วิวาห์(ไม่)ไร้รัก
Writer : Aile'N
ตอนที่ 2
ก่อนจะถึงหกโมงเย็นตามนัดที่เจ้าของบ้านบอกไว้รินลดาก็อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดใหม่ที่ถูกซื้อมาแขวนไว้ให้ในตู้เสื้อผ้า ตอนแรกเธอไม่ได้คิดจะหยิบออกมาใส่เลยเพราะมองแค่เผินๆ ก็พอจะเดาราคาได้ว่าต้องแพงมากแน่ๆ เลยกะจะใส่เสื้อผ้าชุดเดิมของตนที่ขนมาจากบ้าน แต่ทว่าเสื้อผ้าของเธอมีแต่ชุดธรรมดาราคาถูก อย่าว่าแต่จะใส่ไปพบหน้าว่าที่สามีเลย ให้ใส่อยู่ในส่วนไหนของบ้านหลังนี้มันก็ดูไม่ได้ทั้งนั้น
สุดท้ายรินลดาก็เลยต้องจำใจหยิบชุดใหม่ที่คุณนาฏยาซื้อให้มาใส่ และเฝ้ารอใครสักคนมาเรียกด้วยความตื่นเต้นชนิดที่ว่านั่งก้นไม่ติดพื้น เทียวลุกเดินไปส่องกระจกบานใหญ่ตรงห้องแต่งตัวซ้ำแล้วซ้ำแล้ว แต่ถึงภาพที่ปรากฏอยู่ในกระจกจะเป็นที่น่าพึงพอใจแค่ไหนเธอก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้เป็นกังวลที่สุดก็คือว่าที่สามี.. ไม่รู้ว่าวรธันย์จะเป็นคนแบบไหน และเขาจะรับได้ไหมถ้ารู้ว่าเธอเป็นแค่ลูกสาวพ่อค้าแม่ค้าธรรมดาๆ เท่านั้น
ก๊อกๆ
"คุณหญิงคะ คุณผู้หญิงให้มาตามค่ะ" เวลาหกโมงเย็นนิดๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่น้ำเสียงสุภาพอ่อนหวานของใครสักคนจะดังตามหลังมา คนฟังรู้สึกจั๊กจี้ที่หัวใจอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยินคำว่า 'คุณหญิง' จากปากคนหน้าห้อง มันช่างไม่ชินหูเอาเสียเลย..
"เอ่อ ค่ะ" ร่างบางตอบรับอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะจัดเสื้อผ้าตัวเองอีกครั้งแล้วเดินไปเปิดประตู
"ดิฉันชื่อน้อม ได้รับมอบหมายจากคุณผู้หญิงให้คอยดูแลคุณหญิงนับจากวันนี้เป็นต้นไป ถ้าขาดเหลือหรือต้องการอะไรเรียกน้อมได้ตลอดเวลาเลยนะคะ" เมื่อพบหน้ากันหญิงวัยกลางคนท่าทางสุภาพอ่อนน้อมสมชื่อก็เอ่ยบอกกับรินลดาด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง
"เอ่อ ค่ะ หนูชื่อหญิง เรียกหญิงเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณหรอกนะคะเพราะหนูอายุน้อยกว่า" ร่างบางบอกเสียงอ่อย เธอไม่ชินเลยกับการต้องถูกคนอายุมากกว่าเรียกแบบให้เกียรติกันขนาดนี้ แค่ต้องคอยมาดูแลเธอระหว่างที่อยู่ที่นี่ก็รู้สึกขอบคุณมากพอแล้ว
"ไม่ได้เด็ดขาดค่ะ คุณหญิงคือคู่หมั้นของคุณธันย์ เท่ากับว่าเป็นเจ้านายของน้อมอีกคน" คนอายุมากกว่าปฏิเสธพร้อมบอกเหตุผล
"แต่.."
