้เท่านั้นตามด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานแต่หากแววตากลับดูวิบวับไม่น่าไว้วางใจ..

"ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพี่ธันย์จะเป็นคนไปรับไปส่งหนูที่มหา'ลัยทุกวัน มีเรียนกี่โมงหรือเลิกกี่โมงก็บอกพี่เขาไว้เลยนะ" คนพูดฉีกยิ้มเต็มแก้มเมื่อเอ่ยจบ แววตามีความยินดีมากอย่างไม่คิดปิด ทว่าคนฟังกลับเหมือนจะไม่รับรู้อย่างอื่นนอกจากใจความที่ว่าต่อไปใครจะเป็นคนไปรับส่ง

"ทะ.. ทำไมล่ะคะ ลุงพรไปส่งหนูเหมือนวันนี้ก็ดีอยู่แล้วนะคะ" ร่างบางอึกอักแทบจะหาเสียงไม่เจอ จากตอนแรกที่ไม่เห็นด้วยที่ต้องให้ลุงพรไปส่ง ตอนนี้พอรู้ว่าวรธันย์จะไปเองกลับเห็นว่าลุงพรดีกว่าเป็นไหนๆ

"พี่ธันย์ไปย่อมดีกว่าแน่นอนจ้ะ จะได้สนิทกันไว้ไงจ๊ะ ไม่กี่เดือนหนูก็เรียนจบแล้วนะ สนิทกันให้ไวจะได้รักกันไวๆ ไงจ๊ะ" คุณหญิงตอบเสียงใส แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าความใกล้ชิดจะทำให้ทั้งสองคนรู้สึกดีๆ ต่อกันได้ง่ายขึ้น

"...เอางั้นก็ได้ค่ะ" คนฟังฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก ยิ่งเห็นว่าที่แม่สามีแสดงความคาดหวังออกมาอย่างท่วมท้นก็ยิ่งยากที่จะปฏิเสธได้ลง

เมื่อส่งคุณหญิงเข้านอนแล้วรินลดาก็กลับเข้าห้องมาด้วยความตึงเครียด เธอมองเห็นอนาคตอย่างแจ่มชัดว่ามันจะต้องไม่ราบรื่นอย่างที่คุณหญิงวาดฝันไว้แน่ๆ แต่ถามว่าทำอะไรได้ไหม ก็ไม่.. อีกอย่างก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะคิดอะไรยุ่งยาก เลยจำต้องปล่อยวาง รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวและเข้านอน กระทั่งหลับไปอย่างรวดเร็ว..

วันต่อมา..

อากาศยามเช้าของวันนี้ไม่ได้ทำให้ร่างบางรู้สึกสดชื่นเท่าที่ควร จิตใจของเธอมีแต่ความเป็นกังวลหลังจากที่ได้รู้ว่าลุงพรจะไม่ได้ไปส่งที่มหาวิทยาลัยเหมือนเมื่อวานแล้ว ซึ่งถ้าวรธันย์เป็นคนไปส่งก็แสดงว่าเมื่อคืนเขาค้างที่นี่ ในห้องถัดไปจากห้องเธอสามห้อง และบนโต๊ะอาหารเช้าก็คงจะเจอหน้ากัน เธอคิดแบบนั้น.. แต่พอลงมาทานข้าวกลับไม่เห็นเขาลงมาร่วมโต๊ะ คุณพ่อคุณแม่ของเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงให้เริ่มทานกันได้โดยไม่ต้องรอ

"ฉันจะไปทำงานแล้ว จะไปก็รีบมา"

เริ่มทานได้ไม่เท่าไร ร่างสูงในชุดสูทเต็มยศก็เดินมาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ตาคมปรายมองว่าที่ภรรยาเพียงนิดก็หมุนตัวเดินกลับออกไป คนที่ยังไม่ทันได้ทานข้าวอิ่มถึงกับนั่งอึ้งมึนงงไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้ก็รีบกุลีกุจอเก็บของ ไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วตามออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่พ้นสายตาไปไม่กี่วินาทีใครคนนั้นก็เดินทิ้งระยะห่างออกไปไกลจนเธอต้องเร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทัน

พลั่ก!

