ชิงอวิ๋นลูบบั้นท้ายของตัวเองอย่างเศร้า ๆ แล้วพูดอย่างคับข้องใจ “พี่ใหญ่ คุณไม่ได้มาช่วยผมเหรอ?” “จะช่วยนายก็ต้องดูเหตุผลด้วยสิ มันเป็นความผิดของนายก่อน หรือว่านายจะพาลไม่ยอมฟังเหตุผล” หานซานเฉียนกล่าว ชิงอวิ๋นถอนหายใจ นั่งลงยอง ๆ พลางตบไหล่ชายสักแขนลายพร้อยแล้วพูดว่า “พี่ชาย ขอโทษนะ แต่คุณก็ใจดำเกินไป ผมแค่แตะผู้หญิงคนนั้นนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง คุณก็ขอหนึ่งแสน โลภมากเกินไปหน่อยนะ” ชายสักแขนลายพร้อยรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป หานซานเฉียนไม่เอาเรื่อง ต้องให้เขาต้องรับผิดชอบ แถมยังบอกให้ชิงอวิ๋นขอโทษเขาอีก คนใหญ่โตแบบนี้ ต่อให้เขาต้องชดเชยจนครอบครัวล่มจม เขาก็ไม่กล้าปริปากบ่น“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณต้องการ ผมจะส่งเธอให้คุณก็ได้ครับ” ชายสักแขนลายพร้อยกล่าวชิงอวิ๋นจดจำสัมผัสเมื่อคืนนี้ได้ เขาตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”“เรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว นายกลับไปก่อนก็ได้” หานซานเฉียนพูดกับหลินหยง“พี่ซานเฉียน เตาสือเอ้อร์ได้รับบาดเจ็บเมื่อคืนนี้ คุณต้องการไปเยี่ยมเขาหน่อยไหม?” หลินหยงกล่าว เตาสือเอ้อร์เตือนเขาว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับหานซานเฉียน แต่เมื่อหลินหยงเห็นหาน
หานซานเฉียนกลับมายังโครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง พอพลบค่ำ ซูหยิงเซี่ยและทั้งสามคนก็กลับมาพร้อมกับของที่ได้มาอย่างล้นหลาม แต่ละคนมีถุงใหญ่หลายใบอยู่ในมือเมื่อกลับมาถึงบ้าน ทั้งสามคนก็นอนแผอยู่บนโซฟาราวกับกองโคลน ผู้หญิงมีแรงสู้รบที่แข็งแกร่งในการชอปปิงมาตั้งแต่เกิด นี่คือเหตุผลที่ผู้ชายกลัวเรื่องนี้เช่นกัน ในห้างสรรพสินค้า พวกเธอจะไม่มีวันเหนื่อย แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็จะระเบิดออกมาพอเฉินหลิงเหยาเห็นซูหยิงเซี่ยเอาขาพาดบนต้นขาของหานซานเฉียน แล้วหานซานเฉียนยังนวดให้ซูหยิงเซี่ยอีก ความอิจฉาในแววตาของเธอก็ไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย“มีสามีนี่ดีจัง แล้วเมื่อไหร่ฉันจะมีสักคนล่ะ อีหยุน” เฉินหลิงเหยากล่าวฉี๋อีหยุนก็เหนื่อยมาก เธอพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ทำไมเหรอ?” “โทรหาพ่อสื่อให้ฉันหน่อย ถามเขาว่าลืมฉันหรือยัง” เฉินหลิงเหยากล่าวอย่างไม่พอใจฉี๋อีหยุนยิ้มอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับซูหยิงเซี่ยว่า “พวกเธอจะสวีทกันก็ช่วยกลับไปที่ห้องได้ไหม อยากให้พวกเราอิจฉาตายเหรอ?”ซูหยิงเซี่ยชำเลืองมองหานซานเฉียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเขินอาย เธอชักขากลับอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “ฉันสวีทแล้วจ