"ลงไปข้างล่างกันเถอะค่ะ คุณท่านทั้งสองรออยู่" รินลดากำลังจะแย้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายตัดบทและเดินนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว ราวกับต้องการจะบ่ายเบี่ยงคำพูดของเธอ ไม่พอยังเอาผู้ใหญ่ทั้งสองมาอ้าง แล้วจะทำยังไงได้ล่ะ...นอกจากต้องรีบเดินตามไป
เดินมาถึงห้องนั่งเล่นร่างบางก็เห็นคุณท่านทั้งสองนั่งรออยู่จริงๆ น้อมมาส่งถึงแค่ตรงนี้ก่อนจะหลบฉากออกไป ทิ้งให้เธอยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นเพราะความไม่คุ้นชิน ก่อนที่คุณนาฏยาจะกวักมือเรียกให้ไปนั่งลงข้างกัน
"อีกสักพักพี่เขาคงมา รอหน่อยนะลูก" คุณหญิงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มใจดี เธอมักจะยิ้มและลูบศีรษะของเด็กสาวด้วยความเอ็นดูเสมอ
"ค่ะ" สัมผัสอบอุ่นนั้นทำรินลดายิ่งคิดถึงแม่ทั้งที่เพิ่งจะจากกันมาได้ไม่ถึงวัน
"งั้นเราพาเจ้าหญิงไปเดินดูรอบๆ บ้านรอดีมั้ยคุณหญิง" คุณสุรศักดิ์เอ่ยชวน สรรพนามนั้นทำเอาเจ้าของชื่อรู้สึกแปลกๆ อีกครั้ง ทั้งคุณหญิงทั้งเจ้าหญิงเธอทำตัวไม่ถูกเลยสักชื่อ
"ดีค่ะ.. ป้ะ แม่กับพ่อจะพาทัวร์บ้าน" คุณนาฏยาเห็นดีเห็นงามกับสามี สิ้นคำบอกก็ลุกขึ้นจูงมือบางพาเดินสำรวจบ้านหลังใหม่ที่เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่นับจากวันนี้เป็นต้นไป
"เจ้าธันย์มาแล้ว" เวลาในการทำใจสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นคำพูดของคุณสุรศักดิ์ มีเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านย้ำชัดให้ร่างบางแน่ใจว่าใครคนนั้นมาถึงแล้วจริงๆ
"ไปหาพี่เขากัน ไม่ต้องกลัวนะ" แม่ (ว่าที่) สามีเอ่ยปลอบอีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนโยนที่เคยปลอบประโลมจิตใจของเธอได้ดีตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตอนนี้กลับไม่ได้ผล.. เธอตื่นเต้นและประหม่าจนมือไม้สั่นไปหมด
"มีอะไรกันหรอครับ? " น้ำเสียงทุ้มต่ำจากผู้มาใหม่เอ่ยถามคนเป็นพ่อแม่เมื่อเห็นเดินเข้ามาหาพร้อมหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง
ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าอ่อนใสนั้นตรงๆ จนคนถูกจ้องต้องหลบสายตาหนีเพราะไม่อาจต้านทาน หัวใจดวงเล็กๆ ที่ไม่ประสีประสากับการเผชิญหน้ากับบุรุษเพศที่รู้ทั้งรู้ว่าจะมาเป็นสามีในอนาคตอันใกล้เต้นไม่เป็นส่ำจนน่ากลัวว่าจะหลุดกระเด็นกระดอนออกมาจากอก มโนภาพที่เคยจินตนาการไว้ก่อนจะได้เจอกันปลิวหายวับไปในทันที เพราะผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อคมแต่งตัวภูมิฐานที่ยืนอยู่ตรงหน้าช่างห่างไกลจากจินตนาการเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
"กลับบ้านเร็วก็ดี ฉันมีคนจะแนะนำให้รู้จัก.." ผู้นำครอบครัวบอกเสียงเรียบ โดยคนเป็นภรรยาเองก็ดันหลังร่างบางออกมาเผชิญหน้ากับลูกชายตรงๆ
"เธอชื่อหญิง นับจากวันนี้จะมาเป็นคู่หมั้นของแก"
"อะไรนะครับ!? " วรธันย์ขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ น้ำเสียงและท่าทางแข็งกร้าวของเขาทำรินลดาอกสั่นขวัญหาย หมดสิ้นแล้วความมั่นใจเมื่อถูกดวงตาคมกริบตวัดมาจ้องอย่างไม่พอใจ
"แกได้ยินไม่ผิดหรอกเจ้าธันย์" คุณสุรศักดิ์ยังคงนิ่งเฉยแม้ลูกชายจะแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างรุนแรงจนว่าที่ลูกสะใภ้เริ่มหน้าเสีย
"พ่อทำอย่างนี้ได้ยังไงอ่ะ! เอาใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นคู่หมั้นผมเนี่ยนะ!? " ร่างบางถอยออกมาจากจุดที่ยืนด้วยความหวาดหวั่นเมื่อวรธันย์ชี้หน้าเธอประกอบคำพูดที่พูดกับบิดาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
"ช่วยไม่ได้ ในเมื่อฉันให้โอกาสแกเลือกเมียด้วยตัวเองแล้ว แต่แกก็ไม่สนใจ ฉันก็เลยเลือกให้เสียเลย" คนเป็นพ่อกล่าวอย่างไม่เดือดร้อนใจ ผิดกับผู้เป็นลูกชายที่โกรธจนตัวสั่น
"พ่อจะบ้าหรอ!? นี่มันคลุมถุงชนกันชัดๆ ผมไม่ยอม! ยังไงผมก็ไม่หมั้นหรือแต่งงานกับยัยนี่เด็ดขาด! " เสียงกร้าวตะคอกใส่บิดาด้วยความกรุ่นโกรธ ปลายนิ้วเรียวยาวตวัดชี้มาที่รินลดาพร้อมมองด้วยสายตาเหยียดๆ มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องถูกพ่อแม่จ้างมาบีบบังคับเขาอย่างแน่นอน!
