คฤหาสน์ใจกลางภูเขาใกล้ถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว เจี่ยงหลานได้รับโทรศัพท์จำนวนมากจากบ้านเกิดของเธอ พวกเขาถามเธอว่าปีนี้จะกลับไปเมื่อไหร่ ในช่วงเวลานั้นบรรดาญาติมิตรเหล่านี้ไม่ได้พูดถึงหานซานเฉียนแม้แต่คำเดียว เพราะพวกเขาคิดว่าเจี่ยงหลานคงไม่พาหานซานเฉียนมาด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา หานซานเฉียนได้กลับไปเยี่ยมแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ญาติ ๆ ทุกคนในบ้านของเจี่ยงหลานรู้ว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับหานซานเฉียนเลยผิดกับเจี่ยงหลาน ญาติมิตรเหล่านั้นต้องการพบเธอมากเป็นพิเศษในปีนี้ เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ซูหยิงเซี่ยก็มีตำแหน่งสูงในบริษัท บรรดาญาติมิตรล้วนอยากได้ผลประโยชน์จากพวกเธอ ซูหยิงเซี่ยยังได้รับโทรศัพท์จากเจี่ยงหว่าน ผู้เป็นพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของเธอเจี่ยงหว่านอายุมากกว่าเธอเล็กน้อย เธอกำลังคบกับแฟนหนุ่มที่มีฐานะทางครอบครัวดี ด้วยเหตุนี้ เธอจึงมักชอบพูดโอ้อวดต่อหน้าซูหยิงเซี่ย แถมยังเอาแฟนหนุ่มของตัวเองมาเปรียบเทียบกับแฟนของซูหยิงเซี่ยด้วยซูหยิงเซี่ยรู้ดีว่าเจี่ยงหว่านมีนิสัยอย่างไร ทุกครั้งที่เธอหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาพูด ซูหยิงเซี่ยจึงต้องทนฟังแบบหู
หานซานเฉียนสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเหน็บแนมของเธออย่างชัดเจน แต่งานเลี้ยงครั้งนี้ ซูหยิงเซี่ยเป็นคนขอให้เขาไปเองนี่นา“เรื่องนี้… ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ” หานซานเฉียนพูดในขณะเดียวกัน เจี่ยงหลานก็วางสายโทรศัพท์แล้วพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ญาติ ๆ ทุกคนโทรมาหมดแล้ว แต่ครอบครัวลุงของเธอกลับไม่มีแม้แต่ข้อความใด ๆ ด้วยซ้ำ มันน่าโมโหจริง ๆ”ครอบครัวเจี่ยงเฟิงกวางได้ยืมเงินไปสองแสนหยวนแล้วทำหายก่อนจะกลับถึงบ้าน ทำให้ทั้งสามคนยังรู้สึกโกรธอยู่ แน่นอนว่าไม่มีทางโทรศัพท์มาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแน่นอนแม้พวกเขาจะไม่ได้วางแผนคืนเงินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็กลัวว่าเจี่ยงหลานจะพูดถึงเรื่องนี้“แม่คะ พวกคุณลุงเป็นคนยังไงแม่ยังไม่รู้อีกเหรอ? ตอนนี้เขาไม่อยากให้แม่กลับไปแน่ พวกเขาคงกลัวแม่ขอเงินคืนจากเขา” ซูหยิงเซี่ยกล่าวเจี่ยงหลานรู้เหตุผลข้อนี้เช่นกัน แม้ตอนนี้ครอบครัวของเธอจะร่ำรวย ไม่ได้ร้อนเงินสองแสนนั่น แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์นั้นที่เธอเผลอให้เงินไปรวดเดียวสองแสนหยวนก็ยังคงรู้สึกกลัดกลุ้มใจ“ไม่ได้ กลับไปครั้งนี้ ถ้ามีโอกาสต้องให้พวกเขาคืนเงินให้ได้ นี่มันสองแสนหยวนเลยนะ” เจี่ยงหลานกล่าวหานซานเฉียนยิ้ม