การแข่งขันชกมวยคู่แรกเริ่มเวลาสามทุ่ม ผู้ชมเกือบทั้งหมดเข้ามาในพื้นที่แล้ว จนอัฒจันทร์สี่ทิศไม่มีที่ว่าง เมื่อเห็นบรรยากาศที่คึกคักเช่นนี้ หานซานเฉียนอดชื่นชมสมองของเตาสือเอ้อร์ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะการท้าชกชิงเงินรางวัล ผู้ชมคงไม่เยอะขนาดนี้หลังจากการชกคู่แรกเริ่มขึ้น นักมวยสองคนบนสังเวียนต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ผู้ชมกลับยังไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ หลายคนไม่ได้ดูการแข่งขันด้วยซ้ำ เอาแต่พูดคุยกัน“ไม่รู้ว่าชายคนเมื่อคืนวานจะปรากฏตัวหรือเปล่า เขาเอาชนะได้แม้แต่เตาสือเอ้อร์ ได้ดูเขาชกมันเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งจริง ๆ”“ได้ไปตั้งห้าแสน คงจะกำลังสำเริงสำราญอยู่ ตอนนี้ดูกระบวนท่าของนักชกเหล่านี้แล้วน่าเบื่อจริง ๆ ชกไปชกมาก็เข้ารูปแบบเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะการท้าชกชิงเงินรางวัล สู้กลับไปดูทีวีที่บ้านดีกว่า”“ก็ใช่น่ะสิ กระบวนท่าเหล่านี้ดูจนเอียนแล้ว น่าเบื่อจริง ๆ”คนหลายคนที่อยู่ใกล้ ๆ หานซานเซียนพูดคุยกันอย่างเบื่อหน่าย ไม่มีท่าทีสนุกสนานเลยสักนิด ความคิดของพวกเขาเกือบจะเป็นตัวแทนของผู้ชมส่วนใหญ่ในสนาม จากคำพูดเหล่านี้หานซานเฉียนสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเตาสือเอ้อร์ถึงทำการเปลี่ยนแปลงเช่
“ให้ตายสิ! เจ้าหมอนั่นไปจริง ๆ เหรอ?”“เขาไม่กลัวตายจริง ๆ การท้าชกชิงเงินรางวัล นักมวยไม่เคยออมมือมาก่อนนะ”“บ้าเอ๊ย! ผมจะต้องเรียกเขาว่าคุณปู่จริงเหรอ”“เรียกเขาว่าขนไก่ กว่าเขาจะถูกต่อยเข้าโรงพยาบาล พวกเราก็กลับบ้านไปตั้งนานแล้ว” แม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำตามสัญญาอยู่แล้ว อีกอย่างในสายตาของพวกเขา หานซานเฉียนไม่มีโอกาสได้เดินลงจากสังเวียน พอหามขึ้นรถพยาบาล ก็ไม่มีใครรู้จักใครแล้ว?“คืนนี้เพื่อเป็นการคืนกำไรให้กับผู้ชม จะมีการแข่งขันสำหรับผู้ชมโดยเฉพาะ ทุกคนสามารถขึ้นเวทีได้อย่างอิสระ ใครสามารถยืนหยัดจนจบได้ จะได้รับเงินรางวัลจำนวนหนึ่งแสนจากเวทีมวย” ผู้จัดการเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วพูดผ่านไมโครโฟนสิ่งนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วน แม้ว่าเงินหนึ่งแสนจะไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าไม่น้อย และทุกคนก็สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งหมายความว่าทุกคนมีโอกาสแต่อาศัยหลักการที่ว่าหากศัตรูไม่เคลื่อนไหวฉันก็ไม่เคลื่อนไหว จึงยังไม่มีผู้ชมคนไหนยินดีขึ้นเวทีในขณะนี้ในเวลานี้ หานซานเฉียนที่อยู่ด้านล่างเวทีได้เดินขึ้นไป“ผู้ท้าชิงคนแรกปรากฏตัวแล้ว ใครยินดีรับคำท้าบ้าง?” ผู้จัดการถาม พอเห็
