หานซานเฉียนชะงักก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมผมต้องหย่าด้วยล่ะ?” คำพูดที่เผลอถามออกไปทำให้เทียนหลิงเอ๋อร์รู้สึกเสียมารยาทอย่างมาก เป็นผู้หญิงก็ควรสำรวมบ้าง เธอจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีอะไรค่ะ แค่ถามเฉย ๆ เท่านั้นเอง” “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมก็ขอตัวก่อนนะครับ” หานซานเฉียนพูดจบก็เดินออกจากประตูไป “คุณระวังตัวด้วยนะคะ ซูไห่เฉาน่าจะมาหาเรื่องคุณอีก” เทียนหลิงเอ๋อร์เอ่ยปากเตือน หานซานเฉียนโบกมือโดยไม่หันกลับไปมอง แล้วพูดว่า “ผมไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา และเขาก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของผมด้วยซ้ำ” หลังจากหานซานเฉียนจากไปแล้ว เทียนหลิงเอ๋อร์ก็ถอนหายใจทันที เธอห่อไหล่คอตกราวกับว่าจิตวิญญาณกำลังหลุดลอยออกไป “เป็นอะไรไป? รู้สึกว่าเขาดีเลิศเกินไปกลัวตัวเองไม่คู่ควรเหรอ?” เทียนฉางเฉิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่คะ เขาเก่งขนาดนี้ แล้วจะชอบหนูเหรอคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดพร้อมกับบุ้ยปาก เทียนฉางเฉิงลูบศีรษะเทียนหลิงเอ๋อร์เบา ๆ แล้วพูดว่า “หลานเป็นคนของตระกูลเทียน ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจสักแค่ไหน ในเมืองหยุนเฉิงนี้จะมีคนที่หลานไม่คู่ควรได้ยังไงกัน” เทียนหลิงเอ๋อร์อารมณ์ดีขึ้นหลังจากได้รับการปลอบโยน ทั่
คนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในห้องโถงซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ม่อหยางและหลินหย่งเท่านั้น แต่เตาสือเอ้อร์ผู้โหดเหี้ยมก็อยู่ด้วย ปัจจุบันเมืองหยุนเฉิงมีเวทีมวยสามแห่ง เตาสือเอ้อร์ต่อยมาหมดทุกที่แล้ว เรียกว่าใช้กำปั้นหาเลี้ยงชีพมาตลอด เมื่อก่อนลูกน้องของเย่เฟยเคยพยายามต้านทานเขาอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ทนรับความแข็งแกร่งของหมัดของเตาสือเอ้อร์ไม่ไหว จนสุดท้ายก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี “วันนี้นายว่างมากเหรอ มาหาฉันทำไม?” ม่อหยางเอ่ยถามหานซานเฉียน “ถ้าไม่มีธุระแล้วจะมาหานายไม่ได้เหรอ? เห็นพวกนายมีท่าทางแบบนี้ กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่?” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม พวกเขาสามคนกำลังปรึกษากันว่าจะจัดการกับฟางเผิงอย่างไรดี เพราะช่วงนี้ฟางเผิงมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาต้องการแผ่ขยายอิทธิพลของตัวเอง เมื่อก่อนตอนที่ฟางเผิงรุกล้ำสถานที่ เขาไม่ได้ใช้อำนาจคุกคามม่อหยาง ดังนั้นเขาจึงมองข้ามบุคคลนี้ไปได้ แต่เวลานี้เขามีการเคลื่อนไหวแล้ว ม่อหยางจึงไม่อาจเพิกเฉยต่อไปได้อีก แต่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของฟางเผิง คือตระกูลเทียนแห่งเมืองหยุนเฉิง เรื่องนี้ทำให้ม่อหยางปวดสมองมาก ผู้อยู่เบื้องหลัง
หานซานเฉียนเดินเข้าไปแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกคุณถ่ายเสร็จหรือยัง?" หญิงสาวที่เปิดต้นขามองพิจารณาหานซานเฉียน แล้วพูดอย่างดูถูกว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับนายล่ะ? ถ้าอยากถ่ายรูปก็ต่อคิวสิ” ชายหนุ่มที่ยุ่งอยู่กับการถือโทรศัพท์ถ่ายภาพเหลือบมองหานซานเฉียนอย่างเหยียดหยาม แล้วพูดว่า “อย่าใจร้อนสิ พวกเรายังถ่ายกันไม่เสร็จเลย” “ถ่ายอีกหลาย ๆ รูปเลย ฉันจะเอาไปโพสต์ลงวีแชทให้พวกเพื่อน ๆ ของฉันดูว่าฉันเคยนั่งรถลัมโบร์กินี” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น แล้วเปลี่ยนท่าทางอีกหลาย ๆ อิริยาบถ หานซานเฉียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ นั่งอยู่หน้ารถก็ถือว่าได้นั่งลัมโบร์กินีแล้วเหรอ? “หัวเราะอะไร คนบ้านนอกอย่างนายออกไปห่าง ๆ หน่อย อย่ามารบกวนการถ่ายรูปของฉัน” หญิงสาวพูดด้วยความรำคาญหานซานเฉียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แล้วยืนเฉย ๆ โดยไม่พูดอะไร หลังจากที่หญิงสาวถ่ายรูปจนพอใจ.ก็ถึงคิวชายหนุ่มไปถ่ายบ้าง ทั้งสองสนุกสนานเป็นอย่างมาก “เฮ้ คุณระวังหน่อยสิ อย่าเข้าใกล้กระจกมองข้าง” พอเห็นชายคนนั้นวางข้อศอกลงบนกระจกมองข้างแล้วทิ้งตัวลงไป หานซานเฉียนก็อดเอ่ยปากเตือนไม่ได้ “บ่นอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย? ฉั
