เช้าวันรุ่งขึ้น หานซานเฉียนลืมตาขึ้น และหันไปทางซ้ายตามความเคยชิน เพราะในเวลานี้ซูหยิงเซี่ยจะต้องลุกขึ้นไปวิ่งตอนเช้า แต่เมื่อเขาหันศีรษะไป กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ เขาจึงอดฝืนยื้มไม่ได้ “ฉันเคยชินกับเรื่องต่าง ๆ มานานขนาดนั้น เปลี่ยนยังไงก็ไม่หายหรอก” เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นที่คฤหาสน์บนเขา ซึ่งบ่งบอกว่าถึงเวลาต้องออกไปวิ่งตอนเช้าแล้ว ซูหยิงเซี่ยตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ซานเฉียน รีบปิดนาฬิกาปลุกเดี๋ยวนี้เลย” หลังจากพูดคำเหล่านี้ออกไป ซูหยิงเซี่ยก็ลืมตาขึ้น ถึงตระหนักได้ว่า เธอเป็นคนเดียวที่นอนอยู่บนเตียง และเธอก็อดรู้สึกเคว้งคว้างไม่ได้ คนสองคนที่อยู่ไม่ห่างกันลุกขึ้นพร้อมกัน แต่พวกเขาทั้งสองกลับสูญเสียจิตวิญญาณที่เคยมี ซูหยิงเซี่ยไปวิ่งที่ยอดเขาคนเดียว หานซานเฉียนกำลังจะลงไปชั้นล่างเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในชุมชน ทันทีที่เขาเปิดประตู หานซานเฉียนก็เห็นมี่เฟยเอ๋อร์ในชุดกีฬาดูกระฉับกระเฉงมาก ดูจากรูปร่างหน้าตาของเธอแล้ว เธอน่าจะชอบออกกำลังกายตอนเช้าเหมือนกัน “สวัสดี” หานซานเฉียนทักทาย เมื่อทั้งสองกำลังรอลิฟต์ด้วยกัน มี่เฟยเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างหลังหานซานเฉียนหนึ่งเมตร
หลังจากขึ้นลิฟต์ ขณะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิด มี่เฟยเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาด้วยความโกรธ “สนุกมากไหม?” มี่เฟยเอ๋อร์พูดกับหานซานเฉียนหลังจากนั้นไม่นาน “ถ้าเป็นหยางเหมิง ผมจะช่วย” หานซานเฉียนกล่าว ประโยคนี้ทำให้มี่เฟยเอ๋อร์ประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเธอ เขาถึงไม่ช่วย ผู้ชายคนนี้จำเป็นต้องพูดตรง ๆ ขนาดนี้ด้วยเหรอ? “ใช่สิ หยางเหมิงหลอกง่ายกว่า และมีแนวโน้มที่จะถูกหลอกด้วยกลอุบายของเทพบุตรที่เข้ามาช่วยได้ง่ายกว่า” มี่เฟยเอ๋อร์พูดพร้อมกัดฟัน หานซานเฉียนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ในเมื่อเธอยากเป็นภูเขาน้ำแข็ง เธอก็ต้องทนหนาว แสร้งทำเป็นเหนือกว่า แต่ต้องการให้คนอื่นช่วยเหลือเธอ เธอคิดว่าโลกทั้งใบขึ้นอยู่กับเธองั้นเหรอ?” หลังจากพูดประโยคนี้จบ ลิฟต์ก็มาถึงชั้นที่สิบหกพอดี และหานซานเฉียนก็เดินออกจากลิฟต์ในทันที ทิ้งมี่เฟยเอ๋อร์ไว้เพียงลำพังด้วยความงุนงง มี่เฟยเอ๋อร์สวยมาก แม้ว่าเธอจะเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็ง แต่ก็ยังมีผู้ชายหลายคนที่คิดอยากลองเอาใจเธอ จึงทำให้มี่เฟยเอ๋อร์มักคิดว่าผู้ชายธรรมดาเหล่านั้นจะด้อยกว่าเธอ หานซานเฉียนที่อาศัยอยู่ในบ้านเช่าก็เช่นเดียวกัน เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอ
หานซานเฉียน มี่เฟยเอ๋อร์ และหยางเหมิงทั้งสองมาถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว ทีละคน เมื่อหานซานเฉียนไปที่สำนักงานของจงเหลียง มี่เฟยเอ๋อร์และหยางเหมิงก็กำลังรอการสัมภาษณ์อยู่ที่แผนกบุคคล เนื่องจากช่วงนี้ตอนนี้บริษัทกำลังประสบปัญหา ดังนั้นจึงมีแค่เธอสองคนที่มาสัมภาษณ์ แต่ความคิดของคนปกติทั่วไปคงไม่ไปสัมภาษณ์ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน คนส่วนน้อยมากที่คิดกลับกันอย่างมี่เฟยเอ๋อร์ เมื่อสัมภาษณ์ทั้งสองคน หัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ถามคำถามหลักว่าทำไมทั้งสองคนถึงเลือกบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวในเวลานี้ คำตอบของมี่เฟยเอ๋อร์ตรงไปตรงมามาก เหมือนกับที่เธออธิบายให้หยางเหมิงฟัง และเธอก็แสดงความปรารถนาของเธออย่างเรียบง่าย นี่เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าแผนกบุคคลเจอคนแบบนี้ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมองมี่เฟยเอ๋อร์ต่างออกไป อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะผ่านการสัมภาษณ์หรือไม่นั้น ก็ยังคงต้องรอการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของจงเหลียง “เราเข้าใจสถานการณ์พื้นฐานของคุณแล้ว รอสักครู่นะคะ” หลังจากหัวหน้าแผนกออกจากห้องสัมภาษณ์ หยางเหมิงดูประหม่าเล็กน้อย ในขณะที่มี่เฟยเอ๋อร์ดูมั่นใจมาก “พี่เฟยเอ๋อ
คนแรกที่เจอในวันนี้ชื่อ หลิวกั๋วเฟิง หลิวกั๋วเฟิงมาถึงห้องอาหารก่อนแล้ว ถ้าเมื่อก่อนเขาเคยถูกบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวสัมภาษณ์ เขาคงจะตื่นเต้นมากอย่างแน่นอน เพราะก่อนที่จะมีการก่อตั้งหาน กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวในหยุนเฉิงเป็นที่ที่ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างต้องการเข้าไปทำงาน เพราะอย่างไรบริษัทนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหานในเหยียนจิง ทุกคนต่างหวังผลประโยชน์ แต่ตอนนี้หลิวกั๋วเฟิงไม่สนใจเรื่องนี้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวถูกหาน กรุ๊ป แซงหน้า การระงับโครงการเฉิงซี ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะแข่งกับหาน กรุ๊ป การมาหาเขาครั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะถูกหลอกใช้ "คุณหลิว ไม่นึกเลยว่าคุณจะมาถึงเร็วขนาดนี้” จงเหลียงพูดกับหลิวกั๋วเฟิงด้วยรอยยิ้ม หลังจากเข้าไปในห้องอาหาร ท่าทีของหลิวกั๋วเฟิงนั้นเย็นชา ถ้าเป็นเมื่อก่อนการเจอจงเหลียงนั้นเป็นเรื่องยาก แล้วเขาจะยิ้มแย้มได้อย่างไร “หัวหน้าจง วันนี้ผมว่างพอดีเลยมาหาคุณ ถ้าคุณมีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย คุณก็รู้ว่าการมาพบคุณตอนนี้มันอันตรายมาก ถ้าหาน กรุ๊ป รู้เข้า บริษัทของผมอาจจะจบลง” หลิวกั๋วเ