แต่เพราะรีบเสียจนไม่ทันระวังรอบข้างให้ดีรินลดาจึงเดินไปชนเข้ากับสาวใช้คนหนึ่งที่เดินเลี้ยวออกมาจากทางเดินอีกด้าน ช่างน่าแปลก.. แรงปะทะไม่ได้ทำให้เธอเซไปด้านข้างยังพื้นที่ว่างที่ไม่มีใครอยู่.. แต่กลับพุ่งไปด้านหน้าหาคนตัวสูงราวกับถูกใครสักคนบงการไว้ ทำให้ทิศทางมันผิดธรรมชาติไปจากที่ควรจะเป็น

ร่างบางเล็กปะทะเข้ากับอกแกร่งที่หันมาหาเนื่องจากได้ยินเสียงเธอกับคู่กรณีอุทานเสียงหลงออกมาพร้อมกันพอดี และด้วยสัญชาติญาณก็ทำให้วรธันย์ตวัดแขนคว้าเอวบางเอาไว้ไม่ให้อีกคนล้มกลิ้งไปไหน รินลดาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตกใจ และพอดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันในระยะลมหายใจเป่ารดก็เหมือนเวลาได้ถูกช่วงชิงไป ทุกสิ่งรอบกายหยุดนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวดั่งเช่นเธอกับเขาในยามนี้..

กลิ่นกายหอมอ่อนกับดวงตาคู่สวยรบกวนจิตใจคนมองไม่ใช่น้อย แต่ด้วยความไม่ชอบในตัวอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้นทำให้สิ่งรบเร้าเหล่าถูกปัดตก วรธันย์ได้สติก่อนปั้นหน้าขรึมพร้อมกับปล่อยร่างที่กอดอยู่ลงพื้นอย่างไม่ไยดี มือหนาปัดป่ายเนื้อผ้าชุดสูทหรูเหมือนกลัวติดอะไรจากอีกคนมา ไม่แน่ก็อาจจะเป็นสิ่งเร้าที่บอกไปในตอนต้นก็เป็นได้..

"สกปรก! " เขาเหน็บเสียงรอดไรฟันทั้งที่กลิ่นหอมอ่อนจากสาวเจ้ายังคงติดจมูก..

รินลดากัดฟันแน่น เจ็บทั้งกายและใจแต่ไม่คิดโต้ตอบ เธอฝืนทนลุกตามร่างสูงมาที่รถ ทว่าก็ทำเพียงยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะขึ้นไปนั่งตรงไหนดีในเมื่อว่าที่สามีเปิดประตูเบาะหลังขึ้นไปก่อนแล้ว แถมปิดประตูใส่หน้าเธออีกต่างหาก หรือเป็นสัญญาณกรายๆ ว่าให้เธอไปนั่งข้างหน้า?

"ยืนโง่อยู่ทำไม ขึ้นรถ! " พอมัวแต่ลังเลไม่ทันใจเจ้าของรถก็เปิดกระจกตะโกนด่าเสียงดัง ทำให้ต้องสลัดความลังเลทิ้งไปแล้วเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งเบาะหลังคู่กัน ใจจริงอยากนั่งหน้ามากกว่าเพราะคุณคนขับรถคนใหม่ที่ไม่เคยเจอหน้าน่าคบกว่าคนข้างๆ ที่เอาแต่นั่งทำหน้าทะมึนเหมือนเมฆฝนตั้งเค้าเตรียมเทถล่มเสียอีก ความอึดอัดทำคนตัวเล็กนั่งเกร็งและเอาแต่มองออกนอกกระจกรถ เฝ้าภาวนาในใจขออย่าให้เขานึกอยากพูดอะไรด้วยเลยเพราะคงจะมีแต่เรื่องไม่ดีแน่

"นึกอยากจะรับข้อเสนอของฉันหรือยัง" คำภาวนาไม่เป็นผลเมื่อออกรถได้ไม่นานใครคนนั้นก็ยิงคำถามเข้าใส่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าพอหันไปมองกลับเจอแต่สายตาเหยียดหยาม วางท่าเหมือนอยู่เหนือกว่าเธอหลายสิบชั้น อยากจะจิ้มตาบอดนัก..