"ก็ได้นะ.. แต่มรดกของฉันทั้งหมดจะตกเป็นของเจ้าหญิงสามสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์จะเป็นของการกุศลทั้งหมด! นอกจากแกจะไม่ได้สักบาทแล้วแกยังจะถูกเด้งออกจากตำแหน่งประธานบริษัทอินทรเกษมกุลด้วย! " ไม้ตายที่ถูกปิดเงียบไว้ถูกเปิดเผยตามความตั้งใจเมื่อเจ้าลูกชายหัวรั้นไม่ยอมรับหญิงสาวที่พ่อแม่หามาให้ คุณสุรศักดิ์รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงวรธันย์ก็ต้องไม่ยอมแน่ เขาจึงเตรียมแผนการสำรองนี้ไว้และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าลูกชายจะต้องยอมจำนนท์แต่โดยดี!
"พ่อ!!? " ร่างสูงตวาดใส่บิดาอย่างไม่เกรงกลัวในบาปกรรม เขาโกรธจนหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินว่าจะถูกเขี่ยทิ้งจากกองมรดก ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่พ่อพามายังจะได้ส่วนแบ่งจากส่วนที่สมควรจะเป็นของเขาตั้งสามสิบเปอร์เซ็นต์!
รินลดากลับมายืนตัวลีบข้างคุณนาฏยาอีกครั้งเมื่อถูกกดดันจากสายตาโกรธแค้นของคนตัวใหญ่ ได้แต่แย้งอีกฝ่ายอยู่ในใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด เรื่องมรดกเธอเองก็ตกใจไม่ต่างกันเพราะเพิ่งจะรู้พร้อมกับเขาในวันนี้ ไม่ไหวแน่.. ความประทับใจแรกพบติดลบอย่างเลวร้าย แล้วแบบนี้อนาคตของเธอกับเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป มันคงไม่ราบรื่นแน่เธอมั่นใจ!
"ฉันให้เวลาแกตัดสินใจหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าฉันต้องได้คำตอบว่าแกจะยอมทิ้งทุกอย่างหรือยอมแต่งงานกับเจ้าหญิงและมีหลานให้ฉัน แน่นอนว่าถ้าแกยอมแต่งมรดกทุกอย่างของฉันจะยังคงเป็นของแกร้อยเปอร์เซ็นต์! " คุณสุรศักดิ์ยังคงยัดเยียดข้อเสนอที่เหมือนเป็นการบีบบังคับให้ลูกชายอย่างไม่ลดละ และก็มั่นใจด้วยว่าครั้งนี้วรธันย์จะไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างแน่นอน!
"พ่อ! นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรอครับ.."
"พรุ่งนี้ฉันต้องได้คำตอบ ตอนนี้ไปกินข้าวได้แล้ว" บิดาตัดบทเสียงเรียบ และสายตาที่มองมาก็มีความหมายว่าจะต้องเห็นเขาร่วมโต๊ะอาหารค่ำในวันนี้ ก็เลยจำต้องไป..
โต๊ะอาหารในวันนี้ถูกจัดให้นั่งเป็นคู่ๆ พ่อกับแม่และวรธันย์กับรินลดา เธอรู้สึกตลอดว่าถูกร่างสูงจ้องมองมาแบบไม่พอใจหลายต่อหลายครั้ง มันทั้งอึดอัดและลำบากใจจนเธอคิดอยากจะหนีไปให้ไกลจากที่ตรงนี้ แต่ก็ได้แค่คิดเพราะคำว่าบุญคุณมันค้ำคออยู่ตลอด
"ถ้าแกจะโกรธแกมาโกรธฉันคนเดียว เพราะความคิดทุกอย่างมันเป็นของฉัน" คุณสุรศักดิ์ขัดขึ้นมานิ่งๆ เมื่อเห็นลูกชายตัวดีคุกคามว่าที่ลูกสะใภ้ทางสายตาจนเธอนั่งคอตกห่อตัวหลบหนีรังสีอันตรายจากเขา
"พ่อต้องโดนยัยนี่ล้างสมองแน่ๆ นี่คงเข้ามาเพราะหวังเงิน" ทั้งคำพูดและสายตาของวรธันย์ถูกแคลนรินลดาอย่างไม่ปกปิด
"ตาธันย์! " คุณนาฏยาเริ่มมีปากเสียงขึ้นมาบ้างหลังจากปล่อยให้สองพ่อลูกปะทะคารมกันยกใหญ่ แต่ครั้งนี้เธอทนอยู่เฉยให้ลูกชายว่าร้ายร่างบางไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ความจริง!
