“หานซานเฉียน ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่ ลืมไปแล้วหรือไงว่าแกไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาในคฤหาสน์แห่งนี้แล้ว” ซูอี้หานกล่าวกับหานซานเฉียนอย่างเย่อหยิ่ง“ซูไห่เฉาเชิญให้ฉันมา ฉันก็ต้องมาได้สิ” หานซานเฉียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ยิ่งซูอี้หานบินขึ้นไปสูงเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งตกลงมาได้น่าสมเพชเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอคิดจะโอ้อวดเรื่องอะไรอีก หลังจากที่ฉือจิงปรากฎตัว นึกไม่ออกเลยว่าเธอจะอยู่ในสภาพไหน“หึหึ” ซูอี้หานหัวเราะเยาะ เธอตกลงกับซูไห่เฉาไปแล้วนี่ว่าไม่อนุญาตให้หานซานเฉียนเข้าร่วมในวันครอบครัวรวมตระกูล แล้วซูไห่เฉาจะเป็นคนเชิญหมอนี่มาได้อย่างไรกันเธอจึงหันไปพูดกับซูหยิงเซี่ย “ซูหยิงเซี่ย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าเจ้าคนไร้ค่านี่ไม่มีสิทธิ์มาที่คฤหาสน์ตระกูลซู เธอเองก็มาในฐานะที่เป็นหัวหน้าโครงการเฉิงซี ไม่เห็นจำเป็นต้องพาหมอนี่มาด้วย หรือเธอคงจะคิดว่าจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องไว้หน้าซูไห่เฉาสินะ”สถานะปัจจุบันระหว่างซูหยิงเซี่ยและซูไห่เฉาเรียกได้ว่าต่างคนต่างอยู่ ถ้าซูไห่เฉาไม่มาแทรกแซงโครงการเฉิงซี เธอเองก็ไม่คิดจะไปยุ่งเกี่ยวกับเขาเช่นกัน“ซูอี้หาน การที่จะให้หานซานเฉียนมาหรือไม่ เธอไม่ได้เป็นคนตัด
เมื่อได้ยินคำพูดของซูอี้หาน ซูหยิงเซี่ยก็หัวเราะไม่หยุดและกล่าวว่า “เงินของเธอใกล้จะหมดแล้วไม่ใช่หรือไง?”“ถ้าฉันใช้หมดแล้วมันจะเป็นยังไงเหรอ เธอคงคิดว่าฉันจะต้องการความเห็นใจจากเธออย่างนั้นสินะ อย่าตลกไปหน่อยเลย ในสายตาฉัน เธอมันก็เป็นแค่หัวหน้าโครงการเฉิงซี ไม่ได้มีค่าอะไรอยู่แล้ว” ซูอี้หานพูดด้วยรอยยิ้ม เธอไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรกับการใช้จ่ายของเธออยู่แล้ว แถมเธอยังไม่เคยลังเลที่จะใช้เงิน เพราะไม่ช้าก็เร็ว เธอก็จะได้แต่งงานเข้าตระกูลหาน ตอนนี้เธอก็แค่ใช้จ่ายเงินไปไม่กี่ล้านเท่านั้น จะต้องไปสนใจอะไร“ชีวิตคนรวยอย่างฉัน พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก เพราะฉะนั้นเธอควรจะรับใช้ตระกูลซูอย่างซื่อสัตย์จะดีกว่า"“ก็หวังว่าเธอจะได้ในสิ่งที่ต้องการนะ ขอให้โชคดี” ซูหยิงเซี่ยกล่าว“เหอะ” ซูอี้หานหัวเราะออกมาและพูดว่า “การอวยพรที่เสแสร้งของเธอ ฉันไม่ต้องการหรอก ฉันรู้ว่าเธออิจฉาฉัน ไม่ต้องปิดบังหรอก ใคร ๆ เขาก็ดูออกกันทั้งนั้นแหละ”“หึ ฉันน่ะอิจฉาเธอจริง ๆ เลย ของแบรนด์เนมเยอะแยะขนาดนี้ ฉันใส่ไม่ไหวหรอก” ซูหยิงเซี่ยกล่าวเมื่อเห็นว่าซูหยิงเซี่ยยอมแพ้ แถมยังมีท่าทีอิจฉาเธอ ซูอี้หานก็ยิ่งภูมิใจ เธอ