"ฉันว่าฉันพูดชัดแล้วนะคะ.. ดูแล้วคุณก็ไม่น่าจะเป็นคนเข้าใจอะไรยาก" รินลดาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ตอบกลับไปเสียงเรียบกว่า ไม่วายแอบเหน็บคนฟังอยู่ในทีจนศรัณที่กำลังทำหน้าที่สารถีขับรถให้ทั้งคู่หลุดยิ้มขำอย่างอดไม่ได้ จะมีก็แต่คนถูกเหน็บที่ไม่รู้สึกขำ เขาคว้ามือไปจับต้นแขนเล็กไว้ก่อนบีบแน่นราวกับต้องการจะบดกระดูกชิ้นเล็กๆ ตรงนั้นให้แหลกคามือ

"อ๊ะ! ? " ความเจ็บทำร่างบางตื่นตระหนก หันกลับไปเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่ที่โถมตัวเข้ามาหาด้วยท่าทางคุกคาม เจ็บ.. แต่พยายามจะไม่แสดงออกให้เขาได้ใจ

"รีบๆ ไสหัวออกไปซะ! ฉันไม่มีเวลามาเล่นสงครามประสาทกับเธอหรอกนะ แล้วก็อย่าคิดว่าจะจับฉันได้ง่ายๆ ฉันไม่หลงกลมารยาตื้นๆ ของเธอแน่! " น้ำเสียงกดต่ำตะคอกใส่คนตัวเล็กกว่าอย่างเหลืออด ไม่เพียงคุกคามธรรมดา ร่างทั้งร่างเหมือนจะคร่อมกักตัวเธอไว้กับประตูรถจนมิด ไม่ยอมปล่อยมือจากต้นแขนเล็กซ้ำยังเพิ่มแรงบีบมากขึ้นเรื่อยๆ

"......" รินลดาน้ำตาคลอด้วยความเจ็บ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมปริปากโต้ตอบหรืออ้อนวอนใดๆ เธอทำเพียงนิ่งเงียบ.. จ้องมองดวงตาดุดันของวรธันย์กลับอย่างไม่คิดหลบ

"ทำไม! ฉันพูดแทงใจเข้าหน่อย ถึงกับพูดไม่ออกเลยล่ะสิ! " ร่างสูงเหยียดยิ้มเยาะอย่างได้ใจเมื่อเห็นอีกคนนิ่งเงียบ ดวงตาที่มองสบกันบอกไม่ถูกว่าร่างบางรู้สึกยังไง อาจจะโกรธหรือเกลียดเขา.. ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งมองก็ยิ่งไม่ชอบใจ

"...เปล่าค่ะ ฉันแค่ไม่เห็นประโยชน์จากการพูดคุยกับคนที่เอาแต่ปิดหูปิดตาและถือทิฐิอย่างคุณก็เท่านั้น" รินลดาทำเพียงข่มอารมณ์ กดไว้ให้ลึกสุดใจเพราะต่อให้เลวร้ายยังไงอีกฝ่ายก็คือลูกชายของผู้มีพระคุณ และพวกเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้เธอแต่งงานกับเขา เพราะฉะนั้นเธอจะอ่อนแอไม่ได้ ในเมื่อไม่ยอมคุยกันดีๆ ก็คงยากที่จะทำดีด้วย!