"ฉันไม่ได้ถูกใครล้างสมอง แต่แกต่างหากที่เป็นคนบีบบังคับฉันให้ต้องทำแบบนี้ ถ้าจะโทษก็จงโทษตัวเอง และอย่าให้ฉันรู้ว่าแกไประรานเจ้าหญิงนะ ฉันสำเร็จโทษแกแน่! " บิดาคาดโทษเสียงเข้ม ทำคนฟังชักสีหน้า หายใจฟึดฟัดด้วยความไม่พอใจ เพราะถูกบีบจนทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
"อิ่มแล้วหรอตาธันย์" ทานข้าวได้ไม่กี่คำวรธันย์ก็รวบช้อนส้อม ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม และดันตัวลุกขึ้นยืนแบบไม่สนใจคำว่ามารยาท
"กินไม่ลงครับ! " บอกแม่เพียงเท่านั้นเขาก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว รินลดาได้แต่มองตามไปอย่างเครียดๆ สถานการณ์มันชวนให้เธอรู้สึกไม่อยากอาหารตามไปด้วยทั้งที่กับข้าวมากมายบนโต๊ะมีแต่ของดีๆ ที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้ทานอีกหรือเปล่า
"มันเป็นแบบนี้แหละ คิดว่าจะทนได้มั้ยหื้ม" ไล่หลังลูกชายไปคุณสุรศักดิ์ก็เอ่ยถามร่างบางพลางถอนหายใจด้วยความหนักอกหนักใจ เพราะดูก็รู้ว่าเด็กสาวหวาดกลัวเจ้าลูกชายของเขาขนาดไหน กลัวจะยอมแพ้ไปเสียก่อนจะได้แต่ง
"เอ่อ.. หนูจะพยายามค่ะ" เอาตรงๆ เธอก็ไม่รู้หรอกว่าจะทนได้ไหม แต่ยังไงก็ต้องอดทนและพยายามให้ถึงที่สุด แม้ลึกๆ จะอยากถอนตัวใจแทบขาด แต่บุญคุณมหาศาลมันค้ำคอจนไม่กล้าพูดออกไป
คำตอบที่ได้ยินทำสองสามีภรรยารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ภายนอกรินลดาดูเป็นเด็กเรียบร้อย แม้จะแสดงออกชัดว่ากลัววรธันย์ขนาดไหน แต่ก็ไม่ยอมถอดใจง่ายๆ ทั้งที่จะทำก็ทำได้เพราะพวกเขาไม่ได้บังคับ เธอจะถอนตัวตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ยังได้ พวกเขาก็แค่เสียดายนิดหน่อยเท่านั้น..
"หนูต้องอดทนให้มากๆ นะลูก พี่เขาพูดอะไรไม่ดีก็อย่าเก็บมาใส่ใจ แรกๆ อาจจะทุลักทุเลไปสักหน่อย แต่นานไปแม่เชื่อว่าตาธันย์จะต้องหลงเสน่ห์หนูอย่างแน่นอน! " คนฟังยิ้มเจื่อนกับคำเยินยอเกินความเป็นจริงของว่าที่แม่สามี เธอไม่มีความมั่นใจอะไรแบบนั้นเลยสักนิด แค่สู้สายตาเขาก็ยังไม่กล้า..
ทั้งสามคนนั่งทานข้าวต่อกันจนอิ่ม ร่างบางอาสาจัดยาให้คนป่วยทานหลังอาหารแล้วพากันไปนั่งดูทีวีร่วมกันในห้องนั่งเล่นเพื่อรออาหารย่อย ก่อนจะตามไปส่งทั้งคู่ที่ห้องเมื่อได้เวลาเข้านอน
"ฝันดีนะคะ.. คุณพ่อคุณแม่.." เสียงหวานเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มให้
"ฝันดีจ้ะ อดทนหน่อยนะลูก" คุณนาฏยายิ้มรับ ก่อนให้กำลังใจพร้อมกับเอื้อมมือมาลูบแก้มใสอย่างเอ็นดู คนฟังพยักหน้ารับนิดๆ ยืนส่งทั้งสองคนเข้าห้องไปจนประตูปิดลงก็เดินกลับมาที่ห้องตัวเอง..
เสียงถอนหายใจดังขึ้นหลังสิ้นเสียงปิดประตูห้อง แม้จะคาดการณ์ไว้แล้วแต่พอได้เจอหน้ากันจริงๆ วรธันย์ดูโมโหร้ายกว่าที่คิดไว้มากจนมองไม่เห็นหนทางที่ชีวิตหลังแต่งงานของเธอจะราบรื่น ยิ่งคุณสุรศักดิ์เอาเรื่องมรดกมาบีบบังคับเขาก็ยิ่งโกรธจัด ดวงตาวาวโรจน์ที่มองมา เธอยังจำมันได้ดี.. ไม่อยากจะคิดเลยว่าชีวิตของเธอต่อจากนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำคนในห้องสะดุ้งไหวด้วยความตกใจ ตากลมจับจ้องไปที่ประตูอย่างสงสัย แต่นั่งเพ่งยังไงความสงสัยก็คงไม่กระจ่างเธอจึงลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตู.. หัวใจดวงน้อยๆ หล่นตุ้บไปอยู่ปลายเท้าในวินาทีแรกที่เห็นร่างสูงใหญ่ยืนทำหน้าทะมึนอยู่ตรงหน้า ไม่ทันได้ถามอะไรรินลดาก็ถูกอีกฝ่ายดันเข้ามาข้างในตามด้วยตัวเขาแล้วปิดล็อกประตูไว้อย่างแน่นหนา
"เท่าไร! " ผู้บุกรุกเอ่ยถามเสียงห้วน สร้างความมึนงงให้กับคนฟังเป็นอย่างมากเพราะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
"คะ? "
"เธอจะเอาเท่าไหร่ แลกกับการออกไปจากบ้านหลังนี้! "
"........"
