การแข่งขันชกมวยคู่แรกเริ่มเวลาสามทุ่ม ผู้ชมเกือบทั้งหมดเข้ามาในพื้นที่แล้ว จนอัฒจันทร์สี่ทิศไม่มีที่ว่าง เมื่อเห็นบรรยากาศที่คึกคักเช่นนี้ หานซานเฉียนอดชื่นชมสมองของเตาสือเอ้อร์ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะการท้าชกชิงเงินรางวัล ผู้ชมคงไม่เยอะขนาดนี้หลังจากการชกคู่แรกเริ่มขึ้น นักมวยสองคนบนสังเวียนต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ผู้ชมกลับยังไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ หลายคนไม่ได้ดูการแข่งขันด้วยซ้ำ เอาแต่พูดคุยกัน“ไม่รู้ว่าชายคนเมื่อคืนวานจะปรากฏตัวหรือเปล่า เขาเอาชนะได้แม้แต่เตาสือเอ้อร์ ได้ดูเขาชกมันเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งจริง ๆ”“ได้ไปตั้งห้าแสน คงจะกำลังสำเริงสำราญอยู่ ตอนนี้ดูกระบวนท่าของนักชกเหล่านี้แล้วน่าเบื่อจริง ๆ ชกไปชกมาก็เข้ารูปแบบเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะการท้าชกชิงเงินรางวัล สู้กลับไปดูทีวีที่บ้านดีกว่า”“ก็ใช่น่ะสิ กระบวนท่าเหล่านี้ดูจนเอียนแล้ว น่าเบื่อจริง ๆ”คนหลายคนที่อยู่ใกล้ ๆ หานซานเซียนพูดคุยกันอย่างเบื่อหน่าย ไม่มีท่าทีสนุกสนานเลยสักนิด ความคิดของพวกเขาเกือบจะเป็นตัวแทนของผู้ชมส่วนใหญ่ในสนาม จากคำพูดเหล่านี้หานซานเฉียนสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเตาสือเอ้อร์ถึงทำการเปลี่ยนแปลงเช่
“ให้ตายสิ! เจ้าหมอนั่นไปจริง ๆ เหรอ?”“เขาไม่กลัวตายจริง ๆ การท้าชกชิงเงินรางวัล นักมวยไม่เคยออมมือมาก่อนนะ”“บ้าเอ๊ย! ผมจะต้องเรียกเขาว่าคุณปู่จริงเหรอ”“เรียกเขาว่าขนไก่ กว่าเขาจะถูกต่อยเข้าโรงพยาบาล พวกเราก็กลับบ้านไปตั้งนานแล้ว” แม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำตามสัญญาอยู่แล้ว อีกอย่างในสายตาของพวกเขา หานซานเฉียนไม่มีโอกาสได้เดินลงจากสังเวียน พอหามขึ้นรถพยาบาล ก็ไม่มีใครรู้จักใครแล้ว?“คืนนี้เพื่อเป็นการคืนกำไรให้กับผู้ชม จะมีการแข่งขันสำหรับผู้ชมโดยเฉพาะ ทุกคนสามารถขึ้นเวทีได้อย่างอิสระ ใครสามารถยืนหยัดจนจบได้ จะได้รับเงินรางวัลจำนวนหนึ่งแสนจากเวทีมวย” ผู้จัดการเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วพูดผ่านไมโครโฟนสิ่งนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วน แม้ว่าเงินหนึ่งแสนจะไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าไม่น้อย และทุกคนก็สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งหมายความว่าทุกคนมีโอกาสแต่อาศัยหลักการที่ว่าหากศัตรูไม่เคลื่อนไหวฉันก็ไม่เคลื่อนไหว จึงยังไม่มีผู้ชมคนไหนยินดีขึ้นเวทีในขณะนี้ในเวลานี้ หานซานเฉียนที่อยู่ด้านล่างเวทีได้เดินขึ้นไป“ผู้ท้าชิงคนแรกปรากฏตัวแล้ว ใครยินดีรับคำท้าบ้าง?” ผู้จัดการถาม พอเห็