"ปากดีนักนะ! " คนถูกย้อนคำรามเสียงกร้าวอย่างโมโหร้าย ฝ่ามือที่ใหญ่และแข็งราวคีมเหล็กเปลี่ยนมาบีบคางเล็กไว้แทน สายตาที่มองสบมุ่งร้ายอย่างชัดเจนจนศรัณที่ลอบมองเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นทนไม่ไหว ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยก่อนที่คนตัวเล็กจะบุบสบายไปเสียก่อน

"คุณธันย์ครับ"

"ไม่แส่สักเรื่องจะได้มั้ยวะ! " ด้วยความโมโหบวกถูกขัดจังหวะวรธันย์เลยหันไปตวาดใส่ศรัณด้วยอีกคนจนอีกฝ่ายไม่กล้าพูดอะไรต่อ ได้แต่มองสบตาร่างบางผ่านกระจกมองหลังด้วยสายตาห่วงใย

รินลดาซาบซึ้งใจและก็เข้าใจว่าเขาพยายามช่วย เธอนึกขอบคุณ แต่นาทีนี้ไม่ว่าใครก็ทำอะไรผีห่าซาตานที่กำลังเข้าสิงวรธันย์ไม่ได้ ซึ่งเธอก็ไม่คิดจะอ้อนวอนอะไร ปล่อยให้เขาระบายอารมณ์จนกว่าจะพอใจ.. จนกลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ทนเล่นสงครามประสาทผ่านสายตาที่มองสบกันตลอดเวลาไม่ไหว ผลักเธอกระแทกใส่ประตูรถอย่างแรง ก่อนกลับไปนั่งหลังตรง ไม่วายสบถคำหยาบออกมาอย่างหัวเสีย

ร่างบางไม่สนใจว่าอีกคนจะเป็นยังไง เธอยกมือกุมแก้มที่ปวดร้าวไม่ต่างจากแผ่นหลังที่ถูกกระแทกใส่ประตูรถ ลมหายใจหอบเหนื่อยติดขัดเหมือนคนจะขาดใจ ทั้งตกใจและหวาดหวั่นมากจนตัวสั่น ไรผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งที่แอร์ในรถเย็นฉ่ำจนกลัวจะเป็นไข้

ยอมรับเลยว่าเธอกลัวเขามาก...แต่พยายามเข้มแข็งเพื่อปกป้องตัวเองไปอย่างนั้น แม้แต่ศรัณที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ตลอดยังนับถือในความเข้มแข็งของเธอ โชคดีที่วรธันย์ไม่พูดอะไรอีกนอกจากนั่งทำหน้าทะมึนไปตลอดทางจนถึงมหาวิทยาลัย

ร่างบางรีบเปิดประตูเตรียมจะลง แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าได้ปริ้นท์ตารางเรียนมาให้เขาเอาไว้ดูว่าเธอมีเรียนวันไหนเวลาไหนบ้างเพื่อที่เขาจะได้มารับถูก ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์ก่อนหน้าเธอก็คงจะยื่นให้เขาดีๆ แต่ก็นั่นแหละ.. ตอนนี้ไม่สะดวกที่จะทำแบบนั้นแล้ว จึงเอาวางไว้บนเบาะที่เคยนั่งก่อนเปิดประตูลงไปอย่างรวดเร็ว

เช้านี้ข่าวลือแปลกๆ ของรินลดายังคงเป็นประเด็นเผ็ดร้อนไม่จางหาย รู้ได้จากสายตาและการจับกลุ่มซุบซิบนินทายามเธอเดินผ่าน แต่นาทีนี้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจอะไรนอกจากความเจ็บร้าวบนใบหน้าครึ่งล่างที่ยังคงไม่จางหาย.. สองเท้าเล็กเดินหลบหน้าผู้คนเข้าไปหยุดยืนตรงหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ ไม่ต้องเพ่งสายตาเกินความจำเป็นก็มองเห็นว่าผิวแก้มบริเวณที่ถูกบีบขึ้นสีแดงจัดทั้งสองข้าง เจ็บหนึบราวกับถูกคีมเหล็กไม่ใช่มือคนบีบ ยิ่งเธอมีผิวสีขาวจัดก็ยิ่งเห็นเป็นรอยแดงชัด ปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีเลยรีบสาวเท้ายาวๆ เดินก้มหน้าก้มตาไปเซเว่นหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อซื้อหน้ากากอนามัยมาปกปิด แต่ยังไปไม่ถึงไหนก็ชนเข้ากับใครคนหนึ่งเสียก่อน..

