แชร์

ตอนที่ 4

วิวาห์(ไม่)ไร้รัก

Writer : Aile'N

ตอนที่ 4

เมื่อทานอาหารเช้าร่วมกับคุณสุรศักดิ์และคุณนาฏยาแล้ว รินลดาก็กลับขึ้นห้องเพื่อแต่งตัวใหม่เป็นชุดนักศึกษาเนื่องจากมีเรียนตอนสิบโมง เมื่อเรียบร้อยก็กลับลงมาไหว้ลาคนทั้งสอง เธอเผื่อเวลาเดินทางไว้มากโขเพราะเมื่อวานได้สังเกตลู่ทางไว้แล้วพบว่าป้ายรอรถประจำทางอยู่ตรงหน้าปากซอย ต้องเดินเท้าออกไปค่อนข้างไกล เธอเตรียมตัวพร้อมทุกอย่างทั้งร่มแบบพกพาไว้กางกันแดดและสวมรองเท้าผ้าใบเพื่อที่จะได้เดินสบายเท้า แต่พอคุณสุรศักดิ์และคุณหญิงรู้เข้าก็พร้อมใจกันรีบเบรกความตั้งใจของเธอ และสั่งให้คนขับรถถอยรถยนต์คันหรูมารับถึงหน้าประตูบ้าน

ร่างบางได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก ครั้นจะแย้งว่าเธอเดินทางไปเรียนเองได้ก็ถูกมือบางของว่าที่แม่สามีดันหลังให้ขึ้นไปนั่งแหมะอยู่บนรถและลุงคนขับรถก็รีบออกตัวอย่างว่องไวราวกับแท็กทีมกันมัดมือชกให้เธอต้องจำยอม..

การเดินทางมามหาวิทยาลัยของรินลดาในวันนี้ดูจะกลายเป็นที่สนใจของผู้คนที่พบเห็นไม่ใช่น้อย เธอไม่ใช่คนดังแต่เพราะรถยนต์สัญชาติอังกฤษราคาแพงที่น้อยคนนักจะกล้าซื้อมาขับกำลังทำให้เธอกลายเป็นจุดเด่น ซ้ำ 'ลุงพร' คนขับรถของคุณท่านทั้งสองยังไม่ยอมจอดให้ลงข้างนอกแต่ขับมาจอดส่งถึงหน้าตึกคณะที่กำลังมีผู้คนพลุกพล่านไม่พอยังย้ำแล้วย้ำอีกว่าตอนเย็นจะมารับ ให้รอที่คณะห้ามหนีกลับก่อน ไม่อย่างนั้นลุงจะถือว่าลุงบกพร่องในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้เป็นเจ้านาย ซึ่งบางทีเธอก็สงสัยนะว่า.. ทำไมคนบ้านนี้ชอบขู่เธอจังเลย เล่นเอาหน้าที่การงานมาอ้างแล้วเธอจะปฏิเสธได้ยังไงกันล่ะ

"หญิง! ใครมาส่งแกอ่ะ? นั่นแอสตันมาร์ตินใช่มั้ยวะ? ทำไมแกนั่งแอสตันมาได้อ่ะ? คันตั้งกี่สิบล้าน! ? "

"รุ่นนี้ฉันรู้จัก! Aston martin v8 vantage ราคาตั้งเกือบสิบเจ็ดล้าน! "

"เชี่ย.. แพงมาก! "

ในขณะที่คนอื่นได้แค่มองอย่างทึ่งๆ ก็มีเพื่อนร่วมสาขาที่ไม่ค่อยสนิทนักพากันกรูเข้ามาถามด้วยความตื่นเต้นระคนอยากรู้อยากเห็น พวกหล่อนทั้งสามคนพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาจนคนถูกถามไม่รู้จะแทรกตรงไหนดี เธอไม่อยากตอบอะไร กลับกันอยากเดินหนีด้วยซ้ำ แต่ทำแบบนั้นไม่ได้นี่สิ.. ถึงจะไม่สนิทกันแต่เธอก็ไม่ได้อยากสร้างศัตรูก่อนเรียนจบหรอกนะ

"ว่าไงหญิง บ้านแกรวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรอ่ะ หรือมีเสี่ยเลี้ยงเหมือนไอ้แบมมันอีกคน" 'ฟิล์ม' เพื่อนคนแรกที่ทักขึ้นมาก่อน ถามจี้ใส่รินลดาอีกครั้ง ไม่พอยังพาดพิงไปถึงเพื่อนอีกคนในสาขาที่มีข่าวลือไม่ค่อยดีว่าหล่อนมีเสี่ยกระเป๋าหนักเลี้ยงดูมาหลายปีด้วยน้ำเสียงอันดัง ไม่เกรงกลัวว่าคนอื่นๆ ที่ได้ยินจะเอาไปพูดต่อเลยสักนิด

