ฉินโหรวบอกเฉินหลิงครั้งแรกว่าเกิดอะไรขึ้นบนเครื่องบิน และเฉินหลิงผงะไปชั่วขณะ เธอไม่คาดคิดว่าหานซานเฉียนจะทรงพลังขนาดนั้น และเขาสามารถเอาชนะชาวต่างชาติเหล่านั้นได้ด้วยตัวเขาเอง อยากย้อนเวลากลับไป เธอจะขึ้นไปบนเครื่องบินลำนั้น และชมฉากนี้ด้วยตาของเธอเอง “เขาต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อความยุติธรรม ชายผู้นี้ยังดีไม่พอหรือ?” เฉินหลิงถามอย่างงงงวย "แต่หลังจากลงจากเครื่องบิน เขาก็ขึ้นรถเบนท์ลีย์ไป และคนในรถคันนั้นเป็นผู้หญิงในวัยสี่สิบ" ฉินโหรวพูดต่อ เฉินหลิงไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้ และถามด้วยความสับสน "แล้ว? ที่รถเบนท์ลีย์แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงวัยสี่สิบ" ฉินโหรวจ้องมองที่เฉินหลิงอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "ยังต้องอธิบายอีกเหรอ เธอคิดไม่ออกเหรอ" เฉินหลิงเกาหัวของเธอและพูดว่า "พี่โหรว มีอะไรจะพูดก็พูดออกมาเถอะ ฉันสมองไม่ดี หากพี่ปล่อยให้ฉันคิดเอง ฉันคงคิดไม่ออกได้หรอกในชีวิตนี้" "เขามีคนเลี้ยงดูสนับสนุน พูดแค่นี้เธอคงเข้าใจแล้วนะ" ฉินโหรวกล่าว เมื่อได้ยินคำว่าเลี้ยงดูสนับสนุน เฉินหลิงยืนอยู่ตรงจุดนั้นด้วยความงุนงง เขา... เขามีคนเลี้ยงดูจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เขาให้
เถ้าแก่เนี้ยไม่ได้มาตามเฉินหลิงและฉินโหรวออกจากห้อง จนกว่าจะถึงเวลารับประทานอาหาร เรื่องที่ทิ้งหานซานเฉียนไว้ตามลำพังในห้องนั่งเล่น เถ้าแก่เนี้ยก็อบรมเฉินหลิงเป็นการส่วนตัว เธอเป็นคนที่เชิญเขามาทานอาหารเย็น แต่เธอไม่ได้รับแขกเมื่อแขกมา มันเป็นการเสียมารยาท ในความคิดของเถ้าแก่เนี้ย ภาพลักษณ์ของหานซานเฉียนนั้นดีมาก เพราะเธอได้เห็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของหานซานเฉียน แม้เธอจะไม่รู้ว่าหานซานเฉียนเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้ แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้ว มันคงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้ทำให้เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกสบายใจมาก ในที่สุดเด็กที่ร้องไห้ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักก็พึ่งตนเองได้ อารมณ์ของเธอเหมือนกับแม่แก่ที่เฝ้าดูลูกชายของเธอเติบโต มีเพียงผู้เฒ่าเท่านั้นที่เข้าใจอารมณ์ที่น่ายินดีแบบนั้น ที่โต๊ะอาหารเย็นเฉินหลิงเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับหานซานเฉียนที่ได้รับการเลี้ยงดู แม้ว่าเธออยากจะพยายามที่สุดเพื่อทำความเข้าใจหานซานเฉียน แต่เธอก็ยังตื่นตระหนก เมื่อคิดว่าหานซานเฉียนจะทำเรื่องแบบนั้นกับหญิงชรา ตลอดมื้ออาหาร นอกจากเถ้าแก่เนี้ยที่เป็นคนชวนพูดคุยขึ้นมาเป็นครั้งคราว บรรยากาศดูน่าเบื่อเล็กน้อย หลั