แข็งแกร่ง! แข็งแกร่งมาก! ชายหนุ่มคนนี้ได้สร้างแรงกดดันให้กับหานซานเฉียน ราวกับว่าเหยียนจุนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา“คุณไร้ประโยชน์ขนาดนี้ กล้าดียังไงมาเขาช่วยเขาล้างแค้น?” ชายคนนั้นพูดกับหานซานเฉียนอย่างเหยียดหยาม“เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม?” ศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หากเป็นคู่ต่อสู้ ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับหานซานเฉียนเลย การผูกมิตรคือวิธีการที่ดีที่สุดแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้คิดแบบนั้น เขายิ้มอย่างดูถูกแล้วพูดว่า “คบกับคนไร้ประโยชน์อย่างคุณเหรอ? ขอโทษนะ ผมไม่สนใจ”พูดจบเขาก็มองไปที่อัฒจันทร์ในสนามทั้งสี่ทิศแล้วพูดว่า “มีใครจะมาแย่งเงินหนึ่งแสนหยวนจากผมอีกไหม?”เมื่อคืนตอนที่ต่อสู้กับเตาสือเอ้อร์ ผู้ชมส่วนใหญ่ล้วนอยู่ด้วยและได้เห็นว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด แล้วตอนนี้ใครจะกล้าลงสนามล่ะ?“ในเมื่อไม่มีใครแล้ว เงินก็เป็นของผมใช่ไหม?” ชายคนนั้นพูดกับผู้จัดการ ผู้จัดการมองไปที่หานซานเฉียน พอเห็นหานซานเฉียนพยักหน้า จึงพูดว่า “ผมจะไปเอาเงินให้คุณเดี๋ยวนี้”หานซานเฉียนกลับไปที่ห้องพักนักมวยหลังเวที ไม่มีความผิดปกติบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ แต่ความปวดแสบปวดร้อนไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย โชคดีที่เขาใช
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฮ้าว ฉี๋อีหยุนก็ขมวดคิ้วแล้วถามอย่างเย็นชาว่า “นายทำอะไรลับหลังฉันอีกแล้วเหรอ? ฉันเตือนนายแล้ว ถ้านายยังทำโดยพลการอีกก็ไสหัวกลับไปซะ”ตงฮ้าวรีบอธิบาย “ผมเพิ่งพบว่ามีเวทีมวยใต้ดินที่นี่ ผมก็เลยจะไปเล่นสนุก ๆ แต่บังเอิญได้เจอเขา เขาน่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเวทีมวยใต้ดินครับ”เวทีมวยใต้ดินเหรอ?สีหน้าอันเยือกเย็นของฉี๋อีหยุนค่อย ๆ เผยรอยยิ้มขึ้น พลางกล่าวว่า “เขาเป็นคนไร้ประโยชน์มาสามปี จู่ ๆ ก็ซื้อคฤหาสน์ใจกลางเนินเขา แถมยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทีมวยใต้ดินอีก คนคนนี้น่าสนใจจริง ๆ”เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉี๋อีหยุนที่ไม่เคยมีให้ตนเลย ตงฮ้าวก็อยากจะฆ่าเขา จึงพูดว่า “คุณหนู คนไร้ประโยชน์แบบนี้ไม่สมควรได้รับความสนใจจากคุณ”“ฮึ หรือว่านายสมควรได้รับความสนใจจากฉัน?” ฉี๋อีหยุนพูดอย่างเย็นชา “ฉันจะสนใจใคร มันไม่ใช่เรื่องที่นายจะยื่นมือเข้ามายุ่งได้ เขาเป็นสามีของเพื่อนสนิทของฉัน ถ้านายคิดร้ายกับเขาแม้แต่นิดเดียว ฉันจะไม่ปล่อยนายไป”เมื่อฉี๋อีหยุนพูดจบก็ยิ้มออกมา ขอแค่เป็นสิ่งที่เธอต้องการ ต่อให้เป็นสามีของเพื่อนสนิทตัวเองแล้วจะทำไมล่ะ? ตราบใดที่เขามีคุณสมบัติเพี