"เออนั่นดิ" อีกคนชื่อ 'บี' เร่งเร้าจะเอาคำตอบบ้าง

"ฉันจำได้ว่าบ้านแกขายข้าวแกงนะ แกมีเสี่ยเลี้ยงจริงๆ ใช่มั้ย! ? " คนสุดท้ายชื่อ 'ต้นอ้อ' รู้แค่ชื่อก็พอแล้วล่ะ เธอไม่อยากพูดถึงนิสัยของคนทั้งสามเท่าไร..

"เอ่อ คือ.. เราไม่ได้มีเสี่ยเลี้ยง แค่ไม่อยากพูดถึง ขอตัวก่อนนะ เรารีบ" ร่างบางคิดหาคำตอบดีๆ ให้พวกหล่อนจนหัวหมุน แต่ก็คิดอะไรไม่ออกเลยตัดบทไปแบบนั้นแล้วรีบสาวเท้ายาวๆ จากมา แน่นอนว่าได้ยินเสียงบ่นโวยวายตามหลังสารพัด ไม่แน่ว่าพอไม่ได้คำตอบพวกหล่อนอาจจะเอาเธอไปพูดว่ามีเสี่ยเลี้ยงจริงๆ ก็เป็นได้ ใครๆ ก็รู้ว่าทั้งสามนิสัยเป็นอย่างไร แต่จะให้เธอบอกความจริงยิ่งแล้วใหญ่ เธอไม่อยากพูดถึง.. อีกอย่างพูดหรือไม่พูดก็คงถูกครหาอยู่ดีนั่นแหละ

และก็เป็นอย่างที่คิด.. เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นรินลดาก็กลายเป็นคนดังภายในคณะอย่างรวดเร็ว เธอถูกมองเหมือนเป็นตัวประหลาด บ้างมองเหมือนอิจฉา บ้างก็มองเหมือน.. รังเกียจ เธอไม่อยากคิดแบบนั้นหรอกนะ แต่สายตาที่มองมามันบอกแบบนั้นจริงๆ และที่เป็นแบบนี้ก็คงไม่ต้องเดาให้เสียเวลาหรอกว่าสามคนนั้นเอาเรื่องของเธอไปพูดในทิศทางไหน

ก็แอบจิตตกเหมือนกัน.. แม้จะไม่มีใครเข้ามายุ่งวุ่นวายเหมือนที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เคยมีสายตามองมาที่เธอแบบนี้เลยตลอดสามถึงสี่ปีที่เรียนมาในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แน่นอนว่าคงทำอะไรไม่ได้ แก้ตัวไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเพราะหนึ่งเสียงคงไม่สู้หลายๆ เสียงที่แพร่กระจายไปไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง รู้ดียิ่งกว่าตัวเธอเสียอีก และที่สำคัญ.. หลักฐานที่คนอื่นเห็นว่าเธอมากับรถยนต์คันหรูอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมันเกิดขึ้นจริงๆ เพราะงั้นสิ่งที่ทำได้คืออดทนกับความน่าอึดอัดเหล่านั้นให้ผ่านพ้นไปจนเรียนจบ เธอถึงจะหลุดพ้น..

การเรียนเพียงสองวิชาในวันนี้ดูจะผ่านไปช้ากว่าทุกวัน กว่าจะเลิกคลาสได้รินลดาก็ถูกมองจนหมดสิ้นความเป็นตัวเอง เธอนั่งเกร็งตลอดเวลา เนื้อหาที่อาจารย์บรรยายก็ไม่เข้าหัวเลยสักนิด จิตใจของเธอว้าวุ่นและเป็นกังวลเพราะไม่อาจเมินเฉยกับสายตาคนอื่นได้ง่ายๆ อย่างที่ใจคิด ซ้ำตอนเลิกเรียนลุงพรก็มาจอดรถรออยู่ก่อนแล้ว ยิ่งตอกย้ำข่าวลือเหล่านั้นให้น่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่ เพราะถึงจะเป็นแค่คนขับรถลุงพรก็ไม่ได้แต่งตัวขี้ริ้วขี้เหร่พอจะทำให้คนเข้าใจว่าเป็นแค่คนขับรถได้เลย..

"คุณหนูมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ ทำหน้าเครียดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เล่าให้ลุงฟังได้นะครับ" ลุงพรทักขึ้นด้วยความห่วงใย ลึกๆ แล้วลุงรู้สึกสงสารหญิงสาวจับใจ ที่ไม่กี่วันชีวิตต้องพลิกผันมาถึงขนาดนี้ บางคนอาจจะคิดว่าโชคดีที่ไม่ต้องพยายามอะไรก็ได้มาแต่งงานกับทายาทเศรษฐีหมื่นล้าน ราวกับหนูตกถังข้าวสาร.. แต่เขารับรู้ว่าในแววตาของเด็กคนนี้ไม่ได้มีความดีใจอยู่เลย ที่ยินยอมก็เพราะคำว่า 'บุญคุณ' เท่านั้น คนไม่เต็มใจมาอยู่ในจุดนี้จะต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็น..

"...ที่ผ่านมาหนูนั่งรถเมล์มาเรียนตลอด พอได้นั่งรถยนต์...ก็เลยเกิดข่าวลือแปลกๆ น่ะค่ะ" ร่างบางแอบถอนหายใจเงียบๆ ชั่งใจแต่ก็ยอมปริปากเผื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เธอนั่งรถเมล์มาเรียนเองอย่างที่เคยเป็นมา

"ในทางไม่ดีหรอครับ" ลุงพรถามพลางนึกคิดถึงสิ่งที่หญิงสาวเล่ามา พออีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างซึมๆ ก็ยิ่งเกิดความสงสารมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนรู้จักจะคิดไม่ดีเมื่อเห็นร่างบางนั่งรถหรูไปเรียนทั้งที่แต่ก่อนนั่งแต่รถเมล์ ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ดีพอจะมีเงินซื้อรถคันนี้ได้

"อดทนหน่อยนะครับ เดี๋ยวลุงเรียนคุณท่านให้แก้ข่าวลือให้" ลุงพรให้กำลังใจ แต่คนฟังกลับส่ายหน้าปฏิเสธระรัว

"ไม่เป็นไรค่ะ! ลุงไม่ต้องบอกคุณท่านหรอกนะคะ หนูไม่ได้คิดมากถึงขนาดนั้น เราคงห้ามคำพูดของคนอื่นไม่ได้ แต่เราห้ามตัวเราไม่ให้สนใจได้ หนูไม่อยากให้คุณท่านต้องมารับรู้เรื่องไม่เป็นเรื่อง.." พอได้ยินว่าเรื่องแย่ๆ จะเข้าหูคุณหญิงรินลดาก็รีบเบรกอย่างลนลานเพราะเป็นห่วงสุขภาพร่างกายและจิตใจของคนที่ยังไม่หายป่วยดี

ความห่วงใยที่มีให้กับคุณหญิงทำคนฟังลอบมองคนพูดด้วยความเอ็นดู จนเกิดเป็นความคิดว่าถึงจะช่วยเรื่องแต่งงานไม่ได้ แต่เรื่องอื่นๆ ถ้าอีกฝ่ายต้องการหรือมีปัญหาเขาจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ คนดีควรได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทนนั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง..

"ถึงแล้วครับ จะกลับเมื่อไรก็โทรให้ลุงมารับนะ คุณท่านสั่งไว้" ลุงพรไม่รับปากว่าจะไม่เรียนคุณท่านเรื่องข่าวลือเสียหาย เมื่อรถจอดสนิทลงหน้าตลาดก็เอาผู้มีพระคุณมาอ้าง สั่งกำชับให้ร่างบางรับรู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้ ก่อนปล่อยให้เธอลงไปช่วยพ่อแม่ขายของตามคำขอที่ได้ขอกับคุณท่านทั้งสองไว้

รินลดาพยักหน้ารับอย่างจำยอม พอลงรถมาได้ก็ถอนหายใจทิ้งไปกับเรื่องราวที่ทำให้อึดอัดและลำบากใจมาตลอดทั้งวัน เสร็จก็เรียกกำลังใจให้ตัวเองเพื่อจะได้มีแรงไปช่วยพ่อกับแม่ขายของต่อ ยิ่งเห็นพ่อสุขภาพดีวันดีคืนเธอก็ยิ่งมีกำลังใจในการอดทนใช้ชีวิตในบ้านอินทรเกษมกุลต่อไปอีกนาน เพราะถ้าไม่ได้พวกคุณท่านช่วยไว้ เธอกับแม่คงจะไม่ได้เห็นพ่อยืนอยู่ตรงนี้..

..

..