หานซานเฉียนทำหน้ามึนงงครุ่นคิด ทำไมฉินโหรวถึงคิดว่าเขากำลังถูกคนอื่นดูแลอยู่?เธอบอกว่าเธอเห็นแล้วตอนที่อยู่สนามบิน ที่แท้ตอนที่ซือจิงมารับเขานั่นเอง เลยทำให้เธอเข้าใจผิดหรือเปล่า?เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หานซานเฉียนหัวเราะออกมาเสียงดัง และคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก เขาแค่ขึ้นนั่งในรถเบนท์ลีย์เท่านั้นเอง และฉินโหรวคิดว่าเขามีใครบางคนดูแล?"คุณจะคิดอย่างนั้นก็ได้" หานซานเฉียนพูดจบ จึงรีบเดินออกจากที่นั่น เขาไม่อยากอธิบายอะไรมากมาย ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินหลิงที่ทำให้เขาและฉินโหรวได้พบกันครั้งแรก ครั้งที่สองนี้ก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ และจะไม่มีครั้งต่อไปอย่างแน่นอน เขาไม่อยากเสียเวลากับเรื่องพวกนี้อีก ในความเห็นของฉินโหรว การจากไปของหานซานเฉียน เป็นเพราะเขาต้องการหลีกเลี่ยงคำถามนี้ และเขาไม่กล้าตอบคำถามนี้โดยตรง บางทีเขาอาจไม่อยากเสียหน้า ดังนั้นเขาจึงต้องการปกปิดมันด้วยเหตุนี้ ในใจฉินโหรวจึงรู้สึกค่อนข้างโกรธ เพราะเธอแอบชอบหานซานเฉียน ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการให้ผู้ชายคนนี้พึ่งพาผู้หญิงเพื่อสนับสนุนเขา เขาสามารถต่อสู้ชนะคนตั้งมากมาย ตราบใดที่เขาทำงานหนัก เขาจะได้มันมาด้วยมือของ
หลังจากลงจากรถมา หานซานเฉียนก็ได้โทรหาฉินหลิน และเมื่อเขาอยู่ที่หน้าประตูนั้น บอดี้การ์ดทุกคนก็หยุดนิ่ง นี่ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับคนธรรมดาทั่วไป ที่จะสามารถเข้ามาในที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ นอกจากเจ้าของ หรือผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ขณะที่คนขับแท็กซี่มองดูหานซานเฉียนยืนอยู่ที่หน้าประตูในตอนนั้น เขาก็แอบยิ้มและพูดกับตัวเองว่า "อากาศก็หนาว แถมลมก็แรงขนาดนี้ ฉันจะรอดูว่านายจะอดทนรอได้นานแค่ไหน"บอดี้การ์ดมองดูหานซานเฉียนด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม เพราะพวกเขาเจอกับสถานการณ์แบบนี้กันมาเยอะแล้ว ที่มีคนมายืนอยู่ที่หน้าประตูนี้ เพราะคิดว่าตัวเองแน่ แต่ไม่เคยมีใครที่จะมาตอนเวลากลางคืนขนาดนี้ ใช่! พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน และนี่ทำให้พวกเขาคิดว่าหานซานเฉียนต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ“น้องชาย นายมารอใครที่นี่ ตอนนี้เวลานี้ เจ้านายที่อยู่ข้างในไม่มีใครออกมาเจอนายหรอก” บอดี้การ์ดพยายามอธิบายให้หานซานเฉียนฟัง“ฉันมาหาฉินหลิน เขาใกล้จะออกมาแล้ว” หานซานเฉียนบอกพอได้ยินชื่อฉินหลิน บอดี้การ์ดก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ฉินหลินเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งในย่านหัวไห่ และเป็นคนที่เข้าหาได้ยากมาก แล้วทำไม
