”ทำไมลูกต้องช่วยมันพูดด้วย นี่ลูกกำลังโกหกแม่อยู่ใช่ไหม?” เจี่ยงหลานถาม“ไม่ว่าแม่จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่นี่คือความจริงค่ะ แม่คิดว่าหนูสามารถเอาเงินมาจากบริษัทได้มากมายขนาดนี้เหรอคะ แม่คิดว่าคุณย่าจะปล่อยให้หนูยักยอกเงินของบริษัทเหรอคะ?” ซูหยิงเซี่ยพูดเสียงเย็นด้วยสีหน้าเฉยเมย“พ่อคะ พ่อคิดว่าถ้าหนูยักยอกเงินจากบริษัทมากกว่าหนึ่งล้านหยวน คุณย่าจะไม่ตรวจสอบหาความจริงเหรอคะ?” ซูหยิงเซี่ยถามพ่อของเธอซูกั๋วเย่ารู้ดีว่าหญิงชราของตระกูลซูเป็นคนอย่างไร เธอเป็นคนตรวจสอบบัญชีด้วยตัวเอง หากพบเจอปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เธอก็อาจจะไม่พูดอะไร แต่จำนวนเงินที่มากกว่าหนึ่งล้านหยวน เธอไม่มีทางยอมปล่อยผ่านไปได้แน่อีกทั้งซูหยิงเซี่ยเพิ่งได้เป็นหัวหน้าโครงการได้ไม่นาน จะสามารถนำเงินออกมาได้มากกว่าหนึ่งล้านหยวน มันดูเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะเป็นไปได้สักเท่าไหร่“ก็…” ซูกั๋วเย่าลังเลและพูดไม่ออกซูหยิงเซี่ยมองไปที่หานซานเฉียนและพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พ่อจะได้ขับรถออดี้เหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจะเอาเงินสองแสนหยวนมาจากไหนให้คุณลุงยืม ทุกคนคิดว่านี่เป็นความดีความชอบของหนูเหรอคะ?”เจี่ยงหลานตกตะลึงจนพูดอะไรไม่อ
คำพูดของซูกั๋วเย่าเป็นเหมือนน้ำเย็นที่ราดลงบนหัวของเจี่ยงหลาน และทำให้เธอสงบลงทันที ในหัวของเธอนึกภาพว่าหานซานเฉียนเป็นคุณชายใหญ่คนหนึ่ง ถูกทำลายลงอย่างไร้ความปราณี“อีกอย่าง คุณลองคิดดูถ้าเขารวยจริง เขาจะซื้อบ้านมือสองทำไม เพราะว่ารถสองคันคงทำให้เขาหมดตัวแล้วยังไงล่ะ” ซูกั๋วเย่ารีบพูดต่อทันทีเจี่ยงหลานเปลี่ยนเป็นท่าทีเย็นชาอีกครั้ง ถ้าหานซานเฉียนรวยจริง มันก็พอคุยกันได้ แต่ถ้าเขาเป็นพวกคนจน ทัศนคติของเธอที่มีต่อเขาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม“ในเมื่อไม่มีเงินยังกล้าไม่เคารพฉัน มันคิดว่ามันเป็นใคร” เจี่ยงหลานพูดเสียงเย็น ซูกั๋วเย่าทำได้แค่เพียงถอนหายใจกับการเปลี่ยนสีหน้าที่รวดเร็วของเจี่ยงหลาน เขาคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขามีนามสกุลซู เจี่ยงหลานก็คงไม่แต่งงานกับเขา ในเรื่องการบูชาเงินของเจี่ยงหลาน เขานั้นรู้ดีกว่าใคร ผู้หญิงคนนี้เลือกคบเฉพาะคนรวยเท่านั้น“คุณเก็บอารมณ์ไว้หน่อย ไม่ว่ายังไงรถที่ผมขับอยู่ตอนนี้เขาก็เป็นคนซื้อ และคุณก็ยังนั่งด้วยเหมือนกัน” ซูกั๋วเย่าพูดเตือนออกมาเจี่ยงหลานถลึงตาใส่ซูกั๋วเย่าและพูดว่า “คุณมีสิทธิ์มาสั่งสอนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ มันกินดื่มในบ้านเรามาตั้งสามปี