ซูอี้หานแทบอดใจรอที่จะได้แนะนำตัวเองไม่ไหว เธอพูดกับฉือจิงว่า “ฉันชื่อซูอี้หานค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือแม่สามีในอนาคตของฉันหรือเปล่า?”คำพูดเหล่านี้ทำให้ซูหยิงเซี่ยกลั้นหัวเราะไม่ไหว ซูอี้หานคนนี้หน้าไม่อายจริง ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้าพูดแบบนี้ออกไป เธอไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าสินสอดพวกนั้นเป็นของเธอ แถมยังเรียกฉือจิงว่าแม่สามีอีก น่าขำชะมัด“แล้วสินสอดที่ฉันส่งมาตอนนั้นล่ะ?” ฉือจิงถามซูไห่เฉาโดยไม่ได้เหลือบมองซูอี้หานเลยสักนิด “ผมให้ซูอี้หานไปแล้ว คุณไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้ขโมยอะไรไปแม้แต่ชิ้นเดียว” ซูไห่เฉากล่าว“ให้เธอ?” ฉือจิงมองไปยังซูอี้หานจากนั้นก็ถามว่า “ไหนล่ะสินสอดของฉัน?”“คุณแม่สามี อยู่กับฉันเองค่ะ สินสอดและของที่คุณให้มา ฉันดูแลมันอย่างดีเลยค่ะ” ซูอี้หานพูดด้วยรอยยิ้ม“แม่สามีงั้นเหรอ?” ฉือจิงแค่นเสียงหัวเราะและกล่าวว่า “ฉันไม่ใช่แม่สามีของเธอหรอก และที่ฉันมาในวันนี้ก็เพราะจะมาขอสินสอดคืน”เปรี้ยง…ประโยคเมื่อครู่ราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจซูอี้หาน ขอสินสอดคืนอย่างนั้นเหรอ!ทำไมล่ะ ไม่มีเหตุผลเลย ทำไมถึงมาขอสินสอดคืนล่ะ?ซูอี้หานใช้เงินไปเกือบหมดแล้ว แถมเธอยังใช้จ่ายมันอย่า
ซูไห่เฉาปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ไม่กล้าแสดงความเย่อหยิ่งต่อหน้าฉือจิงอีก เขาเป็นถึงผู้นำตระกูลซู แต่ช่างกระจอกอะไรเช่นนี้ ผู้หญิงตรงหน้าสามารถเรียกคนตระกูลเทียนมาได้ง่าย ๆ แล้วเขาจะมีปัญญาเทียบเคียงเธอได้ยังไง “ซูอี้หาน รีบให้คนไปเอาสินสอดมาเดี๋ยวนี้” ซูไห่เฉาบอกกับซูอี้หาน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าวันนี้ไม่เอาสินสอดมาคืน เราแย่แน่ เหตุผลอะไรไม่จำเป็นอีกแล้ว อำนาจของเธอตอนนี้เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักที่สุด ช่างกดดันเสียจนคนในตระกูลซูหายใจแทบไม่ออกใบหน้าที่สิ้นหวังของซูอี้หานนั้นไร้สีเลือด พวกเครื่องประดับอะไรก็ยังพอจะเอามาคืนได้อยู่หรอก แต่เงินน่ะเธอใช้ไปเกือบหมดแล้ว เธอจะไปหาจากที่ไหนมาคืนให้?“ไห่เฉา นายช่วยฉันหน่อยสิ” ซูอี้หานขอความช่วยเหลือจากซูไห่เฉาซูไห่เฉารู้ว่าช่วงนี้ซูอี้หานใช้จ่ายเงินหมดไปเยอะ บนร่างกายของเธอนั้นเต็มไปด้วยของแบรนด์เนม แต่เธอเองก็ไม่ควรที่จะใช้เงินแปดล้านกว่าหยวนจนหมดเกลี้ยงทีเดียวนี่ ปัญหาใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่มีปัญญาแก้หรอกแล้วตอนนี้ซูอี้หานก็ไม่สามารถแต่งงานเข้าตระกูลหานได้ สำหรับเขาเธอก็หมดประโยชน์แล้ว“เธอไม่ควรใช้เงินจนหมดนะอี้หาน” ซูไห่เฉากัดฟันพูดซูอี้
