รอยยิ้มเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นที่มุมปากของหานซานเฉียน เขาค่อย ๆ ยื่นมือออกไปและจับหมัดนั้นไว้ในกำมือหมัดถูกจับและหยุดลงอย่างกะทันหัน ชายคนนั้นผงะ เขาไม่คิดว่าหานซานเฉียนจะจับหมัดของเขาได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ไม่มีเวลาให้ชายคนนั้นได้คิด หานซานเฉียนก็เตะชายคนนั้นถอยไปหลายสิบก้าวและล้มลงกับพื้นทันที“นี่……”“ไอ้บ้าเอ้ย ไอ้ไร้ค่านี่มันเก่งขนาดนี้เลยเหรอ?”“เป็นไปได้ยังไง มันเป็นแค่คนกระจอกไม่ใช่เหรอ!”ขณะนี้ความแข็งแกร่งของหานซานเฉียน และชื่อเสียงของเขาในฐานะคนกระจอกนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก เฉิงกังเริ่มที่จะระมัดระวังมากขึ้น ไม่กล้าที่จะดูถูกหานซานเฉียนอีกแล้วซูหยิงเซี่ยเบิกตากว้างและอ้าปากค้าง เธอเคยเห็นแต่ตอนที่หานซานเฉียนถูกรังแก แต่เธอไม่เคยเห็นหานซานเฉียนในตอนที่แข็งแกร่งแบบนี้ เธอจึงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก“หานซานเฉียน แกรู้ไหมว่าที่นี่คือถิ่นของฉัน แกกล้าทำร้ายลูกน้องฉัน อย่าคิดว่าจะมีลมหายใจออกไปจากที่นี่ได้” เฉิงกังกัดฟันพูด แม้ว่าความแข็งแกร่งของหานซานเฉียนจะทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขากลัว เพราะเขามีคนมากพอแล้วสองมือจะสู้สี่มือได้ยังไง?“ฉันให้โอกาส
เมื่อก่อนหลินหย่งไม่กล้าทำอะไรเฉิงกัง หากไม่มีคำสั่งจากหานซานเฉียน บวกกับการที่เฉิงกังมีคนหนุนหลัง สะกิด เพียงนิดเดียวอาจส่งผลกระทบหลายอย่าง หากไม่มีหานซานเฉียนคุ้มกะลาหัว แม้ว่าหลินหย่งจะฆ่าเฉิงกังได้ เขาก็ไม่สามารถหนีจากความผิดทางกฎหมายได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน หานซานเฉียนต้องการเขย่าเมืองหยุนเฉิง หลินหย่งทิ้งความกังวลทั้งหมดไว้ข้างหลัง เขาเชื่อมั่นในความสามารถของหานซานเฉียน แม้ว่าจะถูกคนนับหมื่นในเมืองหยุนเฉิงดูถูกว่าเกาะเมียกิน แต่หลินหย่งนั้นรู้ดีว่าลูกเขยคนนี้มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาเลย หลินหย่งไม่พูดอะไรอีก เพราะเขาไม่มีสิทธิ์พูดอะไรที่นี่ เฉิงกังเห็นหลินหย่งไม่พูดจาก็นึกว่าเขากลัว จึงพูดอย่างลำพองใจว่า “หลินหย่ง ในเมื่อรู้ว่าฉันมีแบล็ก ทำไมยังไม่พาคนของแกออกไปอีก? ต้องให้ฉันโยนออกใช่ไหม?” ทันใดนั้น หานซานเฉียนก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเฉิงกัง เมื่อเห็นฝีมือของหานซานเฉียนแล้ว เฉิงกังก็ถอยหลังออกไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว และถามอย่างระแวดระวังว่า “แกจะทำอะไร?” ลูกสมุนหลายคนยืนขวางอยู่หน้าเฉิงกัง ด้วยท่าทางที่พร้อมต่อสู้ แต่หานซานเฉียนไม่หยุดเดิน คนของเฉิงกังชิงลงมือก่อน แต่