"สามารถร่วมมือตระกูลหนันกงได้ ก็จะทำให้บริษัทของนายเจริญเติบโต จะได้ผลประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล แต่นายคงไม่คิดจะทำธุรกิจนี้เพื่อผลประโยชน์ของนายเองใช่ไหม? พอนายได้เป็นเสาหลักให้กับตระกูลหนันกง ในสายตาของนาย ฉันก็ไม่มีประโยชน์แล้วใช่ไหม?" หานซานเฉียนพูดพร้อมกับยิ้มแบบรู้อะไรบางอย่างฉินหลินเริ่มกระวนกระวาย หน้าของเขาเริ่มมีเหงื่อไหลออกมาเล็กน้อย พร้อมกับก้มหัวลงและพูดว่า"ท่านหาน ฉินหลินไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น ฉินหลินที่มีทุกอย่างในวันนี้ได้ ก็เพราะท่านหานเป็นผู้ให้โอกาส ผมจะคิดทำอย่างนั้นได้ยังไงครับท่าน""ผมสาบานได้ว่า ผมไม่เคยคิดร้ายกับท่านอย่างแน่นอน" ฉินหลินมองดูหานซานเฉียนเงียบไม่พูดอะไร แต่เขารู้ดี"คำสาบานไม่สามารถเชื่อถือได้ นายน่าจะรู้ดีกว่าฉัน คำพูดเพียงไม่กี่คำก็ใช่ว่าจะน่าเชื่อถือ?" หานซานเฉียนพูดอย่างชัดเจน"ท่านหาน! ไม่ว่าอะไรที่ท่านต้องการ ผมพร้อมรับปากจะทำให้ทุกสิ่งแม้กระทั่งชีวิตของผม ผมยินดีทำทุกอย่างครับ" ฉินหลินพูดหานซานเฉียนถอนหายใจและทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา สายาตาของเขามองตรงไปที่ฉินหลินด้วยสายตาที่ร้อนแรง และพูดว่า "นายเป็นคนระมัดระวังตัวมาก ระแวดระวังมากจนนายหาภร
หลังจากส่งหานซานเฉียนที่ห้องรับแขกแล้ว ฉินหลินก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขานอนไม่หลับ ดูเหมือนว่าสิ่งที่หานซานเฉียนได้พูดกับฉินหลินนั้น เหมือนหานเซียนเฉียนดูออกว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาจะถูกทรยศ และยิ่งมาเจอเรื่องแบบนี้ หานเซียนเฉียนจะยิ่งไม่ไว้ใจเขาอย่างแน่นอนในการร่วมมือกันครั้งนี้ ที่ฉินหลินได้รับการยอมรับในหยันจิงก็เพราะมีตระกูลหนันกงคอยสนับสนุน และนี่คือเหตุผลที่หานซานเซี่ยนบอกว่า เขามีโอกาสที่จะหักหลังหานซานเซี่ยนความคิดนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของฉินหลิน แต่ฉินหลินก็ไม่มั่นใจ เขาไม่รู้ว่าหากเขาทรยศหานซานเฉียนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ตระกูลหนันกงจะสามารถปกป้องเขาหรือไม่ฉินหลินไม่เคยลืมคืนวันแห่งการนองเลือดในวันนั้นเมื่อหลายสิบปีก่อน เด็กหนุ่มรูปร่างบอบบางกำลังยืนถือมีด ภาพนี้คอยวนเวียนอยู่ในหัวสมองทำให้เขาไม่สามารถลืมมันได้ และนี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาไม่กล้าที่จะทรยศต่อหานซานเฉียน เขากลัวว่าจะเป็นเหมือนคนนั้นที่นอนจมอยู่กับกองเลือดเพราะความโลภอยากได้อยากมีของตัวเอง"ทำไมฉันต้องกลัว กับอีแค่เด็กหนุ่มคนเดียว" ฉินหลินกัดฟันพูดพร้อมกับเนื้อตัวสั่น มองไป