แข็งแกร่ง! แข็งแกร่งมาก! ชายหนุ่มคนนี้ได้สร้างแรงกดดันให้กับหานซานเฉียน ราวกับว่าเหยียนจุนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา“คุณไร้ประโยชน์ขนาดนี้ กล้าดียังไงมาเขาช่วยเขาล้างแค้น?” ชายคนนั้นพูดกับหานซานเฉียนอย่างเหยียดหยาม“เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม?” ศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หากเป็นคู่ต่อสู้ ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับหานซานเฉียนเลย การผูกมิตรคือวิธีการที่ดีที่สุดแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้คิดแบบนั้น เขายิ้มอย่างดูถูกแล้วพูดว่า “คบกับคนไร้ประโยชน์อย่างคุณเหรอ? ขอโทษนะ ผมไม่สนใจ”พูดจบเขาก็มองไปที่อัฒจันทร์ในสนามทั้งสี่ทิศแล้วพูดว่า “มีใครจะมาแย่งเงินหนึ่งแสนหยวนจากผมอีกไหม?”เมื่อคืนตอนที่ต่อสู้กับเตาสือเอ้อร์ ผู้ชมส่วนใหญ่ล้วนอยู่ด้วยและได้เห็นว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด แล้วตอนนี้ใครจะกล้าลงสนามล่ะ?“ในเมื่อไม่มีใครแล้ว เงินก็เป็นของผมใช่ไหม?” ชายคนนั้นพูดกับผู้จัดการ ผู้จัดการมองไปที่หานซานเฉียน พอเห็นหานซานเฉียนพยักหน้า จึงพูดว่า “ผมจะไปเอาเงินให้คุณเดี๋ยวนี้”หานซานเฉียนกลับไปที่ห้องพักนักมวยหลังเวที ไม่มีความผิดปกติบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ แต่ความปวดแสบปวดร้อนไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย โชคดีที่เขาใช
เมื่อได้ยินคำพูดของตงฮ้าว ฉี๋อีหยุนก็ขมวดคิ้วแล้วถามอย่างเย็นชาว่า “นายทำอะไรลับหลังฉันอีกแล้วเหรอ? ฉันเตือนนายแล้ว ถ้านายยังทำโดยพลการอีกก็ไสหัวกลับไปซะ”ตงฮ้าวรีบอธิบาย “ผมเพิ่งพบว่ามีเวทีมวยใต้ดินที่นี่ ผมก็เลยจะไปเล่นสนุก ๆ แต่บังเอิญได้เจอเขา เขาน่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเวทีมวยใต้ดินครับ”เวทีมวยใต้ดินเหรอ?สีหน้าอันเยือกเย็นของฉี๋อีหยุนค่อย ๆ เผยรอยยิ้มขึ้น พลางกล่าวว่า “เขาเป็นคนไร้ประโยชน์มาสามปี จู่ ๆ ก็ซื้อคฤหาสน์ใจกลางเนินเขา แถมยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทีมวยใต้ดินอีก คนคนนี้น่าสนใจจริง ๆ”เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉี๋อีหยุนที่ไม่เคยมีให้ตนเลย ตงฮ้าวก็อยากจะฆ่าเขา จึงพูดว่า “คุณหนู คนไร้ประโยชน์แบบนี้ไม่สมควรได้รับความสนใจจากคุณ”“ฮึ หรือว่านายสมควรได้รับความสนใจจากฉัน?” ฉี๋อีหยุนพูดอย่างเย็นชา “ฉันจะสนใจใคร มันไม่ใช่เรื่องที่นายจะยื่นมือเข้ามายุ่งได้ เขาเป็นสามีของเพื่อนสนิทของฉัน ถ้านายคิดร้ายกับเขาแม้แต่นิดเดียว ฉันจะไม่ปล่อยนายไป”เมื่อฉี๋อีหยุนพูดจบก็ยิ้มออกมา ขอแค่เป็นสิ่งที่เธอต้องการ ต่อให้เป็นสามีของเพื่อนสนิทตัวเองแล้วจะทำไมล่ะ? ตราบใดที่เขามีคุณสมบัติเพี