“ถ้าไม่พูดก็โดนอัดต่อไป” “ฉันพูด ฉันพูดแล้ว” เฉิงกังพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ซูไห่เฉายังต้องการให้ฉันมีอะไรกับซูหยิงเซี่ย แล้วเปิดโปงเรื่องนี้ในเมืองหยุนเฉิง เขาต้องการใช้เรื่องนี้ขับไล่ซูหยิงเซี่ยออกจากตระกูลซู” หานซานเฉียนกำหมัดแน่นทันที! ลำพังเรื่องแผนการต่อต้านโครงการเฉิงซีหานซานเฉียนสามารถปล่อยซูไห่เฉาไปได้ แต่ที่เขาคิดจะทำอะไรกับซูหยิงเซี่ย มีโทษตายสถานเดียว อย่าคิดกระตุกหนวดเสือ! หานซานเฉียนจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับซูหยิงเซี่ย “ขังเอาไว้” หานซานเฉียนทิ้งคำพูดสามคำนี้ไว้ก่อนจะออกจากร้านอาหาร เฉิงกังร้องเอะอะเพราะไม่รู้ว่าจะพบจุดจบอย่างไรบ้าง แต่หลังจากโดนหมัดไปไม่กี่ครั้งเขาก็สงบลง หลังจากกลับมาที่ลานจอดรถ ซูหยิงเซี่ยที่นั่งอยู่ในรถอย่างกระวนกระวาย พอเห็นหานซานเฉียน เธอก็รีบลงจากรถอย่างทนรอไม่ไหว “ซานเฉียน คุณเป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ซูหยิงเซี่ยมองหานซานเฉียนด้วยความประหม่า เธอมองพิจารณาดู เมื่อแน่ใจว่าหานซานเฉียนไม่ได้รับบาดเจ็บจึงรู้สึกโล่งใจ “ผมไม่เป็นไร” หานซานเฉียนพูดอย่างยิ้มแย้ม “นึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะเป็นห่วงผมขนาดนี้” เมื่อซูหยิงเซี่ยได้ย
“ซูอี้หาน เธอพูดบ้าอะไรน่ะ” “คุณย่าอยู่ตรงนี้ ทำไมถึงได้พูดจาเหลวไหล” “ปากเปราะจริง ๆ พูดจาไร้สาระ!” แม้ว่าบรรดาญาติที่อยู่ในนี้จะไม่ได้ชื่นชอบซูหยิงเซี่ยนัก แต่พวกเขาก็รู้ว่าคุณย่าให้ความสำคัญกับธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลมากเพียงใด เป็นเรื่องปกติที่จะดูถูกซูหยิงเซี่ย แต่เรื่องแบบนี้จะเอามาพูดส่งเดชไม่ได้ ซูอี้หานก็รู้ว่าคุณย่าจะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่กล้าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ซูอี้หานคิดว่าตัวเองมีหลักฐาน และซูหยิงเซี่ยก็ตกไปอยู่ในมือของเฉิงกังแล้วอย่างแน่นอน พูดความจริงจะผิดอะไรล่ะ? “พวกคุณโมโหอะไร ฉันจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นเหรอ?” ซูอี้หานพูดด้วยเสียงราบเรียบ เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาญาติคนอื่น ๆ ต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่ได้ล้อเล่น ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่าเป็นความจริงเหรอ? ซูหยิงเซี่ยกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร! “ซูอี้หาน เธอรู้อะไรก็พูดมาให้ชัดเจน” คุณย่าถามซูอี้หานด้วยสีหน้าขรึม เธอไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียเกิดขึ้นในตระกูลซูอย่างแน่นอน ถ้าซูหยิงเซี่ยทำเรื่องคาวโลกีย์เช่นนี้จริง เธอก็จะขับไล่ซูหย