"พ่อฉันจ้างเธอมาเท่าไหร่ ฉันให้มากกว่าสามเท่าเลย! "
"...ฉันไม่รับค่ะ" รินลดาถึงกับหน้าชาเมื่อร่างสูงขยายความเพิ่ม ปฏิเสธได้ไม่เต็มปากนักว่าพ่อเขาไม่ได้จ้างเธอมา เธอเหมือนถูกจ้างทางอ้อมเพราะพ่อของเขาเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลของพ่อเธอทั้งหมดแล้วยื่นข้อเสนอเรื่องแต่งงานมาให้ เธอปฏิเสธไม่ลงเพราะบุญคุณครั้งนี้มันมากมายมหาศาล ถ้าไม่ได้พ่อของเขาช่วยไว้ครอบครัวเธอคงแย่
"อะไร สามเท่ายังไม่พออีกหรือไง อยากได้เพิ่ม? " วรธันย์ยังคงไม่ยอมแพ้ ใบหน้าหล่อเคร่งเครียดหนักเมื่อข้อเสนอดีๆ ที่คิดมาถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
"ต่อให้คุณจะให้ฉันเท่าไร ฉันก็ไม่รับทั้งนั้นแหละค่ะ" คำพูดดูแคลนจากเขาทำคนฟังรู้สึกไม่พอใจถึงขั้นเริ่มจะหมดความอดทน เพราะถึงเธอจะจนแต่เธอก็ไม่เคยหวังเงินจากใคร เว้นเสียแต่ว่ามันจำเป็นอย่างกรณีของพ่อ..
"หึ ไม่ต้องสร้างภาพว่าเป็นคนดีหรอกน่า ฉันรู้.. ว่าเธอมาที่นี่เพราะอะไร ฉันยินดีจ่ายถ้าเธอยอมว่าง่าย" คราวนี้ไม่เพียงแต่คำพูด ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มเยาะแสดงออกชัดว่าคนพูดกำลังดูถูกดูแคลน สายตาก็เหมือนจะรังเกียจเธอจนปิดไม่มิด
"ฉันไม่รับค่ะ! " ความโกรธทำรินลดาเผลอขึ้นเสียงห้วนใส่อีกคนบ้าง ทั้งที่ปกติแล้วเธอไม่เคยพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้เลยสักครั้ง ไม่ว่าคู่สนทนาจะอายุน้อยหรือมากกว่า แต่ในกรณีของเขาคงต้องยกเว้น!
"หึ.. พ่อฉันคงให้เธอเยอะสินะ" ร่างสูงเหยียดยิ้มเยาะ ยิ่งพูดสายตาที่มองคนฟังก็ยิ่งมีแต่ความเกลียดชัง
"เยอะจนคุณคาดไม่ถึงเลยล่ะค่ะ ต่อให้คุณทุ่มจนหมดตัวก็ยังไม่ถึงครึ่งกับสิ่งที่คุณพ่อของคุณมอบให้ฉันกับครอบครัว.." ร่างบางบอกเสียงอ่อน แววตาไหวระริกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่พ่อล้มพับไปต่อหน้าต่อตา บุญคุณครั้งนี้ของคุณสุรศักดิ์จึงมากมายจนไม่มีอะไรมาเทียบได้
"เหอะ นี่ยอมรับแล้วสินะว่าหวังเงินจากพ่อฉัน" คนฟังดวงตาวาวโรจน์ ด้วยฝังใจแต่จะคิดว่าอีกฝ่ายเข้ามาเพราะหวังเงินเลยไม่อาจเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปได้
"เฮ้อ.. แล้วแต่คุณจะคิดเถอะค่ะ" รินลดาถอนหายใจอย่างปลงตก เธอเหนื่อยที่จะต้องพูดกับคนที่ไม่ยอมรับฟังอะไรอย่างวรธันย์เต็มที ไม่ว่าจะพยายามอธิบายยังไงก็คงเหมือนแก้ตัว เลยปล่อยให้เขาเข้าใจไปในแบบที่เขาอยากจะเข้าใจ
"ปากดี! คอยดูเถอะ.. ฉันจะทำให้ทุกคนเห็นธาตุแท้ของเธอ" เสียงต่ำขู่คำรามในลำคออย่างเดือดดาลเมื่อเห็นร่างบางถอนหายใจใส่ ไม่พอยังมองมาที่เขาด้วยสายตาเอือมระอาอย่างที่ไม่เคยมีใครทำ!
