เทียนฉางเฉิงยิ้มบาง ๆ และพูดว่า “หลานขู่เขาขนาดนี้ ครั้งหน้าเขาคงไม่กล้ามาอีกแล้วล่ะ”เทียนหลิงเอ๋อร์บุ้ยปากและพูดด้วยสีหน้าท่าทางไม่พอใจ “แล้วใครบังคับให้คุณปู่ท่านพูดแบบนี้ทุกครั้งล่ะคะ? เริ่มตั้งแต่แรกที่หนูเจอท่าน ท่านก็บอกว่าจะให้ของขวัญกับหนู นี่กี่ปีแล้ว หนูยังไม่เคยเห็นของขวัญนั่นเลยว่ามันเป็นอะไร?"“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เทียนฉางเฉิงหัวเราะเสียงดัง แม้หวางเม่าจะมีตำแหน่งค่อนข้างสูงในเมืองหยุนเฉิง แต่เขาก็เป็นคนตรงไปตรงมา แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยได้รับผลประโยชน์จากผู้อื่น ดังนั้นชีวิตของเขาจึงยืดเยื้อชักหน้าไม่ถึงหลัง แล้วจะยังมีเงินสำรองที่ไหนมาซื้อของขวัญให้เทียนหลิงเอ๋อร์ได้ล่ะ?แต่ชายชราคนนี้ต้องการรักษาภาพลักษณ์เหมือนกัน เขาจึงพูดถึงเรื่องนี้ทุกครั้ง“คุณปู่คะ คุณปู่หวางมาหาคุณปู่ทำไมกันคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างสงสัย“เขามาขอความช่วยเหลือจากปู่น่ะ” เทียนฉางเฉิงนั่งลงบนโซฟาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ขอความช่วยเหลืออย่างนั้นเหรอคะ? คุณปู่หวางก็ไม่ใช่คนของกลุ่มธุรกิจ แล้วมาหาคุณปู่ให้ช่วยเหลือเรื่องอะไรคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างงุนงง สำหรับคุณปู่หวางเม่าที่ไม่ได้ให้ของขวั
ในวันเผาศพของหญิงชรา หานซานเฉียนยังคงไม่สามารถติดตามขบวนขนาดใหญ่ไปด้วยได้ นั่นเป็นเพราะท่าทีของซูไห่เฉา ตอนนี้ทุกคนจึงถือว่าหานซานเฉียนเป็นคนนอกโดยสมบูรณ์ แต่เมื่อมาถึงเมรุเผาศพ ซูไห่เฉากลับพบเรื่องบางอย่างเตาเผาศพของเมรุแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ด้วยตำแหน่งของหญิงชรา ย่อมต้องเลือกคุณภาพระดับสูงสุด แต่เนื่องจากความผิดพลาดของซูไห่เฉาที่ไม่มีการจองล่วงหน้าไว้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่นำศพของหญิงชราไปวางไว้ที่ด้านข้างพร้อมกับกลุ่มคนที่รออย่างกระวนวาย“ทำยังไงกันดี ถ้าวันนี้ไม่สามารถเผาศพได้ก็จะพลาดฤกษ์ดีแล้วนะ ไห่เฉา นายรีบคิดหาวิธีเร็ว”“ใช่แล้ว ฉันปล่อยให้แม่รออยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”“ไห่เฉ่า ตอนนี้นายเป็นประธานกรรมการบริษัทของตระกูลซู ศักดิ์ศรีเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังให้ไม่ได้เลยเหรอไง?”ซู่ไห่เฉาเจรจากับคนที่อยู่บริเวณเมรุ แต่วันนี้เตาเผาศพคุณภาพสูงที่สุดล้วนไม่ใช่บุคคลธรรมดาที่จะนำมาเผาได้ เขาจึงเสนอเรื่องนี้ไปว่าต้องการลัดคิว แต่ถูกหัวหน้าผู้ดูแลเมรุดุด่าเข้าเต็ม ๆ ซึ่งสีหน้าชายคนนั้นไม่ให้เกียรติเขาเลยแม้แต่น้อย“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเข้าไปในเมรุแล้ว ถ้าขืนออกไปทั้งแบบนี้ ฉันได้ยิน