“รอพวกพี่มีน้องชาย แล้วผมจะปกป้องเขาเหมือนที่พี่ชายปกป้องผม” จางเทียนซินยกกำปั้นขึ้นและพูดออกมา ถึงแม้ว่าสติปัญญาของเขาจะพัฒนาไม่ทันอายุ แต่หัวใจอันบริสุทธ์นั้นกลับจักรู้บุญคุณ หานซานเฉียนปกป้องเขา และเขาก็รู้ว่าตัวเองควรจะตอบแทนหานซานเฉียนอย่างไรหานซานเฉียนมองไปที่จางเทียนซินด้วยความประหลาดใจ และหันไปพูดกับจางหลิงฮวาว่า “ความคิดของเทียนซินนั้นค่อนข้างชัดเจนทีเดียวนะครับ”จางหลิงฮวาพยักหน้าและอธิบายว่า “เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่อายุเท่านี้ สติปัญญาของเขาด้อยกว่ามาก ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมพูดด้วยซ้ำ แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ฉันเล่าเรื่องและสิ่งต่าง ๆ ให้เขาฟังทุกวัน เขาจึงค่อย ๆ เรียนรู้ถึงหลักเหตุและผล”หานซานเฉียนพยักหน้า จางหลิงฮวารับผิดชอบดูแลบ้าน และยังต้องดูและสภาพจิตใจของจางเทียนซิน ไม่แปลกใจเลยที่ชีวิตของเธอจะยากลำบาก เพราะเธอไม่มีเวลามากพอที่จะหาเงินได้“หลังจากที่คุณน้าอาการดีขึ้นแล้ว ผมจะหางานให้คุณน้า และเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของเทียนซิน ในหมู่บ้านเฉิงจงมันเละเทะมากเกินไป ตอนที่คุณน้าไปทำงาน จางเทียนซินก็ถูกคนรังแก” หานซานเฉียนกล่าวเรื่องพวกนี้จางหลิงฮวาเองก็รู้
เมื่อถังหลงพูดจบ ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดปาก และมองไปที่หานซานเฉียนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา“นึกไม่ถึงเลยว่าฉันจะได้พบกับคนดังของหยุนเฉิง คุณคือหานซานเฉียน!” เสียงอุทานเต็มไปด้วยการเสียดสีอย่างรุนแรงหานซานเฉียนพูดอย่างเฉยเมยว่า “ใช่ ผมเอง น่าเสียดายที่วันนี้ผมไม่ได้พกปากกามาด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงให้ลายเซ็นคุณไปแล้ว”หญิงสาวรู้สึกได้ว่าหานซานเฉียนกำลังล้อเล่นกับตัวเอง จึงพูดออกไปว่า “ไม่ดีกว่าค่ะ ลายเซ็นของคุณมันไร้ค่า หากข่าวแพร่ออกไปว่าขอลายเซ็นคุณจะไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะตายเลยเหรอ”ชื่อเสียงของหานซานเฉียนนั้นมาจากไหน ทั้งหยุนเฉิงนั้นรู้ดีว่าชื่อนี้คือความอัปยศ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะดูภูมิใจในตัวเองแบบนี้ เมื่อเห็นดังนั้น ถังหลงก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน“เฮ้ เพื่อน หัวใจของนายนี่แข็งแกร่งจริง ๆ โดนคนทั้งหยุนเฉิงด่าว่าเป็นไอ้เศษสวะ แต่กลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ยอมใจจริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นฉันคงไม่มีหน้าไปเจอใครได้หรอก และคงไม่มีหน้าออกมาข้างนอกแบบนี้ด้วยซ้ำ” ถังหลงยังคงพูดเยาะเย้ยต่อ“ถังหลง ถ้าหากว่าคุณไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็อย่ามารบกวนเวลาทานอาหารของพวกเรา” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่าง