"คุณทำเหมือนรู้จักฉันดีจังเลยนะคะ ทั้งที่ความจริงแล้ว ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง! " เสียงห้วนเถียงกลับไปอย่างเหลืออด เพราะเธอทนให้อีกฝ่ายดูถูกเหยียดหยามมามากเกินไปแล้ว เธอไม่ได้ทำอย่างที่เขากล่าวหาเลยทนเฉยให้เขาดูถูกไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก
"ใครจะไปอยากรู้จักยัยผู้หญิงหน้าเงินอย่างเธอเล่า ให้ฟรีฉันยังไม่สนใจเลย! " ถ้อยคำปรามาสยังคงทิ่มแทงใส่คนฟังไม่หยุด ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหเพราะเขาทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ คนถูกว่าเองจากที่มีอาการหวาดกลัวในตอนแรกก็เริ่มจะไม่กลัวอีกต่อไป!
"เรื่องของคุณเถอะค่ะ แต่ขอสรุปให้ฟังอีกครั้งว่าฉันไม่รับข้อเสนอของคุณ คนที่จะทำให้ฉันออกไปจากบ้านหลังนี้ได้มีแค่คุณท่านทั้งสองเท่านั้น หมดธุระแล้วก็เชิญค่ะ ฉันจะนอน" รินลดาตัดบท เพราะคุยต่อก็คงจะไม่ได้อะไรในเมื่อมีแต่คำดูถูกเหยียดหยาม
"เธอ!! " ท่าทางที่ทำเหมือนรำคาญเขาเต็มทียิ่งทำวรธันย์โกรธจนร้อนรุ่มราวกับมีกองไฟสุมอก การกำจัดคนตรงหน้าดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด!
"อยู่นานฉันฟ้องพ่อคุณนะ ว่าคุณมาระรานฉัน" ร่างบางจำต้องขู่เมื่อท่าทางของคนตัวสูงเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกขณะ คำพูดเหยียดหยามเธอพอจะทนได้แต่กลัวถูกทำร้ายมากกว่า
"กรอดด.." คนถูกไล่กัดฟันกรอดจนสันกรามนูนเด่น ทั้งโกรธทั้งเกลียดแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องถอยออกไปก่อน
รินลดาทรุดนั่งลงกับเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรงหลังประตูปิดลง มือเล็กยกขึ้นกุมอกเพราะก้อนเนื้อด้านในกำลังสั่นระรัว ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าปะทะคารมกับเขา ตายๆ โกรธขนาดนั้นคงไม่มีทางญาติดีกันได้แน่ๆ
..
..
..
..
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 3"เฮ้ยๆ ใจเย็นไอ้เสือ มึงจะเมาตั้งแต่สองทุ่มไม่ได้นะเว้ย"'ภาค' หนุ่มตำรวจจากกรมสืบสวนคดีพิเศษหรือที่เรียกสั้นๆ ว่าดีเอสไอทักขึ้นเสียงหลง เมื่อเห็นเพื่อนสนิทที่กอดคอถือหาง (?) กันมาตั้งแต่สมัยเรียน ม.ต้น ยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นดื่มเอาๆ ราวกับอดอยากปากแห้งมานมนานทั้งที่คนอย่าง 'วรธันย์ อินทรเกษมกุล' ทายาทจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง 'อินทรเกษมกุล กรุ๊ป' ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟแวร์อันดับหนึ่งของประเทศไม่น่าจะห่างหายจากเรื่องพวกนี้ได้"เออ เป็นไรวะ มาถึงก็ดื่มเอาๆ หน้าบูดเหมือนตูดไอ้อ้วนเลยเนี่ย"'อาทิตย์' คู่หูรวมอาชีพของภาคผสมโรงมองงงใส่ร่างสูงอีกคน ต่างกันตรงที่เขาถูกเจ้าตัวตวัดตามองเคืองใส่หลังพูดจบเพราะดันไปเปรียบเทียบหน้าคนกับก้นหมาที่บ้านใส่กัน แต่เขาก็ได้ใส่ใจสายตาเชือดเฉือนคู่นั้น แถมยิ้มเย้ยกลับไปอีกต่างหาก"มึงก็พูดไป กูว่าตูดไอ้อ้วนยังดูดีกว่าหน้าไอ้ธันย์ตอนนี้เลยว่ะ ฮ่าๆ " ภาคแย้งขึ้น อดไม่ได้ต้องระเบิดหัวเราะร่าไปทีเพราะชอบอกชอบใจกับคำเปรียบเปรยของตนเอง ไม่ต่างจากอาทิตย์ที่รีบยกมือขึ้นแท็คทีมกันอย่างออกนอกหน้า แล้วก็พากันขำเอิ้กอ้ากต่อไป ฝ่ายจำเ