เมื่อซูไห่เฉาเดินกลับมา บรรดาญาติพี่น้องตระกูลซูต่างพากันชื่นชมซูไห่เฉาอย่างมาก “ไห่เฉา ฉันบอกแล้ว เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณ เมื่อสักครู่นี้ผู้จัดการของเมรุเผาศพออกมาบอกว่า เขาจะจัดการแก้ไขปัญหาให้เราในไม่ช้า” “สมกับที่เป็นประธานของเรา ไห่เฉา คุณเก่งจริง ๆ” “บริษัทอยู่ในมือคุณ จะต้องก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปอย่างแน่นอน” แม้ว่าเรื่องนี้ซูไห่เฉาจะไม่ได้เป็นคนจัดการ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าหานซานเฉียนเป็นคนทำเช่นกัน ซูไห่เฉาจึงยอมรับคำเยินยอเอาไว้ทั้งหมด เขายิ้มแล้วพูดว่า “ตอนแรกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยังไงตอนนี้ผมก็เป็นประธานบริษัท เขาต้องให้เกียรติผมอยู่แล้ว” “แน่นอน ใครจะกล้าไม่ให้เกียรติประธานแห่งตระกูลซูล่ะ?” ในขณะที่บรรดาญาติพี่น้องตระกูลซูกำลังภาคภูมิใจอยู่นั้น ก็มีน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามดังขึ้นมาว่า “ประธานบ้าบออะไร ไม่อยู่ในสายตาผมสักนิด” เมื่อซูไห่เฉาเห็นชัดเจนแล้วว่าเจ้าของเสียงคือใคร สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว เขาเป็นผู้จัดการที่อยู่ในสำนักงานเมื่อครู่นี้ ญาติตระกูลซูไม่รู้ว่าเขาให้เกียรติใคร แต่ตัวเขาเองนั้นรู้ดี “คุณ...ทำไมคุณพูดแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เ
ด้วยความช่วยเหลือจากหานซานเฉียน การฌาปนกิจและฝังศพไม่ได้ทำให้ฤกษ์มงคลล่าช้าไป สามารถจัดขึ้นได้ในวันเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่ตระกูลซูไม่ได้รู้สึกขอบคุณหานซานเฉียนในเรื่องนี้ กลับกลายเป็นเกลียดชังเขามากเป็นพิเศษด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูไห่เฉา เขารู้สึกว่าตนเองต้องรู้สึกอับอายเพราะหานซานเฉียน ดังนั้นเขาจึงจดจำความเคียดแค้นที่มีต่อหานซานเฉียนเอาไว้อีกครั้ง ไม่กี่วันต่อมา เรื่องของตระกูลซูก็เงียบลง และมันก็ไม่ได้เป็นที่โจษจันมากมายนักในเมืองหยุนเฉิง ถึงอย่างไรหญิงชราก็ไม่ได้ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญอะไรในตระกูลซู เช้าวันนี้ ในขณะที่หานซานเฉียนยังไม่ตื่นนอนก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมาหลายครั้งอย่างเอาเป็นเอาตาย “ทำไมคุณยังไม่ตื่นนอนอีก คุณลืมไปแล้วเหรอว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง?” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดอย่างรีบร้อนตามคาด หานซานเฉียนลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมองดูเวลา แล้วกดวางสายไปซะ บ้าไปแล้ว นี่ยังไม่ถึงเวลาหกโมงเช้าเลย! เทียนหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์ไม่ได้เห็นหน้าหานซานเฉียนมาหลายวันแล้ว ดังนั้นเธอจึงอดใจรอแทบไม่ไหว แม้ว่าจะยังเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่ในความคิดของเธอ วันนี้หานซานเฉียนต้องเผชิญก