แท้จริงไม่มีแม้แต่หนทางที่จะสามารถเข้าไปได้ แต่เหมือนมีคนจำนวนมากเคยเดินเข้าทางนี้ จึงทำให้พอมีร่องลอยของเส้นทางอยู่บ้างด้านหน้าของหานซานเฉียนมีแต่ป่า พอจะเดาได้ว่าไม่มีใครผ่านเข้าไป ดังนั้นหานซานเฉี่ยนจึงต้องหาทางแหวกเข้าไปด้วยตนเอง ตามทางเต็มไปด้วยพุ่มหญ้ารกเต็มไปหมด ดีที่เมื่อก่อนหานซานเฉียนเคยได้รับการฝึนฝนจากยุนจุนมาบ้าง ไม่อย่างนั้นภารกิจครั้งนี้ก็ดูจะหินมากสำหรับเขาเดินไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ในป่าก็เริ่มมีแสงสว่างส่องเข้ามามากขึ้น ไม่ค่อยพุ่มหญ้าเท่าไรแล้ว แต่ก็มีความรู้สึกมีบางอย่างที่ดูผิดปกติ ต้นไม้หลายต้นเหมือนถูกตัดออก แถมไม่มีความสม่ำเสมอกันเหมือนถูกโค่นลงอย่างไรอย่างนั้น"ทำไมมีต้นไม้หลายต้นถูกทำลาย แถมดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฝีมือของคน..." หานซานเฉียนครุ่นคิดอยู่หนึ่ง สักพักก็คิดขึ้นมาได้ว่า "หรือจะเป็นฝีมือของสัตว์ร้าย ในป่านี้ไม่น่าจะมีสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ไหม?"เตาสือเอ้อร์เดินอยู่ข้างหน้าตามทามต้นไม้ที่ถูกตัดออก แม้จะเป็นขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฟ่าเข้าไปง่าย ๆ อีกทั้งมีทั้งกิ้งไม้เล็กใหญ่ตกตามทางเป็นจำนวนมาก ปัญหาก็คือกิ่งไม้ที่หักพวกนี้ที่เป็นอ
คำพูดนี้ทำให้หานซานเฉียนและเตาสือเอ้อร์ยิ้มออกมาด้วยความกลัวเล็กน้อย ดูจากสภาพต้นไม้ที่ถูกสับเป็นท่อนขนาดนี้ ถ้าเป็นคนสภาพอวัยวะข้างในคงแหลกละเอียดแน่ ๆ ใครจะทนอยู่ได้?"วางใจเถอะ! ต้นไม้พวกนี้ไม่ใช่ถูกฉันทำลายภายในครั้งเดียว ฉันไม่ได้เก่งอย่างที่พวกนายคิดหรอก" ชายผู้นี้กล่าวอย่างถ่อมตัวแต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ง่ายที่จะผ่านด่านนี้ไปได้"ฉันพร้อมแล้ว เข้ามาสิ!" เตาสือเอ้อร์ขยับมาข้างหน้าหนึ่งขั้น ตาจ้องไปที่ชายผู้นี้แล้วพูด"เรียกฉันว่าฉีฮู่ เผื่อเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้น นายก็แค่บอกชื่อของฉันให้อาจารย์หยานรู้ ฉันว่าอาจารย์ก็คงจำฉันได้" ฉีฮู่พร้อมหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หานซานเฉียนถึงกับขนลุกไปทั้งตัว และดูท่าเขาจะไม่มีทางออมมือ การมาเชิญผู้มีฝีมือออกจากเขาในครั้งนี้ หานซานเซียนคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ หากเตาสือเอ้อร์เป็นอะไรไป มันจะคุ้มค่ากันไหม?"หรือไม่พวกเราเป็นทำอย่างอื่น มาเล่นเกมกันไหม ถ้าพวกเราชนะ คุณก็พาพวกเราไปพบอาจารย์ของคุณ แต่ถ้าพวกเราแพ้ พวกเราก็แค่ลงเขากลับไป เป็นยังไง ?" หานซานเฉียนชักชวนฉีฮู่ฉีฮู่เพ่งดูหานซานเฉียนถามว่า "จะให้ทำอะไร?""ฉันเป็นคน