พลั่ก!

"ขะ..ขอโทษค่ะ/ขอโทษครับ" คนรูปร่างผอมบางกว่าถูกชนจนล้ม เป็นเหตุให้อีกฝ่ายต้องรีบรุดเข้ามาช่วยพยุงลุกขึ้น

"เจ็บมั้ย อ่าว.. หญิง ขอโทษทีนะ เราไม่ทันระวัง เจ็บมากมั้ย เอ๊ะ.. นั่นแก้มไปโดนอะไรมาอ่ะ" พอได้มองหน้ากันดีๆ ถึงรู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือ 'ภีม' เพื่อนต่างสาขาอดีตเพื่อนร่วมสถาบันสมัยเรียนมัธยมปลาย อีกฝ่ายถามไถ่ด้วยความตกใจ และยิ่งช็อกหนักไปอีกเมื่อเห็นรอยแดงยาวบนแก้มใสทั้งสองข้าง จนเผลอเอื้อมมือไปลูบไล้อย่างแผ่วเบา

"เอ่อ.. เรา เรา..แพ้ครีมอ่ะ เลยแดงๆ " รินลดาอ้างออกไปพร้อมกับเบี่ยงใบหน้าหลบสัมผัสนั้นอย่างเนียนๆ

"หืม..หรอ? แล้วกำลังจะไปไหน ทำไมรีบร้อนขนาดนั้น" ภีมรู้สึกติดใจคำบอกนั้นเพียงนิดแต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไร เพียงถามเข้าเรื่องอื่นแทน

"ไปเซเว่นน่ะ ไปก่อนนะ" ร่างบางรับรู้ถึงความเคลือบแคลงใจของอีกฝ่าย อีกทั้งไม่แน่ใจว่าตนจะโกหกใครได้อย่างแนบเนียนเลยพยายามพาตัวเองออกห่าง แต่กลับหนีไม่ได้ดั่งใจเมื่อมือใหญ่คว้าจับเข้าที่ข้อมือเสียก่อน

"เราไปด้วยดีกว่า เดี๋ยวเธอไปชนใครเข้าอีก" ไม่มีโอกาสได้ค้านก็ถูกจูงมือพาเดินไปอย่างงงๆ

"เอ่อ ภีม ปล่อยมือเราก่อนเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะมองไม่ดี" ด้วยความไม่ชิน อีกทั้งมีชนักติดหลังเรื่องข่าวลือเสียหาย แม้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่ก็ไม่อยากให้เพื่อร่วมคณะฯ ถูกมองไม่ดีไปด้วย มือบางจึงพยายามขืนออกจากการจับกุม

"อ้อ โทษที" ภีมยอมปล่อยโดยง่าย เพราะลืมตัวเลยไปล่วงเกินคนร่างบางทั้งที่ไม่สมควรเข้า

"ช่วงนี้เรา.. ได้ยินข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับเธอ.. เธอโอเคนะ? " แน่นอนว่าอยู่คณะฯ เดียวกันภีมเองก็รับรู้ถึงเรื่องข่าวลือนั้นเลยอดแสดงความห่วงใยออกมาไม่ได้ เชื่อเลยว่าคนอย่างรินลดาจะไม่ลุกขึ้นมาแก้ข่าวปกป้องตัวเองแน่ เธอคงจะปล่อยผ่านให้มันเจือจางไปตามกาลเวลา แต่กว่าเรื่องจะเงียบ.. เธอจะผ่านมันไปได้ยังไงด้วยตัวคนเดียว

"อื้อ เราไม่คิดอะไรหรอก มันก็แค่ข่าวลือ" เสียงหวานเอ่ยอย่างปลงตก ทำคนฟังแอบดีใจไม่น้อยที่ได้รู้ว่าข่าวลือพวกนั้นไม่ใช่เรื่องจริง..