“ผู้อาวุโสซ่างกวน ไม่คิดว่าคุณจะมาที่นี่จริง ๆ” “ครั้งนี้ผู้อาวุโสซ่างกวนมาถึงเมืองหยุนเฉิง มีเรื่องอะไรให้ต้องจัดการเหรอครับ? ถ้ามีอะไรให้ผมรับใช้ กรุณาเอ่ยปากได้อย่างเต็มที่” “ผู้อาวุโสซ่างกวน นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งแก่สมาคมหมากล้อมเมืองหยุนเฉิงของเรา หากคุณสะดวกชี้แนะสักสองสามกลยุทธ์ ทักษะการเล่นหมากล้อมของเราต้องพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอน” ซ่างกวนเฮยไป๋เคยชินกับการถูกสรรเสริญเยินยออยู่แล้ว บุคคลระดับเขา ไปที่ไหนย่อมได้รับการต้อนรับจากผู้คนมากมาย เขาเดินเข้าไปหาหวางเม่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วพูดว่า “ขอคำชี้แนะสักสองสามกลยุทธ์งั้นเหรอ ดูซิว่าหัวหน้าของพวกคุณมีศักยภาพสักแค่ไหน” สีหน้าของหวางเม่าแย่ลง เขาพ่ายแพ้มานานหลายปีแล้ว จนกลายเป็นเงามืดในใจยามที่ต้องเผชิญหน้ากับซ่างกวนเฮยไป๋ แค่เห็นหน้าหัวใจก็อยากถอยแล้ว ทำให้เขาพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ทันได้ต่อสู้ “ผู้อาวุโสซ่างกวนจะประลองกับหัวหน้าเหรอ?” “เยี่ยมมาก เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกเราจะได้เห็นผู้อาวุโสซ่างกวนเดินหมากด้วยตาของตัวเอง” “หัวหน้า เวลาไม่รอช้า เรามาเริ่มกันเถอะ” การเดินหมากของซ่างกวนเฮยไป๋ คนเหล่านี้ล้วนเคยเห็นมาแ
ทันทีที่หวางเม่าพูดจบ สมาชิกทั้งหมดของสมาคมหมากล้อมก็มองไปทางสวี่ฮวนซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า หวางเม่ามีลูกศิษย์สองคน คนหนึ่งคือเซี่ยเฟย และอีกคนหนึ่งก็คือสวี่ฮวน เซี่ยเฟยถูกหวางเม่าขับไล่ออกจากสำนักเมื่อหลายวันก่อน คนที่สามารถลงสนามแทนเขาได้ก็เหลือเพียงสวี่ฮวนเท่านั้น แต่ระดับฝีมือด้านหมากล้อมของสวี่ฮวนนั้นไม่ได้โดดเด่นมากนัก ถ้าเป็นเซี่ยเฟย พวกเขายังพอเข้าใจ แต่ถ้าส่งสวี่ฮวนลงสนาม มันจะไม่เห็นทนโท่อยู่หรือว่าจะแพ้? ทันใดนั้น หานซานเฉียนได้เดินเข้ามาเคียงข้างเทียนฉางเฉิง เนื่องจากมาสายจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “หัวหน้า ด้วยความสามารถของสวี่ฮวน จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของลูกศิษย์ผู้อาสุโสซ่างกวนได้ยังไง อย่าเสียเวลาเลย คุณลงสนามเองเถอะ” “ใช่แล้ว สวี่ฮวนจะเอาชนะได้ยังไง” “ระดับฝีมือด้านหมากล้อมของเธอ พวกเราทุกคนต่างรู้กันดี” เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าสวี่ฮวนจะรู้สึกไม่ยินยอม แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันและนิ่งเงียบ เพราะความรู้เรื่องหมากล้อมของเธอนั้นไม่ลึกซึ้งจริง ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสามารถเลย เห็นได้ชัดว่าโอวหยางซิวเจี๋ยที่อยู่ตรงหน้าเป็นยอดฝีมือ ต่อให้เธอลงสนามสู้ ก็มี