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 4เมื่อทานอาหารเช้าร่วมกับคุณสุรศักดิ์และคุณนาฏยาแล้ว รินลดาก็กลับขึ้นห้องเพื่อแต่งตัวใหม่เป็นชุดนักศึกษาเนื่องจากมีเรียนตอนสิบโมง เมื่อเรียบร้อยก็กลับลงมาไหว้ลาคนทั้งสอง เธอเผื่อเวลาเดินทางไว้มากโขเพราะเมื่อวานได้สังเกตลู่ทางไว้แล้วพบว่าป้ายรอรถประจำทางอยู่ตรงหน้าปากซอย ต้องเดินเท้าออกไปค่อนข้างไกล เธอเตรียมตัวพร้อมทุกอย่างทั้งร่มแบบพกพาไว้กางกันแดดและสวมรองเท้าผ้าใบเพื่อที่จะได้เดินสบายเท้า แต่พอคุณสุรศักดิ์และคุณหญิงรู้เข้าก็พร้อมใจกันรีบเบรกความตั้งใจของเธอ และสั่งให้คนขับรถถอยรถยนต์คันหรูมารับถึงหน้าประตูบ้านร่างบางได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก ครั้นจะแย้งว่าเธอเดินทางไปเรียนเองได้ก็ถูกมือบางของว่าที่แม่สามีดันหลังให้ขึ้นไปนั่งแหมะอยู่บนรถและลุงคนขับรถก็รีบออกตัวอย่างว่องไวราวกับแท็กทีมกันมัดมือชกให้เธอต้องจำยอม..การเดินทางมามหาวิทยาลัยของรินลดาในวันนี้ดูจะกลายเป็นที่สนใจของผู้คนที่พบเห็นไม่ใช่น้อย เธอไม่ใช่คนดังแต่เพราะรถยนต์สัญชาติอังกฤษราคาแพงที่น้อยคนนักจะกล้าซื้อมาขับกำลังทำให้เธอกลายเป็นจุดเด่น ซ้ำ 'ลุงพร' คนขับรถของคุณท่านทั้งสองยังไม
วิวาห์(ไม่)ไร้รัก Writer : Aile'N ตอนที่ 5 "กลับมาแล้วหรอลูก"กว่าจะช่วยพ่อกับแม่ขายของรวมเก็บร้านจนเสร็จและเดินทางกลับมาถึงบ้านอินทรเกษมกุลก็ปาไปสามทุ่มกว่าจวนจะสี่ทุ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่คนที่กำลังเดินลากเท้าด้วยความเหนื่อยล้ากลับต้องแปลกใจที่ภายในบ้านอันเงียบสงบมีร่างหนึ่งของสตรีวัยกลางคนกำลังนั่งรอการกลับมาของเธออยู่ที่โซฟารับแขก"คุณหญิง...เอ่อ คุณแม่ทำไมยังไม่เข้านอนอีกล่ะคะ" เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเดินเข้ามาหาคนถามก็รีบสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหาอย่างรีบร้อนเสียเอง"ยังจ้ะ แม่แค่รู้สึก...เป็นห่วงหนูนิดหน่อยน่ะ กลับมืดค่ำ แล้วดูสิเนี่ย เหนื่อยมากเลยใช่มั้ยหื้ม? " คุณหญิงนาฏยายกยิ้มอ่อนพลางเอื้อมมือมาลูบแก้มใสแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยมองสำรวจร่างกายบางๆ นั้นอย่างละเอียด ยิ่งเห็นเด็กสาวมีท่าทีเหนื่อยล้าเธอก็ยิ่งสงสารและเห็นใจ วันนี้อากาศดูจะร้อนกว่าทุกวันอีกฝ่ายเลยเหงื่อโทรมกายเสียขนาดนี้"นิดหน่อยค่ะ แต่หนูชินแล้ว" ร่างบางยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เพราะถึงจะเหนื่อยก็เหนื่อยเพราะทำเพื่อพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งกว่าที่ท่านทั้งสองจะเลี้ยงดูให้เธอเติบโตมาได้ถึงยี่สิบก
วิวาห์(ไม่)ไร้รัก Writer : Aile'N ตอนที่ 6"หลีกไป ฉันจะเข้า! "ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เกวลินมา 'พิมผกา' ผู้เป็นเลขาของท่านประธานก็ไม่สามารถรั้งหล่อนให้หยุดรอหน้าห้องได้เลยสักครั้ง เช่นเดียวกับวันนี้ที่เจ้าหล่อนไม่รู้ไปกินรังแตนมาจากไหนถึงได้เดินหน้าบึ้งมาแต่ไกล มาถึงก็ใช้แรงไม่น้อยผลักเธอออกไปให้พ้นทางจนเสียหลักล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้นด้วยตั้งตัวไม่ทัน ไม่แม้แต่จะชายตามองให้เสียเวลาร่างเพรียวนั้นก็กระชากประตูห้องท่านประธานเปิดออกและปิดเสียงดังจนเจ้าของห้องที่นั่งทำงานอยู่ยังสะดุ้งด้วยความตกใจ นัยน์ตาคมปราดมองผู้บุกรุกอย่างไม่พอใจ กำลังจะเอ่ยปากตักเตือนก็เป็นอันต้องเงียบไปเมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย"นี่มันหมายความว่ายังไงคะธันย์! ? " น้ำเสียงเล็กแหลมตะคอกถามพร้อมกับยื่นโทรศัพท์เครื่องหรูที่กำแน่นมาตลอดทางไปให้ร่างสูงดูจนเกือบจะกระแทกหน้า"คุณไปแอบมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไรคะ แล้วเกวล่ะ คุณเห็นเกวเป็นอะไร! " ร่างเพรียวเอ่ยตัดพ้อเสียงเครือแสร้งน้ำตาคลอในขณะที่ดวงตาคมยังคงไล่อ่านเนื้อหาที่อยู่บนหน้าจอโดยไม่พูดอะไร เมื่ออ่านจบก็พลันนิ่งไปนิด..ปกติข่าวพวกซุบซิบนินทาดาราคนดังเทือกนี้วรธ