“รีบทานข้าวเถอะ อาหารจะเย็นหมดแล้ว” หานซานเฉียนกล่าวซูหยิงเซี่ยรู้สึกไม่มีความอยากอาหาร และรู้สึกว่าอาหารไร้รสชาติ เพราะถังหลงทำลายอารมณ์ของเธอไปหมดแล้วหลังจากทานอาหารเย็นและดูหนังเสร็จก็เป็นเวลาสี่ทุ่ม แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน เจี่ยงหลานกับซูกั๋วเย่ายังคงอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่ละคนถือโทรศัพท์มือถือและกำลังหาข้อมูลการเช่าบ้านหลังจากคิดว่าหานซานเฉียนไม่ใช่คนรวย อีกทั้งยังใช้เงินทั้งหมดกับซื้อบ้านมือสองไปแล้ว เจี่ยงหลานก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดี เธอทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจครั้งแล้วครั้งเล่า“อ้อ ใช่ ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นไปบ้านคุณย่ากัน ลูกก็ต้องไปกับพวกเราด้วย” เจี่ยงหลานพูดกับซูหยิงเซี่ยตระกูลซูจะมีวันครอบครัวคือวันที่ยี่สิบแปดของทุกเดือน ในวันนั้นไม่ว่าแต่ละครอบครัวจะมีธุระอะไรก็ต้องไปทานข้าวกับหญิงชราที่คฤหาสน์ตระกูลซู กฎเกณฑ์นี้ถูกกำหนดโดยชายชรา เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกเหินห่างกันในเครือญาติ แต่เมื่อชายชราได้จากไป บรรยากาศในวันครอบครัวนี้ก็เปลี่ยนไป และกลายเป็นพิธีที่ตายตัว ส่วนเรื่องของความรู้สึกผูกพันนั้นมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน อย่างมากก็แค่เอาหานซานเฉียนมาเป็นตัวตลกทำใ
ซูหยิงเซี่ยนั่งหอบหายใจแรงอยู่ที่หัวเตียงด้วยความโกรธ หานซานเฉียนลอบมองเธอ สัมผัสได้ถึงคลื่นที่โหมซัดในใจ“น่าโมโหจริง ๆ เลย แม่ของฉันไม่มีเหตุผลที่สุด” ซูหยิงเซี่ยกล่าว เธอไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของหานซานเฉียน ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นภายในใจ ไม่สามารถระบายออกมาได้หานซานเฉียนชินกับความรู้สึกแบบนี้มาหลายปีแล้ว นอกเหนือจากสิ่งที่ทำให้ซูหยิงเซี่ยไม่มีความสุขเท่านั้นที่จะทำให้เขาไม่พอใจ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่พุ่งเข้ามาหาหานซานเฉียน เขาสามารถทำเหมือนมันเป็นอากาศธาตุได้สามปีของการเก็บตัวเงียบ อุปนิสัยของคนทั่วไปนั้นเทียบไม่ได้กับหานซานเฉียน ความไม่ยุติธรรมและความอัปยศจากการโดนดูถูกเหยียดหยาม เขาขี้เกียจเกินกว่าจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ก็เหมือนกับช้างตัวหนึ่งที่เผชิญหน้ากับมดที่เหยียดขาออกเพื่อทำให้มันสะดุด ช้างจะใส่ใจมันทำไม?อีกทั้งตอนอยู่ในตระกูลหาน หานซานเฉียนได้เรียนรู้การเก็บความรู้สึกอัดอั้นไว้ในใจ ไม่อย่างงั้นตอนนี้เขาอาจได้เป็นไอ้เศษวะจริง ๆ “จะโกรธไปทำไม เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ไม่มีอะไรให้น่าโกรธหรอก” หานซานเฉียนพูดอย่างขำ ๆ ซูหยิงเซี่ยมองไปที่หานซานเฉียน ที่ไม่