“หัวหน้าจง เมื่อครู่ผมใจร้อนพูดอะไรที่ไม่ควรพูด โปรดยกโทษให้ผมด้วยนะครับ” หลิวกั๋วเฟิงขอโทษจงเหลียง ท่าทางของเขาดูวางตัว แต่หลังจากถูกปลุกด้วยคำพูดของจงเหลียง เขาก็ตระหนักว่าสิ่งที่เขาทำโง่เขลามากแค่ไหน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร่วมมือกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรูกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉว ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทของเขาไม่ดีเท่าไหร่ บริษัทที่มีอำนาจมากกว่าเขาในสาขาเดียวกันได้ร่วมมือกับหาน กรุ๊ป และพื้นที่อยู่อาศัยของเขาจะถูกกดดันอย่างมาก การเป็นศัตรูกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวตอนนี้ มีแต่จะทำให้เขาตายเร็วขึ้นเท่านั้น จงเหลียงยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “คุณจะบอกว่าเจ้านายของผมเป็นคนขี้ขลาดเหรอครับ ผมจะรายงานเรื่องนี้ให้เขาฟังตามความจริง ส่วนคุณจะเลือกอย่างไร คุณก็จะพิจารณาเองเถอะ” พูดจบเหลียงจงก็เดินออกจากห้องอาหารทันที หานซานเฉียนยืนอยู่ข้าง ๆ เหลียงจงตลอดเวลา และไม่พูดอะไรสักคำ แต่จากท่าทางของหลิวกั๋วเฟิงแล้ว เดาได้ว่าคนเหล่านี้กลัวหาน กรุ๊ป เป็นอย่างมาก และพวกเขาจะไม่มีวันร่วมมือกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลั่วเฉวด้วยความจริงใจ “นา
“เธอใจเย็น ๆ ก่อน อยากรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างใจเย็น “เธอรีบบอกมาสิ ถ้าไอ้สารเลวนี้ทำอะไรเธอ ฉันจะฆ่าเขาทันที” เฉินหลิงเหยายกแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทางโกรธจัด ซูหยิงเซี่ยยิ้มเจื่อน ความหวังดีของเฉินหลิงเหยาที่มีต่อเธอไม่เปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ แต่เธอก็ตระหนักมากขึ้นว่า หัวใจของหานซานเฉียนที่มีต่อเธอนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเหมือนกัน และเธอยังเชื่อด้วยซ้ำว่าการที่หานซานเฉียนตัดสินใจแบบนี้ หัวใจของหานซานเฉียนก็เจ็บปวดมากเช่นกัน เมื่อซูหยิงเซี่ยเล่าให้เฉินหลิงเหยาฟังทั้งหมด ในที่สุดเฉินหลิงเหยาก็ใจเย็นลง “อย่างนี้นี่เอง เขาไม่ได้มีผู้หญิงคนอื่นหรอกเหรอ?” เฉินหลิงเหยาสงสัย “มีบางอย่างที่ฉันยังบอกเธอตอนนี้ไม่ได้ แต่มันก็ประมาณเดียวกัน” ซูหยิงเซี่ยปกปิดตัวตนของหานซานเฉียน แต่พูดแค่ว่าหานซานเฉียนมีความบาดหมางกับหาน กรุ๊ป ดังนั้นจึงไม่สามารถทำให้เฉินหลิงเหยาเข้าใจได้ถ่องแท้ ถ้าเธอบอกเฉินหลิงเหยาเกี่ยวกับตัวตนของหานซานเฉียน เธอคงจะไม่สงสัยเลย แต่ซูหยิงเซี่ยไม่ทำแบบนั้น เพราะหานซานเฉียนไม่ต้องการให้โลกภายนอกรู้จักตัวตนของเขา และซูหยิงเซี่ยรู้ดีว่าเฉินหลิงเหย