ภีมไม่กล้าชวนคุยอะไรมากเมื่อเห็นคนข้างกายตั้งหน้าตั้งตาเดินโดยไม่สนใจใคร พอดีกับเมื่อไปถึงเซเว่นเขาก็ดันบังเอิญไปเจอเพื่อนสนิทในระยะไกลๆ เข้า เลยจำต้องบอกลาร่างบางอย่างไม่มีทางเลือก เพราะขืนแสดงตัวว่าอยู่กับสาวสวยพวกมันต้องแซวไม่เลิกแน่ ตัวเขานั้นไม่ได้อายหรือถือสาพวกมัน แค่ไม่อยากให้รินลดาต้องรู้สึกไม่ดีไปกับคำพูดสนุกปากของคนอื่นอย่างเช่นข่าวลือที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เท่านั้น

หลังจากได้หน้ากากอนามัยมาสวมใส่เพิ่มความมั่นใจแล้ว รินลดาก็กลับเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเข้าเรียนตามปกติ...จะมีก็แต่บรรยากาศของผู้คนรอบข้างนี่แหละที่ไม่ปกติ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการมาเรียนมันจะยากเย็นขนาดนี้ ยิ่งเรื่องซุบซิบสมัยนี้ไปไวกว่าตอนที่ยังไม่มีสื่อโซเชียลมิเดียมาก แม้จะไม่ใช่คนดังแต่ข่าวลือก็ทำให้คนๆ นั้นดังได้ภายในชั่วพริบตาเดียว และส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ใช่ข่าวดีเสียด้วย ช่างน่ากลัวจริงๆ ...

ผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งวันเต็มที่ร่างบางต้องทนนั่งเรียนท่ามกลางความกดดันจากผู้คนรอบข้าง แต่จู่ๆ เรื่องราวก็ตาลปัตรเมื่อสามสาว ฟิล์ม บี และต้นอ้อ พุ่งเข้าหาเธออีกครั้ง ภายในมือถือโทรศัพท์ซึ่งปรากฏรูปภาพที่แนบมากับเนื้อหาข่าวกอสซิบของเหล่าไฮโซ ไม่พอยังพยายามแย่งกันยิงคำถามใส่เธอพร้อมกันอย่างเซ็งแซ่.. จากนั้นไม่นานโทรศัพท์เครื่องหรูก็ถูกส่งต่อมาให้เพื่อที่ร่างบางจะได้เห็นเนื้อหาของข่าวและรูปนั้นอย่างชัดๆ

"ไม่น่าเชื่อ! นี่แกเป็นคู่หมั้นของคุณธันย์จริงๆ หรอ เป็นไปได้ยังไงอ่ะ แกกับเขานี่คนละชั้นกันเลยนะ! "

ไม่ทันได้หายงงกับสิ่งที่เห็นฟิล์มก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน.. รูปที่ว่าถูกถ่ายด้วยใครรินลดาก็ไม่อาจทราบได้ แต่คนๆ นั้นช่างอุกอาจเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ไกลจากประตูบ้านอินทรเกษมกุล จังหวะหวานแหวชวนจั๊กจี้หัวใจที่เคยเห็นในละครทีวีบ่อยๆ เธอชนคนอื่นและลอยละลิ่วไปอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายที่กำลังเป็นที่จับตาต้องใจของผู้หญิงค่อนประเทศ.. ทุกคนที่เห็นข่าวต่างรู้จักเขา แต่เธอคือหญิงสาวปริศนาที่แสนจะโชคดี (ในความคิดของคนอื่น)