ซูไห่เฉารู้สึกโกรธมากกับคำพูดของซูหยิงเซี่ย เดิมทีเขาวางแผนใช้เรื่องนี้สร้างความลำบากให้ซูหยิงเซี่ย ดังนั้นเขาจึงมีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้เขาพูดกับซูหยิงเซี่ยด้วยความโมโหจนถึงขีดสุดว่า “ซูหยิงเซี่ย เธอรับผิดชอบโครงการเฉิงซีมาตลอด เธอคิดว่าคำพูดแบบนี้เหมาะสมกับสถานะในปัจจุบันของตัวเองมากนักหรือไง?”“ซูไห่เฉา นายอยากให้ฉันลาออกหรืออยากให้ฉันถูกปลดจากตำแหน่งล่ะ?” ซูหยิงเซี่ยถามอย่างใจเย็น เธอคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าซูไห่เฉาจะหาวิธีจัดการกับเธอ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยสักนิดเมื่อซูไห่เฉาได้ยินคำถามนี้ก็กัดฟันกรอด ถ้าไม่ใช่เพราะบริษัทเราต้องอาศัยเธอในการร่วมมือกับบริษัทลั่วเฉว เธอจะสามารถครอบครองตำแหน่งนี้ในบริษัทได้อย่างนั้นเหรอ“ซูหยิงเซี่ย เธออย่าชะล่าใจนักเลย บริษัทลั่วเฉวไม่มีทางเห็นความสำคัญของเธอไปตลอดหรอก เมื่อถึงเวลาที่พวกเขารู้ว่าความสามารถของเธอไม่เพียงพอสำหรับความรับผิดชอบในหน้าที่นี้ พวกเขาจะถีบหัวส่งเธอออกมาแน่นอน” ซูไห่เฉากล่าว“นายจะลองดูก็ได้นะ ลองให้คุณจงเหลียงเปลี่ยนตัวฉันดู นายกล้าไหมล่ะ?” ซูหยิงเซี่ยกล่าวซูไห่เฉารู้สึกโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมา ถ้าเขากล้าลองก็คงทำไป
ซูหยิงเซี่ยรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที เดิมทีเธอคิดว่ายังพอเจรจากันได้ แต่คาดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้สมรู้ร่วมคิดกันแล้ว ท่าทีของพวกเขาแข็งกร้าว เห็นได้ชัดว่าไม่เหลือช่องทางให้เจรจาเป็นอย่างอื่นเลย“เถ้าแก่ทุกท่าน ประธานของเราได้พูดแล้วว่าไม่สามารถขึ้นราคาให้ได้อย่างแน่นอนค่ะ แต่ฉันมีวิธี ไม่รู้ว่าพวกคุณจะยอมรับได้ไหม?” ซูหยิงเซี่ยลองพูดหยั่งเชิง“นอกจากเรื่องเงินแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีก”คังหลิงมองพิจารณาซูหยิงเซี่ยแล้วเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณซู สามีคุณเป็นคนไร้ประโยชน์ ได้ข่าวว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เขายังไม่ได้แตะต้องตัวคุณเลยนี่ รสชาติของการอยู่เป็นหม้ายมันไม่น่าพิศมัยเลยสินะ”เมื่อซูหยิงเซี่ยได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันที แล้วเอ่ยถามว่า “คุณคังหลิง คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?”คังหลิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมหมายความว่ายังไง คุณก็น่าจะเข้าใจนะ ถึงอย่างไรเราก็เป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น ถ้าคุณยินดี เรื่องนี้เรายังสามารถคุยกันได้”ซูหยิงเซี่ยกัดฟันกรอด เธอมาที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องความร่วมมือไม่ใช่มาขายตัว“ประธานคังคะ รบกวนคุณช่วยให้เกีย