สีหน้าของฉือจิงนั้นดูเย็นชาขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินซูอี้หานเรียกหานซานเฉียนว่าเจ้าคนไร้ค่าต่อหน้าเธอฉือจิงหันไปส่งซิกให้ลูกน้อง เขาคนนั้นก็เดินตรงไปหาซูอี้หาน และตบหน้าเธอพร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า “เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดจาพล่อย ๆ แบบนี้?”ซูอี้หานที่ถูกตบจนมึน ได้แต่เอามือปิดหน้าอย่างสงบปากสงบคำ“ถ้าวันพรุ่งนี้ เวลานี้ พวกเขาไม่เอาสินสอดมาคืนที่คฤหาสน์บนภูเขา พวกคุณคงรู้ใช่ไหมว่าควรจะจัดการยังไง?” ฉือจิงบอกกับคนของตระกูลเทียนที่อยู่ข้าง ๆคนของตระกูลเทียนรับคำสั่งกันโดยพร้อมเพรียง ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเธอเลยแม้แต่น้อย คนตระกูลหานคนนี้ ขนาดตระกูลเทียนที่มีอำนาจล้นฟ้าในหยุนเฉิง เธอกลับไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้จะอยู่ต่อหน้าพวกเขา หลังจากที่ฉือจิงกลับไป บรรยากาศในคฤหาสน์ตระกูลซูเต็มไปด้วยความกดดัน“ไห่เฉา พวกเราจะทำยังไงกันดี?” ซูกั๋วหลินถามซูไห่เฉามองไปที่ซูอี้หานด้วยแววตาที่โหดเหี้ยม ถ้าไม่ใช่เพราะเธอใช้เงินไปขนาดนั้น ปัญหานี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ซูไห่เฉาเสียใจมากที่เอาสินสอดให้ซูอี้หาน แต่น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว “งั้นก็ให้ซูหยิงเซี่ยช่วยโกหกว่าได้รับเงินแล้วสิ แค่นั้นก็หมดปัญ
หานซานเฉียนที่ไม่ได้รู้เรื่องราวความขัดแย้งภายในคฤหาสน์กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ใต้ร่มไม้ หลังจากที่ฉือจิงเดินออกมาก็พูดกับเขาว่า “สูบบุหรี่ไม่ดีต่อร่างกายนะ เลิกเสียเถอะ”หานซานเฉียนอัดบุหรี่เข้าเต็มปอดแล้วพูดว่า “ถ้าไม่เจ็บไม่ป่วยเลยแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ผมยังไม่ถึงวัยที่ต้องถนอมร่างกายตัวเองเสียหน่อย ถ้าไม่สูบตอนนี้จะให้สูบตอนแก่เหรอครับ?”เหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ที่ยกขึ้นมาเถียงนี้ทำเอาฉือจิงรู้สึกอึ้ง เธอจึงพูดว่า “ร่างกายเป็นต้นทุนที่มีค่ามากที่สุด ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงแล้วจะทำในสิ่งที่อยากทำได้ยังไง”หานซานเฉียนคิ้วกระตุก ฉือจิงพูดเหมือนกับว่าเธอรู้อะไรบางอย่าง “สิ่งที่ผมคิดจะทำจะสำเร็จหรือไม่มันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะว่าผมไม่ได้คิดจะทำเพื่อพิสูจน์ให้ใครเห็น ผมแค่อยากทดสอบความสามารถของตัวเองก็เท่านั้น” หานซานเฉียนพูดด้วยเสียงเรียบเฉย“แต่เรื่องบางเรื่อง ลูกก็ต้องทำให้สำเร็จนะ” ฉือจิงกล่าวพลางหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาให้หานซานเฉียนเมื่อเห็นคนที่อยู่ในรูป หานซานเฉียนก็ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “นี่ใครเหรอครับ?”“ตอนนั้นเป็นเพราะเขา ลูกก็เลยไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