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nบทนำ"เมื่อไหร่แกจะแต่งงานฮะเจ้าธันย์ จะให้ฉันต้องถามไปจนถึงเมื่อไหร่" ทันทีที่เห็นลูกชายเพียงคนเดียวเดินเข้าบ้านมาเสียงผู้นำครอบครัวก็ขัดจังหวะการก้าวเดินของร่างสูงนั้นให้หยุดชะงัก"แล้วเมื่อไหร่พ่อจะเลิกบังคับผมเรื่องแต่งงานสักทีครับ อยากแต่งเมื่อไหร่เดี๋ยวผมก็แต่งเองนั่นแหละ" ร่างแกร่งหยุดเผชิญหน้ากับบิดาอย่างจำใจ ใบหน้าคมที่เคยมีร่องรอยของอารมณ์สุนทรีย์เลือนหายไปตั้งแต่ได้ยินเสียงทัก เหลือไว้แต่เพียงความยุ่งเหยิง เพราะคนเป็นพ่อเอาแต่พูดเรื่องเดิมซ้ำๆ แทบจะทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา"แล้วมันเมื่อไหร่? แม่แกจะตายวันตายพรุ่งเคยโผล่หัวไปดูบ้างมั้ย ฉันอุตส่าห์ปล่อยให้แกเลือกเมียได้ตามใจแล้วนะ อย่าให้ต้องบังคับ! ""ขู่ตลอดอ่ะ ก็ให้เวลาผมหน่อยดิ เมียดีๆ ใช่จะหาได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่" วรธันย์ถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินคำขู่นับครั้งไม่ถ้วน เริ่มตั้งแต่เขาอายุย่างเข้าเลขสามจนตอนนี้สามสิบห้าปีเข้าไปแล้ว ก็นับว่าได้ยินมาตลอดห้าปี ตอนนี้เลยเบื่อที่จะฟังเต็มที"แกไม่หาเองมากกว่ามั้ง ฉันให้เวลาแกมามากพอแล้ว ภายในเดือนนี้ถ้ายังเอ้อระเหยอยู่แบบนี้ ฉันนี
วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 1"คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่หมอต้องขอดูอาการอย่างใกล้ชิดอีกสักวันสองวัน ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนก็ย้ายไปห้องพักฟื้นปกติได้" เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง.. ในที่สุดคนรอก็ได้รับข่าวดีอย่างที่ใจหวัง ทำเอาเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่รีบเข้าไปยกมือไหว้คนที่ช่วยชีวิตบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเธอเสียยกใหญ่"ขอบคุณค่ะคุณหมอ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ""คนที่พวกคุณควรขอบคุณไม่ใช่หมอหรอกครับ ขอตัวก่อนนะครับ" คุณหมอบอกก่อนยกยิ้มบางๆ ขณะมองไปที่ชายอีกคนที่ยังไม่หนีไปไหน อยู่ติดตามอาการคนป่วยจนการผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเมื่อหมดหน้าที่บุรุษชุดกาวน์ก็ขอตัวออกไป สองแม่ลูกจึงตั้งสติและพากันเดินมาหาผู้มีพระคุณด้วยความตื้นตันใจ ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกัน ค่าผ่าตัดก็ไม่ใช่ถูกๆ แต่ใครคนนั้นก็ยังยอมช่วยเหลือทุกสิ่งอย่างจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงหมดในชาตินี้"คุณคะ.. ฉันกับลูกขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยพวกเราไว้ ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลยแท้ๆ แต่คุณช่วยพวกเราถึงขนาดนี้ ฉันกับลูกซาบซึ้งมากจนไม่รู้จะตอบแทนยังไง มีอะไรที่พวกเราจะตอบแทนได้บ้างมั้ยคะ พวกเรายินดี" อรนภาพูดขณะยกมือไหว้ร่างสูงนั้นทั้งน้ำตานองหน้