ซูหยิงเซี่ยเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ หลังจากที่คังหลิงและคนอื่น ๆ กลับไปแล้ว เธอก็รีบสงบสติอารมณ์ แล้วขับรถตระเวนไปมาหลายบริษัท แต่ผลสุดท้ายก็ทำให้ซูหยิงเซี่ยต้องยอมรับความพ่ายแพ้ไม่มีใครยินดีร่วมมือกับตระกูลซู ดูเหมือนว่าคังหลิงจะเข้าควบคุมบริษัทผู้ผลิตทั้งหมดในเมืองหยุนเฉิงแล้ว แม้ตระกูลซูจะสามารถไปเมืองอื่นเพื่อแสวงหาโอกาสได้ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เส้นเวลาก็ขยายออกไปอีก ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการหยุดงานในโครงการเฉิงซีนั้นมากมายอย่างหาที่เปรียบมิได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทลั่วเฉวไม่อยากเห็นในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการเฉิงซี ซูหยิงเซี่ยรู้สึกได้รับความกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กดดันจนเธอแทบจะหายใจไม่ออกเลยทีเดียวเมื่อกลับมาถึงบริษัท ซูหยิงเซี่ยยังไม่ทันได้นั่งพักสักครู่ ซูไห่เฉาก็มาที่ห้องทำงานของเธออีกแล้ว“ซูหยิงเซี่ย อย่าบอกนะว่าเธอเจรจาไม่สำเร็จน่ะ?” ซูไห่เฉาเอ่ยถาม“ท่าทีของพวกเขาแข็งกร้าวมาก ฉันพยายามเต็มที่แล้ว” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างจนปัญญา“พยายามเต็มที่แล้วงั้นเหรอ?” ซูไห่เฉายิ้มเยาะแล้วพูดว่า “เมื่อกี้คุณคังหลิงโทรหาฉัน เขาบอกว่าเธอสาดน้ำชาใส่เขา ซูหยิงเซี่ย ฉันว่าเธอจงใจทำ
เพียงไม่นานนัก ซูอี้หานก็มาถึงห้องทำงาน“ไห่เฉา เกิดอะไรขึ้น ฉันเห็นซูหยิงเซี่ยเหมือนจะถืออะไรบางอย่างออกไป” ซูอี้หานถามด้วยความสงสัย“เธอไปแล้ว ต่อไปจะไม่ต้องเห็นเธอในบริษัทอีก” ซูไห่เฉากล่าวซูอี้หานรู้สึกตกใจ แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่เธอก็คิดไม่ถึงว่ามันเกิดขึ้นเร็วและกะทันหันเช่นนี้“เกิดอะไรขึ้น นายแก้ปัญหาทางฝั่งคุณจงเหลียงได้แล้วเหรอ?” ซูอี้หานเอ่ยถาม“เปล่า” ซูไห่เฉากล่าว“เปล่าอย่างงั้นเหรอ?” ซูอี้หานมองซูไห่เฉาด้วยความตกใจ เรื่องคุณจงเหลียงยังไม่ได้แก้ไข แล้วโครงการเฉิงซีจะทำอย่างไรล่ะ? ตอนนี้ตระกูลซูกำลังพึ่งพาโครงการเฉิงซีอยู่ ถ้าสูญเสียความร่วมมือกับบริษัทลั่วเฉวไป แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยตระกูลซูไม่ได้“ไห่เฉา นายบ้าไปแล้วเหรอ นายไม่กลัวว่าคุณจงเหลียงจะไม่ร่วมมือกับเรารึไง?” ซูอี้หานถาม“ซูหยิงเซี่ยต้องการจะไปเอง ฉันจะห้ามเธอได้ยังไง เรื่องนี้ฉันจะบอกกับคุณจงเหลียงเอง ฉันเชื่อว่าเขาจะเข้าใจ เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้เป็นคนไล่เธอออกไปซะหน่อย” ซูไห่เฉากล่าวแม้จะพูดแบบนั้น แต่ซูอี้หานก็ยังรู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไป ถึงอย่างไรคุณจงเหลียงก็กำหนดว่าต้องร่ว