“ขี้โม้สุด ๆ ถ้าไม่ได้คุยโม้สักวันคุณจะไม่สบายตัวเหรอ?” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างดูถูก “รอผมแข่งเสร็จ คุณก็จะรู้เองว่าผมไม่ใช่คนขี้โม้ แต่ผมเป็นคนที่โคตรเจ๋งต่างหาก” หานซานเฉียนกล่าว “ไปนอนเถอะ โคตรเจ๋ง” ซูหยิงเซี่ยพูดจบก็ขึ้นไปบนเตียแล้วนอนตะแคงให้หานซานเฉียน คิ้วของหานซานเฉียนกระตุก เธอไม่รู้เหรอว่าการนอนตะแคงมันมีผลกระทบต่อการมองเห็น และทำให้ผู้คนคิดเพ้อฝันอย่างง่าย? เช้าวันถัดมา ทั้งสองขึ้นไปตามถนนบนภูเขา เมื่อไปถึงยอดเขา อากาศสดชื่นก็ทำให้อดสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้ “อ้อ ฉี๋อีหยุนก็เข้าร่วมการแข่งขันด้วยเหมือนกัน พวกคุณสองคนไปด้วยกันสิ ระหว่างทางจะได้คอยดูแลเธอด้วย” ซูหยิงเซี่ยบอกกับหานซานเฉียน สำหรับฉี๋อีหยุนแล้ว หานซานเฉียนบอกตามตรงว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก พอเธอถอดแว่นออกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง “คุณรู้จักฉี๋อีหยุนมากแค่ไหน” หานซานเฉียนถาม“รู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฉันรู้จักญาติทุกคนในครอบครัวของเธอและรู้ดีว่าพวกเขาทำอะไร แต่หลังจากที่เธอไปต่างประเทศ พวกเราก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ได้ยินเธอบอกว่าพ่อ
เมื่อการแข่งขันใกล้เข้ามา หานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนก็ขึ้นเครื่องบินไปยังเมืองฟู่หยาง ซูหยิงเซี่ยกลัวว่าเพื่อนสนิทคนนี้จะถูกรังแก จึงซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่งสองใบโดยเฉพาะ เธอดีกับฉี๋อีหยุนแค่ไหนไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ แต่สำหรับหานซานเฉียน แม้ว่าเขาจะตรวจสอบภูมิหลังของฉี๋อีหยุนอย่างละเอียดแล้ว และบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาแค่คิดมากเกินไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเมฆหมอกที่ไม่อาจปัดเป่าออกไปได้ค้างคาอยู่ในใจของเขา นี่คือสัญชาตญาณ และสัญชาตญาณก็บอกเขาว่าถึงแม้ภายนอกฉี๋อีหยุนจะดูเรียบง่าย แต่ความจริงนั้นเธอมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์การคาดเดาของเขาเท่านั้นเอง ในห้องโดยสารชั้นหนึ่งมีผู้โดยสารเพียงสี่คน นอกจากหานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนแล้ว ยังมีชายหญิงอีกคู่หนึ่ง พวกเขาดูเด็กกันมากอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น หลังจากขึ้นเครื่องทั้งสองคนก็พูดจ้อไม่หยุด แถมเสียงก็ไม่ได้เบาเลย เสียงหัวเราะดังลั่นเป็นระยะ น่ารำคาญมากอาจเป็นเพราะทนถูกรบกวนระหว่างการเดินทางไม่ไหวแล้ว ฉี๋อีหยุนจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปหาทั้งสองคนแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะการพูด