เพียงไม่นานนัก หานซานเฉียนก็มาถึงตระกูลเทียนเทียนหลิงเอ๋อร์มาต้อนรับที่ประตูด้วยตัวเอง เมื่อเธอมองเห็นหานซานเฉียน เธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันทีอย่างไม่รู้ตัว แต่เธอยังคงแสดงท่าทีสูงศักดิ์และเย็นชาต่อหน้าหานซานเฉียน“คุณมาหาคุณปู่ของฉันทำไมคะ” เทียนหลิงเอ๋อร์เอามือเท้าสะเอวแล้วเอ่ยถามหานซานเฉียนไม่คาดคิดว่าเทียนหลิงเอ๋อร์จะยืนอยู่ข้างนอกด้วยเท้าเปล่า ยังดีที่เป็นตอนเช้า แสงแดดจึงไม่แผดเผาพื้นดินเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นถ้าเท้าคู่นี้ของเธอยืนต่อไปได้อีกสักพัก คงทาน้ำมันยี่หร่าทำปิ้งย่างได้แล้ว“คุณหนูครับ แม้แต่รองเท้าคุณหนูก็ยังหาซื้อไม่ได้เหรอ?” หานซานเฉียนเอ่ยพร้อมกับหัวเราะ“ใช่แล้วล่ะ หรือว่าคุณจะหาซื้อให้ฉันดี?” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดออกมาแบบไม่อายปากหานซานเฉียนยักไหล่และพูดว่า “รองเท้าที่คุณสวมใส่เป็นของแบรนด์เนมทั้งนั้น ผมจ่ายให้ไม่ไหวหรอก”“เดี๋ยวนะ คุณคิดว่าฉันคงเป็นคนประเภทนั้นสินะ? เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันซื้อรถให้คุณตั้งหนึ่งคัน คุณตอบแทนฉันด้วยการซื้อรองเท้าให้ฉันสักคู่ คงไม่มากเกินไปใช่ไหมคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์หยั่งเชิง“ได้ ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”เมื่อเทียนหลิงเอ๋อร์พูดจบ ก็วิ
ด้วยข้อแก้ตัวของหานซานเฉียน วันนี้เขาเลยไม่ว่างพาเทียนหลิงเอ๋อร์ไปชอปปิง ทำให้หนีรอดมาได้แค่ชั่วคราว แต่เทียนหลิงเอ๋อร์ก็ไม่วายพูดดักเอาไว้ว่า ภายในสามวันเขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อย หานซานเฉียนจึงจำใจต้องรับปากออกไปอย่างไม่มีทางเลือกหลังจากรอให้หานซานเฉียนปลีกตัวจากไปแล้ว ความตื่นเต้นและความกระตือรือร้นของเทียนหลิงเอ๋อร์ก็หายไป.ราวกับมะเขือยาวที่ห่อด้วยน้ำแข็ง เธอรู้สึกราวกับไร้เรี่ยวแรง ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนเพลีย ร่างกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณของเธอเหมือนหลุดลอยออกจากร่าง“ถ้าไม่มีอะไรทำ หลานลองไปเล่นสนุกที่ตระกูลซูดูสิ” เทียนฉางเฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม“จะให้ไปทำอะไรที่ตระกูลซูคะ หนูไม่ไปหรอก” เมื่อก่อนกิจกรรมประจำวันของเทียนหลิงเอ๋อร์มีมากมาย เช่น การนัดรวมตัวชอปปิงกับเพื่อนสนิทเมื่อไม่มีเรียน โดยปกติแล้วเธอมักจะเที่ยวเล่นได้อย่างสบายใจ แต่ช่วงนี้ ตั้งแต่เธอได้เห็นความเก่งกาจของหานซานเฉียน และหลังจากที่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าชายน้อยแห่งเปียโน เทียนหลิงเอ่อร์ก็ไม่สนใจเรื่องพวกนั้นอีกเลย“ไปที่ตระกูลซู แล้วทำให้พวกเขารู้ว่าสาเหตุที่ตระกูลเทียนช่วยตระกูลซู เป็นเพราะความส