หวางเม่ามองหานซานเฉียนด้วยความซาบซึ้งใจ ถ้าหานซานเฉียนไม่ร่วมเล่นละครกับเขา วันนี้เขาคงไม่ใช่แค่เสียหน้าในเกมหมากล้อมเท่านั้น ซ่างกวนเฮยไป๋มองหานซานเฉียนอย่างดูถูก แล้วพูดว่า “ได้ รอให้ลูกศิษย์ของคุณแพ้ แล้วคุณค่อยลงสนาม แต่ผมแนะนำให้คุณควรรีบเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ นะ” ซ่างกวนเฮยไป๋มั่นใจในความสามารถของโอวหยางซิวเจี๋ยมาก ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ที่เขาตั้งใจฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ถ้าแม้แต่ลูกศิษย์ของหวางเม่ายังเอาชนะไม่ได้ ไม่เท่ากับเสียแรงเปล่าหรอกหรือ “เฮ้อ ต้องมาเสียเวลากับคุณอีก เร็วเข้าเถอะ เวลาของผมมีค่ามาก” โอวหยางซิวเจี๋ยดูท่าทางหงอยเหงาซึมเซา ราวกับว่าเขาไม่รู้สึกสนใจการแข่งหมากล้อมกับหานซานเฉียนเลย สวี่ฮวนนำกระดานหมากล้อมออกมา โอวหยางซิวเจี๋ยจับหมากสีขาว หานซานเฉียนจับหมากสีดำ การแข่งขันหมากล้อมเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ บรรดาจีนมุงต่างชะเง้อคอมอง หวางเม่ารู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน ถ้าหานซานเฉียนเอาชนะโอวหยางซิวเจี๋ยไม่ได้ สงครามครั้งนี้เขาย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว อีกอย่างถ้าหานซานเฉียนพ่ายแพ้ เขาก็คงจะแพ้ด้วยอย่างแน่นอนเช่นกัน เกียรติยศของเขาจะถูกซ่างกวนเฮยไป๋เหยียบย่ำก
เมื่อหานซานเฉียนพูดออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างพากันฮือฮา แม้แต่หวางเม่ายังหน้าซีดเผือด เมื่อเอาชนะโอวหยางซิวเจี๋ยได้แล้วก็ควรจะรู้จักพอ ตอนนี้ที่พูดแบบนี้ออกมานั้นไม่เป็นการยั่วยุซ่างกวนเฮยไป๋หรอกหรือ? “พ่อหนุ่ม ทำไมคุณถึงพูดจาดูหมิ่นกันแบบนี้ นึกว่าใครก็เป็นคู่ต่อกรกับซ่างกวนเฮยไป๋ก็ได้หรือไง?” “คุณเอาชนะลูกศิษย์ของผู้อาวุโสซ่างกวนได้ก็เพราะความโชคดี ยังกล้าอวดดีถึงขนาดนี้” “พ่อหนุ่ม เจียมตัวไว้บ้างก็ดีนะ ไม่อย่างนั้นตัวเองนั่นล่ะที่จะเสียหน้า” สมาชิกของสมาคมมองหานซานเฉียนอย่างขุ่นเคือง ไม่พอใจกับการไม่ให้เกียรติของเขา หวางเม่ารู้ว่าถ้าหานซานเฉียนแข่งขันกับซ่างกวนเฮยไป๋นั้นจะเป็นการฆ่าตัวตายชัด ๆ จึงรีบพูดขึ้นว่า “รีบขอโทษเดี๋ยวนี้” หานซานเฉียนจ้องมองซ่างกวนเฮยไป๋ด้วยสายตาดุจคบเพลิง ดังคำกล่าวของเทียนฉางเฉิงที่พูดว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากจริง ๆ หากพลาดไป เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่ได้มีโอกาสเป็นครั้งที่สองแล้ว ถึงจะแพ้แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ? ถ้าไม่รู้จักท้าทายตัวเองเสียบ้าง แล้วจะรู้ขีดจำกัดความสามารถได้อย่างไรกัน? เทียนฉางเฉิงแตกต่างจากคนอื่น ๆ เขามองหานซานเฉียนด้วยความชื่นชม คนหนุ่ม