"จะดีหรอครับที่ยังติดต่อกับคุณเกวลินอยู่ คุณควรให้เกียรติคุณหญิงในฐานะคู่หมั้นนะครับ" น้ำเสียงเรียบนุ่มจาก 'ศรัณ' คนขับรถส่วนตัวเอ่ยขึ้น หลังยืนมองเจ้านายเดินไปส่งอดีตคนรัก (?) ขึ้นรถอย่างมีเยื่อใยลึกซึ้งต่อกัน จนกระทั่งหล่อนลับสายตาไปถึงได้เดินกลับมาขึ้นรถที่จอดอยู่ในช่องวีไอพีสำหรับผู้บริหาร

ศรัณเป็นคนขับรถพ่วงตำแหน่งคนสนิทที่สนิทยิ่งกว่าเลขาหน้าห้อง ไม่งั้นเขาคงไม่กล้าเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของผู้เป็นเจ้านาย และที่พูดก็เพราะขัดใจกับสิ่งที่เห็น การถูกเลี้ยงดูปลูกฝั่งให้เข้มงวดในความถูกต้องทำให้ศรัณไม่สามารถเมินเฉยกับความสัมพันธ์ของวรธันย์และเกวลินในวันนี้ได้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยยุ่งเพราะเจ้านายไม่มีพันธะ จะไปไหนกับใครเมื่อไรแนบชิดกันยังไงก็ได้ แต่ตอนนี้เจ้านายมีคู่หมั้นแล้ว การกระทำเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง!

"ฉันกับเกวลินคบหากันมาก่อนที่เรื่องบ้าๆ นั่นจะเกิดขึ้น ไม่เห็นมีใครถามความยินยอมจากฉัน แล้วทำไมฉันจะต้องให้เกียรติยัยนั่นด้วย! " สิ้นคำถามดวงตาคมกริบก็ตวัดผ่านกระจกมองหลังมามองหนุ่มคนขับรถคนสนิทอย่างไม่พึงพอใจ เสียงต่ำเอ่ยกร้าวด้วยแรงอารมณ์ทำคนฟังต้องยอมสงบปากสงบคำเพราะเกรงว่าถ้าอีกฝ่ายโมโหมากๆ จะเกิดปัญหาตามมา

รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวไปเรื่อยอย่างไม่รีบเร่ง ความจริงแล้วคืออยากรีบแค่ไหนก็รีบไม่ได้ต่างหาก เพราะในยามเย็นของเมืองใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนและรถราพลุกพล่านที่ต่างก็รีบเร่งอยากกลับให้ถึงบ้านโดยไวนั้นรถไม่ติดนิ่งสนิทแบบไม่ขยับเลยก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว..

ในช่วงแยกไฟแดงแห่งหนึ่งบนถนนเส้นหลักที่วรธันย์กำลังมุ่งหน้ากลับสู่คอนโดที่พัก เพราะรถติดนานจนน่าเบื่อร่างสูงจึงเปลี่ยนสายตาจากไอแพดในมือมากวาดมองไปรอบๆ ข้างแทน ซึ่งในความบังเอิญนี้ก็ทำให้เขามองเห็นใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นตา..

หญิงสาวร่างบางหน้าตาสวยหวานในชุดนักศึกษาพอดีตัวทาบทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีสดกำลังก้มหน้าก้มตาช่วยบิดามารดาตักแกงใส่ถุงเพื่อขายให้ลูกค้าที่ยืนต่อคิวซื้อกันอย่างเนืองแน่น เหงื่อเม็ดโตผุดซึมตามไรผมสีอ่อนไหลหยดลงมาตามกรอบหน้าสวยหยดแล้วหยดเล่าจนเปียกชุ่ม บ่งบอกให้รู้ว่าพื้นที่ตรงนั้นทั้งเหนื่อยและร้อนมากเพียงใด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังคงมีรอยยิ้มแจกจ่ายให้กับลูกค้าที่มาอุดหนุนตลอดเวลาราวกับว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

"หึ.. ที่แท้ก็เป็นแค่ลูกแม่ค้าจนๆ มิน่าถึงดูหิวเงินขนาดนั้น! " วรธันย์เหยียดยิ้มเยาะออกมาอย่างดูแคลน ถึงรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าอีกฝ่ายจะดูซื่อๆ ไม่มีพิษภัย แต่คนเราหน้าตากับนิสัยมันคนละอย่างกันนี่ หน้าตาดีแต่นิสัยเสียก็มีให้เห็นถมไป

"ฝันไปเถอะว่าฉันจะแต่ง! " ยิ่งมองก็ยิ่งขัดหูขัดตาทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรให้ แต่คนมันเกลียดไปแล้วทำยังไงก็คงไม่มีทางตาลปัตรไปชอบกันได้ คอยดูเถอะ.. เขาจะทำให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมานจนทนอยู่ในบ้านอินทรเกษมกุลถึงวันแต่งงานไม่ได้เลย!