“คุณหนูเทียน ในเมื่อนายใหญ่ตระกูลเทียนไม่ยอมรับพวกเรา แล้วคุณหนูมาหาฉันทำไมคะ? หรือแค่มาเพื่อทำให้ฉันอับอาย?” หญิงชราพูดอย่างไม่พอใจ“เมื่อครู่นี้ไม่ใช่ว่าฉันพูดไปแล้วเหรอ? ลมที่ไร้ยางอายพัดค่อนข้างแรง เพราะแบบนี้ถึงได้พัดเอาฉันมาที่นี่ด้วย ฉันเองก็ไม่ได้สมัครใจที่จะมาหรอกนะ” เทียนหลิงเอ๋อร์ตอบกลับด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ประโยคนี้ทำให้หญิงชรารู้สึกโกรธจนแทบกระอักเลือด เธอกัดฟันแน่นและพูดว่า “คุณหนูเทียน ถ้าไม่มีธุระอย่างอื่นแล้ว คุณหนูกลับบ้านไปเถอะค่ะ ฉันอายุมากแล้ว ต้องการพักผ่อนแล้วค่ะ”“แค่พักผ่อนเท่านั้นเองเหรอ? คงไม่รอดคืนนี้ซะแล้วละมั้ง” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดด้วยรอยยิ้ม“คุณหนู…” หญิงชรารู้สึกโกรธจนหัวแทบระเบิด ชี้นิ้วไปที่เทียนหลิงเอ๋อร์อย่างสั่นเทาเทียนหลิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนชั่วร้าย คำพูดเหล่านี้ล้วนเรียนรู้มาจากละครโทรทัศน์ เมื่อเห็นว่าหญิงชราโกรธจัดแบบนี้ เธอก็ใจอ่อนลง แล้วพูดว่า “คุณย่าคะ วันนี้ที่ฉันมาก็เพื่อบอกกับคุณย่าเรื่องหนึ่งว่า ที่หานซานเฉียนเก่งกาจได้ก็เป็นเพราะตระกูลเทียน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเขาเองแม้แต่น้อย”“คนไร้ค่าอย่างเขา ฉันรู้จักมาเป็นเวลาสามปีแล้ว ไม่ต
หลังจากมาถึงคฤหาสน์ หญิงชราก็อดทนรอไม่ไหวที่จะบอกซูไห่เฉาถึงเรื่องธุรกิจความร่วมมือกับตระกูลเทียน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ซูไห่เฉาคงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากแน่นอน เพราะในที่สุดเขาก็ได้โครงการนี้มา ทำให้เขามีต้นทุนพอที่จะต่อสู้กับซูหยิงเซี่ยอย่างเท่าเทียม แต่ตอนนี้ภายในใจของเขากลับไม่พอใจในตำแหน่งใด ๆ ที่อยู่ภายใต้ประธานกรรมการบริษัทอีกแล้วมีเพียงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทเท่านั้น เขาถึงจะมีอำนาจขับไล่ซูหยิงเซี่ยออกจากตระกูลซู หลัง.จากนั้นก็แก้แค้นหานซานเฉียนดังคำกล่าวที่ว่า เรื่องผิดพลาดไม่ควรทำเกินสามครั้ง ซูไห่เฉาถูกหานซานเฉียนจัดการมาแล้วสามครั้ง ความอัปยศอดสูเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถยอมรับได้อย่างเด็ดขาดแต่เมื่อมองจากภายนอกแล้ว ซูไห่เฉากลับแสดงท่าทางซาบซึ้งใจและตื่นเต้นอย่างมาก “คุณย่าครับ ผมขอบคุณที่คุณย่าเชื่อมั่นในตัวผมนะ คุณย่าวางใจได้เลย ผมจะต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ และจะไม่ทำให้คุณย่าผิดหวังเด็ดขาด” ซูไห่เฉาพูดหญิงชราพูดด้วยความรู้สึกปลื้มใจว่า “ย่าหวังว่าหลานจะสามารถพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าในเรื่องนี้ได้ ถ้าหลานสามารถทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ ย่าจะมอบตำแหน่งประธานกรรมการบริษ