เช้าวันถัดมา ซูไห่เฉาได้เปิดประชุมภายในตระกูลเพื่อแจ้งให้ญาติคนอื่น ๆ ทราบว่าซูหยิงเซี่ยลาออกแล้ว เมื่อทุกคนได้ยินข่าวนี้สีหน้าต่างก็เดูเป็นกังวลถึงอย่างไรก็มีกระจกเงาสะท้อนความล้มเหลวจากในอดีตมาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งนี้หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก จะไม่มีใครในตระกูลซูที่สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้อีกแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่คุณจงเหลียงจะให้โอกาสซูหยิงเซี่ยครั้งแล้วครั้งเล่า“ไห่เฉา ลูกแน่ใจเหรอว่าจะไม่มีปัญหาอะไร?” ซูกั๋วหลินถามซูไห่เฉาด้วยความเป็นห่วงซูไห่เฉาโบกมือไปมา เรื่องนี้เขายังไม่ได้บอกคุณจงเหลียง และยังไม่รู้ว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร แต่ซูไห่เฉาได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า หากในเวลานี้บริษัทลั่วเฉวยุติการให้ความร่วมมือกับตระกูลซู การก่อสร้างก็จะล่าช้าออกไป นักธุรกิจนั้นสนใจผลกำไร ใครจะอยากให้ตัวเองเสียหายโดยไม่จำเป็นกันล่ะ? ดังนั้นเขาจึงคาดการณ์ว่า ถ้าบริษัทลั่วเฉวรู้ว่าซูหยิงเซี่ยลาออกก็ไม่น่าจะมีปฏิกิริยาอะไรใหญ่โตนัก“พ่อครับ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง มันจะไม่มีปัญหาใด ๆ แน่นอนครับ ” ซูไห่เฉากล่าว“ไห่เฉา ถ้าเกิดว่ามีปัญหาอะไรขึ้นมา นายต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมาทั้งหมดนะ”“ใช่ นี่มันเส
ทนายความเหรอ?เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูไห่เฉาก็รู้สึกสับสน จู่ ๆ ทำไมเขาต้องติดต่อเจรจากับทนายความด้วยล่ะ?“พี่จงเหลียง ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายของพี่ครับ” ซูไห่เฉาพูดอย่างงุนงง“ในเมื่อผมต้องการยกเลิกสัญญา คุณก็น่าจะฟ้องร้องบริษัทลั่วเฉว ในเมื่อต้องการฟ้องร้อง ก็ย่อมต้องใช้ทนายความ พวกเขาคือทีมทนายความของบริษัทลั่วเฉว ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากคุณมีเรื่องไหนไม่พอใจก็บอกพวกเขาไว้แล้วกัน พวกเขาเป็นตัวแทนของผม และมีอำนาจเต็มที่” จงเหลียงกล่าวยกเลิกสัญญา!คำนี้ทำให้ซูไห่เฉารู้สึกตกตะลึงอย่างมาก!เดิมทีเขานึกว่าเป็นเรื่องดีที่จงเหลียงจะแนะนำเพื่อนให้เขารู้จัก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ เช่นนี้บริษัทลั่วเฉวยกเลิกสัญญา ตระกูลซูสามารถฟ้องร้องบริษัทลั่วเฉวได้ก็จริง แต่ด้วยภูมิหลังของบริษัทลั่วเฉวถึงการฟ้องร้องคดีจะยืดเยื้อไปเป็นแปดปีหรือสิบปีก็ไม่มีปัญหา แต่มันจะมีผลกระทบร้ายแรงสำหรับตระกูลซูในปัจจุบันโครงการเฉิงซีเป็นโครงการเดียวที่ตระกูลซูสามารถทำกำไรได้ในอนาคต หากไม่มีความร่วมมือนี้แล้ว ตระกูลซูจะไม่มีโอกาสได้พลิกฟื้นได้เลย“พี่จงเหลียง ทำไมมันถึงกะทันหันแบบนี้ล่ะครับ