“ขี้โม้สุด ๆ ถ้าไม่ได้คุยโม้สักวันคุณจะไม่สบายตัวเหรอ?” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างดูถูก “รอผมแข่งเสร็จ คุณก็จะรู้เองว่าผมไม่ใช่คนขี้โม้ แต่ผมเป็นคนที่โคตรเจ๋งต่างหาก” หานซานเฉียนกล่าว “ไปนอนเถอะ โคตรเจ๋ง” ซูหยิงเซี่ยพูดจบก็ขึ้นไปบนเตียแล้วนอนตะแคงให้หานซานเฉียน คิ้วของหานซานเฉียนกระตุก เธอไม่รู้เหรอว่าการนอนตะแคงมันมีผลกระทบต่อการมองเห็น และทำให้ผู้คนคิดเพ้อฝันอย่างง่าย? เช้าวันถัดมา ทั้งสองขึ้นไปตามถนนบนภูเขา เมื่อไปถึงยอดเขา อากาศสดชื่นก็ทำให้อดสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้ “อ้อ ฉี๋อีหยุนก็เข้าร่วมการแข่งขันด้วยเหมือนกัน พวกคุณสองคนไปด้วยกันสิ ระหว่างทางจะได้คอยดูแลเธอด้วย” ซูหยิงเซี่ยบอกกับหานซานเฉียน สำหรับฉี๋อีหยุนแล้ว หานซานเฉียนบอกตามตรงว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก พอเธอถอดแว่นออกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง “คุณรู้จักฉี๋อีหยุนมากแค่ไหน” หานซานเฉียนถาม“รู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฉันรู้จักญาติทุกคนในครอบครัวของเธอและรู้ดีว่าพวกเขาทำอะไร แต่หลังจากที่เธอไปต่างประเทศ พวกเราก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ได้ยินเธอบอกว่าพ่อ
เมื่อการแข่งขันใกล้เข้ามา หานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนก็ขึ้นเครื่องบินไปยังเมืองฟู่หยาง ซูหยิงเซี่ยกลัวว่าเพื่อนสนิทคนนี้จะถูกรังแก จึงซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่งสองใบโดยเฉพาะ เธอดีกับฉี๋อีหยุนแค่ไหนไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ แต่สำหรับหานซานเฉียน แม้ว่าเขาจะตรวจสอบภูมิหลังของฉี๋อีหยุนอย่างละเอียดแล้ว และบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาแค่คิดมากเกินไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเมฆหมอกที่ไม่อาจปัดเป่าออกไปได้ค้างคาอยู่ในใจของเขา นี่คือสัญชาตญาณ และสัญชาตญาณก็บอกเขาว่าถึงแม้ภายนอกฉี๋อีหยุนจะดูเรียบง่าย แต่ความจริงนั้นเธอมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์การคาดเดาของเขาเท่านั้นเอง ในห้องโดยสารชั้นหนึ่งมีผู้โดยสารเพียงสี่คน นอกจากหานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนแล้ว ยังมีชายหญิงอีกคู่หนึ่ง พวกเขาดูเด็กกันมากอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น หลังจากขึ้นเครื่องทั้งสองคนก็พูดจ้อไม่หยุด แถมเสียงก็ไม่ได้เบาเลย เสียงหัวเราะดังลั่นเป็นระยะ น่ารำคาญมากอาจเป็นเพราะทนถูกรบกวนระหว่างการเดินทางไม่ไหวแล้ว ฉี๋อีหยุนจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปหาทั้งสองคนแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะการพูด
แม้ว่าฉี๋อีหยุนจะทำให้เขาประหลาดใจ แต่โต้วเว๋ยต่างหากที่เป็นแฟนสาวในอนาคตของเขา จะเสียหน้าต่อหน้าเธอไม่ได้“ฉันเป็นสุภาพบุรุษ จะทำร้ายคนหยาบคายอย่างนายได้ยังไง” ฉางหลางกล่าว“สุภาพบุรุษ?” หานซานเฉียนคลายมือออกแล้วผลักฉางหลางกลับไปนั่งที่เดิม ก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันไม่เคยเห็นสุภาพบุรุษคนไหนกล้าลงไม้ลงมือกับผู้หญิงมาก่อน ฉันขอเตือนว่าให้เบาเสียงลงหน่อย ไม่อย่างนั้นก็บอกให้แอร์โฮสเตทโทรเรียก 120 เอาไว้รอ พอลงจากเครื่องจะได้ตรงไปโรงพยาบาลเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการรักษา” เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหานซานเฉียน ฉางหลางก็ไม่คิดว่าเขากำลังล้อเล่น ดังคำกล่าวที่ว่าคนฉลาดย่อมรู้จักล่าถอย เขาทำได้เพียงกล้ำกลืนความโกรธไว้ พายุเล็ก ๆ สิ้นสุดลงเช่นนี้ ไม่ได้พัดกระพือจนกลายเป็นลูกคลื่นใหญ่จนเกินไป เพราะอย่างไรนี่ก็อยู่บนเครื่องบิน หานซานเฉียนไม่ต้องการทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวจะจัดการลำบาก“คุณคงไม่ได้จะปล่อยไปแบบนี้หรอกใช่ไหม” หลังจากที่หานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนกลับไปยังที่นั่ง โต้วเว๋ยก็กระซิบถามฉางหลาง ฉางหลางมีสีหน้าดุร้าย เขากัดฟันและพูดว่า “พอไปถึงเมืองฟู่หยาง ผมจะทำให้เจ้าหมอนี่ได้เห็นดีแน
เมื่อเห็นหานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนขึ้นรถของหวางเม่าไป ฉางหลางก็ขมวดคิ้วมุ่น แม้ว่าหานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนจะไม่ได้แต่งตัวดีอะไร แต่ชุดราชวงศ์ถังสั่งทำมือที่หวางเม่าสวมใส่กลับทำให้ฉางหลางต้องมองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ครอบครัวของเขาสามารถติดต่อกับแบรนด์ทำมือระดับไฮเอนด์ในประเทศได้เชียวเหรอ ชุดราชวงศ์ถังนี้ พ่อของเขาเองก็มีเช่นกัน ราคาอย่างต่ำก็หลายหมื่นดอลลาร์ บุคคลที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน“ฉางหลาง คุณคงไม่ได้ลืมสิ่งที่พูดไว้บนเครื่องบินหรอกใช่ไหม?” โต้วเว๋ยเตือนฉางหลาง เธอไม่รู้มูลค่าของชุดราชวงศ์ถังของหวางเม่า เพราะเธอรู้จักแต่แบรนด์ต่างประเทศ และแบรนด์อิสระเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงขยะ“ไม่ต้องห่วง ผมจะลืมสิ่งเคยพูดไว้ได้ยังไง ผมจะทำให้คุณได้เห็นการแสดงดี ๆ อย่างแน่นอน” แม้ว่าฉางหลางจะรับปาก แต่หลังจากที่ได้เห็นหวางเม่าแล้ว เขาก็ระมัดระวังในตัวตนของหานซานเฉียนมากขึ้น เพียงแต่เขาไม่สามารถทำตัวขี้ขลาดต่อหน้าโต้วเว๋ยได้ก็เท่านั้น “ข่วนหน้าผู้หญิงคนนั้นให้เป็นรอยได้ยิ่งดี” โต้วเว๋ยพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ว่ากันว่าพิษร้ายสุดคือจิตใจของผู้หญิง หลังจากที่โต้ว