ซูกั๋วเย่าพยักหน้ารับด้วยใบหน้าซีดเซียวจากอาการตกใจ แม้ว่าหญิงชราจะปฏิบัติต่อเขาไม่ค่อยดี แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดเขา ตอนนี้เธอมาเสียชีวิตไปซะแล้ว เป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงความเสียใจซูหยิงเซี่ยก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แม้ว่าเธอจะถูกหญิงชราดูถูกสารพัด แต่ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เธอทำใจยอมรับไม่ไหวจริง ๆ“ทำไมถึงได้กะทันหันขนาดนี้ อยู่ดี ๆ ทำไมท่านถึงเสียชีวิตได้คะ?” ซูหยิงเซี่ยถามอย่างไม่เชื่อ“พ่อก็ไม่ค่อยเข้าใจ ไป ไปกันเถอะ กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซูกัน” ซูกั๋วเย่าพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนทั้งครอบครัวออกเดินทางอย่างรีบเร่ง อาหารที่อยู่บนโต๊ะยังไม่ได้แตะต้องสักคำก่อนที่จะออกไป เจี่ยงหลานพูดกับเหอถิงว่า “วันนี้อาหารพวกนี้คงคุ้มค่าสำหรับเธอแล้วล่ะ”เมื่อมาถึงที่คฤหาสน์ตระกูลซู กลุ่มบรรดาญาติ ๆ ของตระกูลซูก็มาถึงครบแล้วในห้องของหญิงชรา ซูไห่เฉาและซูอี้หานกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่ข้างเตียง พร้อมกับร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก การแสดงออกด้วยน้ำตาที่ไหลรินจากความเสียใจอย่างสุดซึ้งของซูไห่เฉา ทำให้ผู้คนมองเห็นถึงความผิดปกติในการกระทำเล็กน้อยนี้ซูหย
คำพูดของซูไห่เฉาเห็นได้ชัดว่าเป็นมุมมองของตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท แต่ภายในห้องก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านออกมา เพราะพวกเขาต่างรู้ดีกันอยู่ว่า สุดท้ายหญิงชราจะมอบตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทให้กับซูไห่เฉา ตอนนี้หญิงชราได้เสียชีวิตแล้ว โดยปกติก็คงจะเป็นเขาที่ต้องมาสืบทอดตำแหน่งนี้แทน“ไห่เฉา ลูกหมายความว่า พวกเราได้แค่ต้องจำใจกล้ำกลืนความเจ็บปวดนี้ไว้เหรอ?” ซูกั๋วหลินกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางกล้ำกลืนฝืนทนซูไห่เฉาถอนหายใจและพูดว่า “คุณพ่อคิดว่าตอนนี้ตระกูลซูมีคุณสมบัติที่จะจัดการกับตระกูลเทียนอย่างนั้นเหรอครับ? ถ้าทำให้ตระกูลเทียนอับอาย พวกเราทั้งหมดได้เจอกับหายนะแน่นอน พวกเราอดทนกันชั่วคราวไปก่อน หวังว่าคงไม่มากเท่าไหร่หรอกครับ ตราบใดที่ยังมีโอกาสแก้แค้นในอนาคตก็เพียงพอแล้ว”เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยหญิงชราเสียชีวิตแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ทุกคนในตระกูลจะต้องถูกฝังตามไปกับเธอด้วยช่วงนี้การไปสร้างปัญหากับตระกูลเทียนนั้นก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งการตายของหญิงชราก็ไม่สามารถกล่าวอ้างกับสังคมภายนอกได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเทียน ไม่อย่างนั้นแล้วตระ
ความจริงแล้วภายในใจของซูหยิงเซี่ยไม่ได้คิดว่าหานซานเฉียนเป็นคนทำเรื่องนี้ แต่เธอไม่ได้พูดและไม่ได้ส่ายหน้า หรือพยักหน้ารับใด ๆ ทุกคนในตระกูลซูมาที่ห้องนั่งเล่นและกำลังปรึกษาหารือเกี่ยวกับงานศพของหญิงชรา เมื่อหานซานเฉียนรู้ว่าซูอี้หานจะเอาสินสอดเหล่านั้นไป เขาจึงพูดกับซูอี้หานว่า “เงินพวกนี้ เธอก็ใช้จ่ายอย่างประหยัดอดออมด้วยนะ ไม่งั้นในอนาคตเธอจะต้องจ่ายคืน ซึ่งเธอไม่สามารถจ่ายคืนมันได้”ซูอี้หานมองไปที่หานซานเฉียนอย่างรังเกียจ และพูดว่า “แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ฉันใช้เงินของตัวเองแล้วเกี่ยวอะไรกับแกด้วย แกอย่าลืมว่าแกเป็นแค่คนนอก แกมีสิทธิ์อะไรที่จะชี้แนะฉัน?”“คุณมั่นใจมากว่าสินสอดนั่นเป็นของคุณใช่ไหม?” หานซานเฉียนเอ่ยถามอย่างเย็นชา“แน่นอนสิ” ซูอี้หานกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “นอกจากฉันแล้วจะยังมีใครที่มีสิทธิ์ในสินสอดนั่นอีก?”“ผมแค่แนะนำด้วยความหวังดี คนที่สามารถส่งสินสอดมากมายขนาดนี้มาให้ได้ อีกฝ่ายต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ถ้าคุณจ่ายเงินคืนไม่ได้ อาจจะนำไปสู่จุดจบที่ทำให้ครอบครัวของคุณต้องพังพินาศ” หานซานเฉียนกล่าว“เจ้าโง่ นี่แกสาปแช่งฉันใช่ไหม?” ซูอี้หานจ้องไปที่หานซานเฉียนอย่าง
วันรุ่งขึ้น ห้องโถงไว้ทุกข์ของหญิงชราถูกสร้างขึ้นภายในคฤหาสน์ตระกูลซู หลายคนที่ได้ยินข่าวนี้ต่างรีบมาที่คฤหาสน์ตระกูลซูทีละคน เพื่อส่งหญิงชราเป็นครั้งสุดท้ายถึงแม้หลังจากที่ตระกูลซูได้เป็นผู้ดำเนินการโครงการเฉิงซีอย่างต่อเนื่อง และไม่มีการร่วมมือกับบุคคลอื่นอีก แต่มิตรภาพก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ ดังนั้นคนที่มาถึงคฤหาสน์ตระกูลซูจึงมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน การแสดงละครของซูไห่เฉายังทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนเมื่อวาน ดวงตาทั้งสองของเขาบวมและแดงช้ำราวกับว่าโศกเศร้าเสียใจมาก พูดถึงสาเหตุการเสียชีวิตของหญิงชรากับบุคคลภายนอกว่าเป็นเพราะโรคประจำตัวกำเริบแม้บุคคลภายนอกจะรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหันมาก แต่หญิงชราก็อายุมากแล้ว การเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นถือเป็นเรื่องปกติได้เช่นกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในตระกูลซู บุคคลภายนอกจึงไม่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดหานซานเฉียนยืนอยู่ข้างนอกคฤหาสน์ในชุดสีดำและไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะสวมเสื้อผ้าไว้ทุกข์สำหรับลูกหลานคนจีนของตระกูลด้วย เพราะคฤหาสน์หลังนี้เป็นของซูไห่เฉาเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ประตูซูไห่เฉาก็ไม่ยอมให้เขาเข้าไปในช่ว