ไม่เพียงแค่รูปนั้นที่เป็นที่สงสัยสำหรับร่างบางจากมุมที่ถูกแอบถ่าย ยังมีอีกหลายๆ ภาพที่ถูกตามถ่ายจากตอนที่ร่างสูงมาส่งเธอเข้าเรียนเมื่อตอนเช้า แม้เขาจะไม่ได้ลงจากรถมาให้คนถ่ายจับภาพได้โดยตรง แต่ยี่ห้อรถยนต์และป้ายทะเบียนก็ชี้มาที่เขาอย่างดิ้นไม่หลุด เนื้อหาข่าวก็น่าฉงนไม่แพ้กัน.. คนเขียนข่าวทำเหมือนรู้จักเธอและเขาอย่างลึกซึ้ง รู้กระทั่งว่าเราเป็นคู่หมั้นกัน ทั้งที่เรื่องนี้รู้กันแค่ภายในครอบครัวของเธอและเขา ยังไม่มีการป่าวประกาศหรือทำการจัดงานจริงจังออกสื่อใดๆ ทั้งสิ้น

แล้ว.. คนอื่นรู้ได้ยังไงกัน?

น่าแปลกมาก..

"พวกฉันก็คิดว่าแกมีเสี่ยเลี้ยง ชีวิตถึงได้ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ที่แท้ก็ได้ผัวดีนี่เอง ตกลงเรื่องจริงใช่มั้ยวะ ฉันไม่อยากจะเชื่ออ่ะ! "

"จริง! ถ้าฉันไม่เห็นรูปที่แกกับเขากอดกันกลมแบบนี้ ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด! "

น้ำเสียงเล็กแหลมจากสามสาวที่ยังไม่หยุดแย่งกันพูดเรียกสติของรินลดากลับมาอีกครั้ง พวกหล่อนต่างหวีดร้องแสดงความอิจฉาที่มีต่อเธอ แต่หาได้รู้ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับชายหนุ่มผู้เป็นที่หมายปองคนนั้น มันไม่ได้หวานชื่นอย่างที่เห็นในข่าวเลยสักนิด..

คนตัวเล็กเพียงยิ้มบางและพยักหน้ารับอย่างปลงๆ เมื่อถูกถามว่าข่าวนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เธอไม่คิดจะปิดบังอะไรในเมื่อเนื้อหาในข่าวมันเป็นความจริงแทบทุกประการ และในอีกไม่กี่เดือนหลังเรียนจบข่าวเรื่องการแต่งงานของเธอกับเขาก็คงจะมีให้ทุกคนเห็นอย่างไม่ต้องสงสัย..

เมื่อมีข่าวใหม่ ข่าวเก่าก่อนหน้าก็ถูกปัดตกไปอย่างง่ายดาย กลายเป็นว่าเรื่องที่รินลดาตกถังข่าวสารได้หมั้นหมายกับทายาทนักธุรกิจหมื่นล้านทำให้เธอกลายเป็นคนดังและเป็นที่อิจฉาคนอื่นมากกว่าเดิมเสียอีก!

แน่นอนว่าข่าวดังเช่นนี้ย่อมเป็นที่น่าสนใจและลุกลามไวยิ่งกว่าไฟไหม้ป่า ในเวลาเดียวกันอีกฝากหนึ่งของเมืองหลวง หญิงสาวร่างเพรียวเจ้าของใบหน้าสวยเฉี่ยวสุดเย้ายวนใจชายกำลังนั่งอ่านข่าวเดียวกันนั้นด้วยความตื่นตระหนกระคนโกรธเคือง มือเรียวบีบโทรศัพท์เครื่องหรูในมือแน่นราวกับต้องการจะให้มันแหละคามือ ทั้งรูปและข้อมูลในข่าวไม่อาจทำให้เกวลินอยู่เฉยได้ เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ในร้านอาหารชื่อดังที่มานั่งทานกับเพื่อนชายคนสนิท.. และเดินออกจากร้านไปอย่างรีบร้อน ไม่แม้แต่จะสนใจเสียงเรียกของเพื่อนร่วมโต๊ะเพราะโกรธจัดจนไม่ได้ยินอะไร ใบหน้าสวยบิดเบี้ยว.. ภายในใจร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุมอก คิดแต่ว่าจะต้องไปให้ถึงที่หมายโดยไว ก่อนที่เธอจะอกแตกตายเสียก่อน!

..

..

..

..

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status