เล่นชู้อย่างนั้นเหรอ! ซูหยิงเซี่ยรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที มันคือการปั้นเรื่องเพื่อใส่ร้ายป้ายสี และยังเป็นการดูถูกความบริสุทธิ์ของเธออีกด้วย “ซูอี้หาน ปากเธอกินอะไรเข้าไปถึงได้พูดจาเหม็นโฉ่แบบนี้” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างโกรธจัด ซูอี้หานลุกขึ้นยืนอย่างมั่นอกมั่นใจแล้วพูดว่า “กล้าทำแต่ไม่กล้ารับเหรอ? ไหนเธอลองบอกซิว่าแก้ไขปัญหาได้แล้วหรือยัง?” “จัดการเรียบร้อยแล้ว” ซูหยิงเซี่ยกล่าว “ฮึ!” ซูอี้หานพูดแกมเยาะเย้ย “เรียบร้อยแล้วอย่างงั้นเหรอ? เสียเงินไปเท่าไหร่ล่ะ?” “เปล่า...ไม่ได้เสียเงินเลย” เรื่องนี้หานซานเฉียนเป็นคนจัดการ ส่วนวิธีการที่ใช้นั้นซูหยิงเซี่ยเองก็ไม่รู้ แต่เธอแน่ใจว่าไม่ได้เสียเงินสักหยวนเดียว “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ...” ซูอี้หานหัวเราะขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องใช้เงินก็จัดการได้แล้ว เธอนี่มีฝีมือจริง ๆ คงจะใช้มารยาอย่างอื่นสินะ” “ซูหยิงเซี่ย อีกฝ่ายคือเฉิงกัง คือคนในพื้นที่สีเทา เธอแก้ปัญหานี้ได้โดยไม่ต้องใช้เงินอย่างนั้นเหรอ?” ซูไห่เฉาแน่ใจว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างซูหยิงเซี่ยกับเฉิงกังเมื่อคืนแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นมีหรือเธอจะมีปัญญาจัดการเรื่องนี้ได้ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า
คนสองคนเดินเข้าไปในห้องประชุม หนึ่งในนั้นคือหลินหย่ง อีกคนหนึ่งมีกระสอบคลุมศีรษะอยู่บอกไม่ได้ว่าเป็นใครแม้ว่าตระกูลซูจะไม่ใช่ครอบครัวร่ำรวยและมีอิทธิพลในเมืองหยุนเฉิง แต่ก็ไม่อนุญาตให้ใครมาก่อความวุ่นวายในบริษัท เธอถามเสียงเย็น “คุณเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมาสร้างปัญหาให้ตระกูลซูของฉัน”หลินหย่งมองไปที่ซูหยิงเซี่ยแวบหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณย่า ผมชื่อหลินหย่ง คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อของผมมาบ้างใช่ไหม?”หลินหย่ง!ในห้องประชุม ญาติ ๆ ของตระกูลซูทุกคนต่างกระสับกระส่าย เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดาในเมืองหยุนเฉิง ด้วยความสามารถของตระกูลซูนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้เลย แล้วเขามาสร้างปัญหาให้ตระกูลซูทำไมกัน?“พี่หย่งนั่นเอง ไม่ทราบว่าคุณมาถึงบริษัทของเรามีธุระอะไรหรือ?” น้ำเสียงของคุณย่าเปลี่ยนไปทันที แล้วยังเรียกเขาว่าพี่หย่งด้วยความยำเกรงอีกด้วยสถานะทางสังคมไม่ได้ถูกตัดสินด้วยอายุคุณย่าอยู่ในตำแหน่งที่สูงและมากด้วยอำนาจในตระกูลซู แต่สำหรับคนอย่างหลินหย่ง เธอไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ เรื่องนี้เธอรู้ดีอยู่แก่ใจดี“ผมช่วยแก้ปัญหาให้ตระกูลซูแล้ว ถือโอกาสมาเก็บค่าน้ำร้อนน้ำชาหน่อย” หลินหย่งพูด