“พี่เฟยเอ๋อร์ มีข่าวใหม่เรื่องหานซานเฉียนกับซูหยิงเซี่ยค่ะ” ตอนที่หยางเหมิงกำลังทำอาหารเย็น เธอรีบวิ่งไปที่ห้องนั่งเล่น และพูดกับมี่เฟยเอ๋อร์ ผู้หญิงมักชอบซุบซิบ ยิ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งหยุนเฉิงตกใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ดังนั้นมี่เฟยเอ๋อร์จึงกังวลอย่างมากเกี่ยวกับพัฒนาการของเรื่องนี้ “คนหน้าด้านไร้ยางอายแบบนี้ คิดว่าจะเปลี่ยนได้เหรอ?” มี่เฟยเอ๋อร์พูดอย่างเหยียดหยาม “ไม่มีทางเปลี่ยน แต่มีคนบอกว่าพวกเขาสองคนแต่งงานกันมานานหลายปีแล้ว และซูหยิงเซี่ยไม่เคยถูกหานซานเฉียนแตะต้องเลย” หยางเหมิงกล่าว มี่เฟยเอ๋อร์กล่าวน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ไม่ปล่อยให้สวะแบบนี้มาแตะต้องฉันเหมือนกัน ดีแล้วที่ซูหยิงเซี่ยทำแบบนี้ สวะแบบนี้สมควรได้รับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้” “พี่เฟยเอ๋อร์ หานซานเฉียนแย่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” หยางเหมิงสงสัย แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นอย่างไร แต่เธอก็รู้สึกว่าหานซานเฉียนถูกต่อว่ามาหลายปีแล้ว เธอรู้สึกน่าสงสารมาก “เธอไม่เคยได้ยินเรื่องคฤหาสน์จินเฉียวเลยเหรอ คนที่ไปสถานที่แบบนี้จะเป็นคนดีได้ยังไง?” มี่เฟยเอ๋อร์พูด หยางเหมิงพยักหน้าและพูดว่า “นั
สามปี! หลังจากแต่งงานมาสามปีเต็ม เขา...ไม่เคยแตะต้องซูหยิงเซี่ยเลย หานเหยียนหัวเราะออกมาดัง ๆ ครู่หนึ่ง แม้แต่หานชิงก็หัวเราะอย่างหนักจนท้องแข็ง “ไม่หรอกมั้ง หานซานเฉียนน่าขยะแขยงขนาดนั้นเหรอ? เขาไม่ได้แตะต้องภรรยาของตัวเองด้วยซ้ำ” หานเหยียนเช็ดน้ำตาที่หางตา หานชิงหมอบลงกับพื้นพลางกุมท้องส่วนล่างของเธอ และพูดว่า “คุณหนู ฉันหัวเราะจนปวดท้อง คนประเภทนี้อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไง? ไร้ประโยชน์สิ้นดี” “นี่คงไม่ใช่ข่าวปลอมหรอกนะ?” หานเหยียนไม่ค่อยเชื่อ ผ่านมาสามปีแล้ว อาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่ค่อยดีนัก แต่กลับไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่างสามีภรรยาเกินจริงไปจริง ๆ “เรื่องจริง ฉันพยายามสืบเต็มที่” หานเฟิงพูดอย่างจริงจัง ถ้าเป็นผู้หญิงโสเภณีที่หานซานเฉียนเล่นด้วยมาเป็นเวลาสามปี ไม่ว่ามันจะสวยแค่ไหน เขาก็ไม่สนใจ หลังจากคำพูดนั้นออกมา หานเฟิงก็สนใจทันที และเขาต้องการตรวจสอบความถูกต้องของเรื่องนี้ด้วย สำหรับวิธีการตรวจสอบมีเพียงวิธีเดียว หานเหยียนส่ายหน้าและพูดว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงยืนยันที่จะเปลี่ยนนามสกุลของเขา สวะแบบนี้ทำให้ตระกูลหานของเราอับอา