Truuuu.. Truuuu..

ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดแผนการที่จะเอาไว้กลั่นแกล้งใครคนนั้น โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวก็แผดเสียงเรียกร้องความสนใจขึ้นมา รายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำเจ้าของเครื่องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะกดรับสายอย่างไม่มีทางเลือก

"ครับ พ่อ" วรธันย์กรอกน้ำเสียงเคร่งขรึมเข้าไปตามสายหลังกดรับ ในขณะที่สายตาปราดมองไปยังร้านขายข้าวแกงข้างถนนอีกครั้ง

[กลับมานอนบ้าน พรุ่งนี้และทุกวันแกจะต้องไปรับไปส่งน้องหญิงที่มหาลัย] ผู้เป็นพ่อสั่งรวดเดียวมาตามสาย ทำหัวคิ้วคนฟังแทบจะขมวดชิดกัน ในอกร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้งด้วยอารมณ์โทสะ เพราะนั่นคือคำสั่งไม่ใช่ประโยคบอกเล่าหรือขอร้องใดๆ ทั้งสิ้น

"ทำไมผมจะต้องไปรับไปส่งด้วย! เมื่อก่อนยังไปเองได้ หรือพอรู้ว่าจะมีผัวรวยเข้าหน่อย เป็นง่อยขึ้นมาทันที?] ร่างสูงดูแคลนว่าที่ภรรยาอย่างไม่ไว้หน้าใครแม้กระทั่งผู้เป็นพ่อที่พาอีกฝ่ายเข้ามา ดีที่รถผ่านพ้นไฟแดงตรงตลาดมาแล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่พูดถึงคงจะถูกจ้องจนร่างพรุน

[ฉันสั่ง! แกมีหน้าที่ทำตามก็พอ] บิดาตอบกลับเสียงเรียบ เท่านั้นก็วางสายไป ไม่รอให้ลูกชายได้พูดอะไรผิดหูชวนทะเลาะอีก ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุให้วรธันย์แทบจะเหวี่ยงหมัดใส่กระจกรถด้วยความโมโห เขาโกรธและอึดอัดจนแทบบ้า.. แต่พอคิดว่ามีแผนจะกำจัดรินลดาไว้แล้วก็พอจะคลายความโกรธลงได้บ้าง...เล็กน้อย

"กลับบ้าน.." เสียงต่ำเอ่ยสั่งคนขับรถให้เปลี่ยนทิศทางก่อนเอนพิงเบาะแล้วหลับตาลง สูดหายใจเข้าออกลึกๆ พยายามผ่อนคลายอารมณ์ให้เย็นลงก่อนที่จะเป็นบ้าไปเสียก่อน

..

..

"มันจะไม่เป็นการบีบบังคับลูกเกินไปหรอคะ"

ฝั่งคุณสุรศักดิ์หลังวางสายจากลูกชายก็ถูกผู้เป็นภรรยาเดินมากอดแขนถามด้วยความวิตกกังวล เพราะเรื่องเดิมวรธันย์ไม่ทันจะยอมรับได้ก็มีเรื่องใหม่มาเติมไฟโทสะให้ยิ่งลุกโชนขึ้นไปอีก

"เราต้องทำให้ถูกต้อง ข่าวลือผิดๆ พวกนั้นจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก" ร่างสูงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้ว่าจะยังไม่อยากบีบบังคับอะไรลูกเพิ่มในตอนนี้ แต่ข่าวลือผิดๆ ที่นายพรนำมารายงานก็ทำให้เขาไม่อาจเมินเฉยได้ เพราะในอนาคตอันใกล้รินลดาจะเข้ามาเป็นสะใภ้ในบ้าน ข่าวลือเสียหายถ้าปล่อยไว้นานอาจส่งผลกระทบถึงอนาคตได้ ไหนๆ ก็จะแต่งงานกันแล้วเปิดตัวไว้ตั้งแต่ตอนนี้แหละดี แต่ไม่พอแค่นี้หรอก.. พรุ่งนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อทุกแขนงจะต้องลุกเป็นไฟ!

..

..

..

..

เรื่องนี้ดีทุกคนค่ะ ยกเว้นพระเอกกับตัวร้าย 55555

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status