สีหน้าของคุณย่าเริ่มแข็งทื่อ เรื่องใหญ่แบบนี้ควรจะจบเรื่องราวอย่างไรดีนะ? ถ้าเธอไม่มีคำอธิบายให้ซูหยิงเซี่ย ก็เห็นชัดเจนว่าเธอลำเอียง แต่ถ้าจะให้ขับไล่ซูไห่เฉาออกจากตระกูลซู เธอก็ทำไม่ลง แม้ว่าซูหยิงเซี่ยจะนำผลประโยชน์มากมายมาสู่ตระกูลซู แต่ในสายตาของคุณย่า เธอก็ไม่ได้มีความสำคัญเท่าซูไห่เฉาอยู่ดี อีกอย่างในอนาคตของตระกูลซูก็มีเพียง ซูไห่เฉาเท่านั้นที่สามารถสืบทอดตระกูลได้ “พี่หย่ง นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของเรา ฉันซาบซึ้งมากที่คุณให้ความช่วยเหลือ คุณต้องการเงินเท่าไหร่ก็เอ่ยขอได้เต็มที่” คุณย่าบอกกับหลินหย่ง การมาเก็บค่าน้ำร้อนน้ำชาของหลินหย่งเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เรื่องนี้เป็นคำสั่งของหานซานเฉียน เขาก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น “ในเมื่อคุณย่าตรงไปตรงมาแบบนี้ ผมหลินหย่งก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ หลังจากที่ท่านจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ผมค่อยมาหาท่านอีกครั้งก็แล้วกัน” พูดจบหลินหย่งก็พาเฉิงกังออกไปจากบริษัท ห้องประชุมเงียบสงัด ซูไห่เฉาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคุณย่า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ญาติคนอื่น ๆ ก็นิ่งเงียบ อย่างไรก็ตาม ซูหยิงเซี่ยเป็นผู้รับผิดชอบโครงการเฉิงซี ในอนาคต
เวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง หานซานเฉียนปรากฏตัวขึ้นที่ร้านขายของเล็ก ๆ แต่ร้านยังไม่เปิด นั่นทำให้เขารู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี หรือว่าในบ้านจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือเปล่า? ถ้าไม่อย่างนั้น ทำไมอยู่ ๆ ถึงปิดประตูเงียบแบบนี้ล่ะหลังจากรับซูหยิงเซี่ยแล้ว เขาเห็นแก้มของเธอป่องอย่างกับปลาทอง ชัดเจนว่ากำลังงอนอยู่ เขาจึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอะไรไป? ปัญหาก็จัดการเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าคุณย่าไม่ชมเชยคุณ?”ซูหยิงเซี่ยทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแล้วบอกว่า “วันนี้หลินหย่งพาเฉิงกังมาที่นี่เพื่อเปิดโปงทุกอย่างที่ซูไห่เฉาทำ แต่คุณย่าแค่ขอให้ซูไห่เฉากลับบ้านไปพิจารณาตัวเองเท่านั้น”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานซานเฉียนก็ยิ้มเยาะออกมาในสายตาของเขา แม้ว่าคุณย่าจะเข้าข้างซูไห่เฉา แต่เขาก็ต้องถูกลดตำแหน่งลงให้คนอื่น ๆ ได้เห็นบ้าง แต่เธอกลับใช้คำว่าพิจารณาตัวเองกับเรื่องนี้ มันออกจะน่าขันไปหน่อยยิ่งไปกว่านั้น คุณย่าไม่ใช่แค่เข้าข้างซูไห่เฉาเฉย ๆ เธอยังไม่เห็นซูหยิงเซี่ยอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ เพราะเธอไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของซูหยิงเซี่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยไม่สนใจซูหยิงเซี่ย โดยไม่กลัวเลยว่าเธอจะแตกหักกับตระกูลซู?