“แต่หลังจากที่คุณปู่จากไป สถานะของผมในบ้านตระกูลหาน แม่เองก็รู้ดีนี่ครับ แล้วแม่ยังคิดจะเอาเรื่องคุณปู่มาโน้มน้าวผมอีก คิดว่าจะได้ผลหรือไง?” หานซานเฉียนยิ้มเย้ยหยัน“จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพบศพของหานเทียนหย่างเลย โลงศพของเขาในสุสานยังว่างเปล่ามาจนถึงตอนนี้” ฉือจิงกล่าวพอได้ยินเช่นนั้น หานซานเฉียนรู้สึกตื่นตัวทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “หมายความว่ายังไงครับ ที่แม่พูดเมื่อกี้นี้มันหมายความว่ายังไง!”ข่าวลือเรื่องการเสียชีวิตของหานเทียนหย่างแพร่กระจายจนถึงหูคนตระกูลหาน ในตอนนั้นหานซานเฉียนยังเป็นแค่เด็ก เมื่อเขารู้ข่าวก็เอาแต่ร้องไห้จนแทบขาดใจ แต่ตอนนี้ฉือจิงกลับมาบอกเขาว่าไม่มีใครเคยพบศพของหานเทียนหย่งเลยอย่างนั้นเหรอ“แม่ก็แค่ตั้งคำถามเท่านั้น แต่ว่าจะจริงหรือไม่นั้นลูกคงต้องไปตรวจสอบเอาเอง บางทีถ้าสืบรู้ถึงภูมิหลังของนักบุญลัทธิเต๋าคนนั้นแล้ว เรื่องทั้งหมดอาจจะกระจ่างขึ้นก็ได้” ฉือจิงพูดจบเธอก็กลับทันทีราวกับมีอะไรจุกอยู่ที่อกของเขา คุณปู่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ?เป็นไปได้ไหมว่าที่จริงแล้วคุณปู่ยังไม่ตาย แต่ถูกใครบางคนจับตัวไปแล้วถ้ามันเป็นแบบนั
ฉือจิงเพิ่งเดินออกจากเขตคฤหาสน์ จู่ ๆ เหยียนจุนก็มาปรากฏตัวข้างเธอราวกับวาร์ปมา“คุณไม่เพียงแต่ผลักภาระให้เขา คุณยังไปให้ความหวังเขาโดยไม่จำเป็นอีกด้วย” เหยียนจุนพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น แม้ว่าหน้าที่ของเขามีแค่ปกป้องตระกูลหาน ไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในตระกูล แต่ว่าเขาก็ทนดูพฤติกรรมของฉือจิงไม่ไหวเอารูปถ่ายให้หานซานเฉียนโดยเจตนาให้เขาไปตรวจสอบเบื้องหลังที่ปกปิดไว้ของนักบวชลัทธิเต๋า เรื่องนี้มันอันตรายมาก แถมเขาคาดไม่ถึงเลยว่าฉือจิงยังขุดเอาเรื่องของหานเทียนหยางมาเพื่อมัดมือชกหานซานเฉียน เขาไม่มีทางเลือกเลยสักนิด“ตระกูลหานทุกคนหรือแม้แต่ตัวฉันเองไม่เคยให้ความรักความเป็นครอบครัวกับเขา มีแค่คุณปู่หานเทียนหยางเท่านั้นที่เอาใจใส่เขามากที่สุด มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะกระตุ้นให้หานซานเทียนพยายามตามสืบเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ได้” ฉือจิงกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์“แต่ว่าคุณก็ไม่ควรให้ความหวังกับเขาแบบนี้ สำหรับเขาแล้วเรื่องหานเทียนหยางเป็นความเจ็บปวดที่เขาไม่มีวันลืม เขาร้องไห้เสียใจหนักขนาดไหน คุณลืมไปแล้วหรือไง?” เหยียนจุนพูดอย่างโกรธเคือง“แน่นอนว่าฉันรู้ แต่ความรู้