เมื่อถึงเวลาอาหาร หญิงชราถึงปรากฏตัว เธอจงใจให้ทุกคนรอเธอเพียงคนเดียวตระกูลเล็ก ๆ แต่มีกฎเกณฑ์มากมาย น่าเสียดายที่ทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น มันเทียบไม่ติดกับตระกูลชนชั้นสูงจริง ๆ เลยสักนิดเดียว แต่พวกเขาก็ยังสนุกไปกับมัน“คุณย่า”“คุณย่า”“คุณแม่”“คุณแม่”ทุกคนต่างทักทายกันทีละคน หลังจากที่หญิงชรานั่งลงแล้ว พวกเขาจึงกล้านั่งลงตามหานซานเฉียนก็ยังไม่ได้นั่งที่โต๊ะอาหารหลัก แต่นั่งที่โต๊ะอาหารเล็ก ๆ รวมกับกลุ่มคนใช้เช่นเดิมซูไห่เฉาจงใจเหลือบมองซูอี้หาน ซูอี้หานจึงถามซูหยิงเซี่ยออกไปว่า “หยิงเซี่ย เรื่องที่ครอบครัวของเธอซื้อรถมาสองคัน เธอจะไม่บอกคุณย่าหน่อยเหรอ?”หญิงชราขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เธอรู้ว่าซูหยิงเซี่ยเปลี่ยนรถแล้ว และเธอก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินว่าซูหยิงเซี่ยซื้อรถใหม่ถึงสองคัน“ตำแหน่งของหยิงเซี่ยตอนนี้ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ เพิ่งได้ตำแหน่งไม่นาน ก็ซื้อรถใหม่ถึงสอง” ซูไห่เฉาพูดเสริมหญิงชราจึงถามเสียงต่ำว่า “หยิงเซี่ย เธอซื้อรถสองคันเลยเหรอ?”ซูหยิงเซี่ยไม่ได้เอาเงินมาจากบริษัทแม้แต่หยวนเดียว ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ จนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกลงบนพื้นได้คำพูดของหานซานเฉียนทำให้ทั้งคฤหาสน์ตระกูลซูเงียบลงอย่างผิดปกติ และได้ยินเพียงเสียงหายใจของทุกคนเท่านั้นแต่ในไม่ช้าก็มีเสียงระเบิดหัวเราะออกมาทุกคนมองไปที่หานซานเฉียนราวกับเห็นเรื่องตลก และเยาะเย้ยกันอย่างไม่ปิดบัง“หานซานเฉียน แกไม่กลัวว่ามันจะเป็นคำพูดเกินจริงไปหน่อยเหรอ กล้าพูดใหญ่โตขนาดนี้ แกตั้งใจทำให้พวกเราขำกันรึไง?” ซูไห่เฉาเอามือกุมท้องและหัวเราะลั่นซูอี้หานหน้าแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด หัวเราะจนเลือดขึ้นสมอง เธอพูดเยาะเย้ยออกมาว่า “โอ้แม่เจ้า ฉันหัวเราะจนน้ำตาไหล นายอย่าตลกให้มากนัก ถึงแม้ว่าพวกเราคิดว่านายคือตัวตลก แต่นายก็ไม่จำเป็นต้องขายความโง่ขนาดนั้น นี่คิดว่าตัวเองเป็นตัวตลกจริง ๆ สินะ?”ญาติแต่ละคนต่างสลับกันพูดเยาะเย้ยฉีกหน้าหานซานเฉียน“จะคุยโวโอ้อวดก็พิจารณาถึงความจริงด้วย แกเป็นแค่ไอ้เศษสวะ จะมีเงินมากมายขนาดนี้ได้ยังไง?”“ซูหยิงเซี่ย นี่คงไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่เธอคิดว่าดีที่สุดแล้วหรอกนะ ให้หานซานเฉียนเป็นคนออกหน้าแทน เธอบ้าไปแล้วเหรอ หรือว่าเป็นพวกเราเองที่บ้า”“ใช่ จะหาเหตุผล ก็ควรหาที่มันน่าเชื่อ