วันนี้หานซานเฉียนอารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะเขามีปัญหากลัดกลุ้มกับการกลับบ้าน ดังนั้นจึงไม่มีอารมณ์มาพูดจาดี ๆ กับหญิงชราถ้าเป็นเมื่อก่อน หานซานเฉียนอาจจะไม่ต่อปากต่อคำกับเธอ เพราะยังไงเรื่องต่าง ๆ มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ทนฟังเธอบ่นสักสองสามคำก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาฟังหญิงชราพูดอย่างไม่รู้จบ“คุณย่าครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของผม เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมรับผิดครับ” หานซานเฉียนพูดด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวหญิงชราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่คิดเลยว่าคนไร้ค่าคนนี้จะกล้าทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้าเธอเจี่ยงหลานที่อยู่ด้านข้างมองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็รู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใจกลางภูเขา แต่ครอบครัวของพวกเขายังต้องพึ่งพาตระกูลซูเพื่อรักษาสภาพการดำรงชีวิตอยู่ ถ้าเกิดหญิงชรารู้สึกไม่พอใจ แล้วทำให้ซูหยิงเซี่ยลำบากใจในการทำงานที่บริษัทขึ้นมาจะทำอย่างไร?“หานซานเฉียน แกยังไม่ขอโทษคุณย่าอีก แกกล้าใช้ท่าทีแบบนี้พูดจากับคุณย่าได้ยังไง” เจี่ยงหลานต่อว่าหานซานเฉียนหานซานเฉียนเพิกเฉยเจี่ยงหลาน แต่พูดกับหญิงชราว่า “ถ้าเป็นผมที่ต้องคุกเข่าให้ซูไห่เฉา คุณย่าคิดว่ามันสมเ
ซูไห่เฉาหาเรื่องใส่หัวตัวเอง จึงนำไปสู่ผลลัพธ์แบบนี้ และที่ตระกูลซูต้องขายหน้าก็เป็นเพราะว่าซูไห่เฉาเป็นคนทำมันด้วยตัวเอง หานซานเฉียนจะไม่ยอมเป็นแพะรับบาปเด็ดขาด “ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณย่า ผมไม่ต้องการทำเรื่องแบบนี้” หานซานเฉียนพูดอย่างเย็นชาหญิงชรากัดฟันแน่นพร้อมกับมองไปที่หานซานเฉียนอย่างโหดเหี้ยม และพูดว่า “แกอย่าคิดว่าการที่ซูหยิงเซี่ยได้เป็นหัวหน้าโครงการแล้ว แกจะสามารถอาศัยเธอและไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาได้ ฉันสามารถปลดตำแหน่งของเธอได้แค่คำพูดเดียวเท่านั้น”“รอดูกันต่อไปก็แล้วกันครับ” เมื่อหานซานเฉียนพูดจบก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเองทันทีคำขู่ของหญิงชรานั้นไร้สาระตำแหน่งหัวหน้าโครงการของซูหยิงเซี่ยนั้นเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของตระกูลซู แล้วเธอจะกล้าทำแบบนั้นด้วยเหรอ? เธอกล้าเดิมพันอนาคตของตระกูลซูเพียงเพราะความโกรธชั่วขณะของเธอด้วยหรือไง?เธอไม่มีทางทำแน่ และเธอก็ไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นกันฟันกรามของหญิงชราแทบจะหักแล้ว ในช่วงสามปีมานี้ หานซานเฉียนไม่เคยตอบโต้อะไร แต่นับตั้งแต่หลังจากที่ซูหยิงเซี่ยมีตำแหน่งในบริษัท ท่าทีของเขาก็เย่อหยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆหญิงชรารู้ว่าหานซาน
หญิงชรามองไปที่ซูไห่เฉาด้วยความรู้สึกโกรธเกรี้ยวและพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะนายไร้ความสามารถ ตำแหน่งของประธานกรรมการก็คงเป็นของนายไปนานแล้ว การที่นายสามารถเป็นประธานกรรมการได้ก็เพราะตระกูลซูมีนายเป็นหลานชายเพียงคนเดียว ไม่เช่นนั้นนายก็ไม่มีทางได้ครองตำแหน่งประธานบริษัทแน่นอน”ประโยคนี้บอกว่าซูไห่เฉาไม่มีค่าอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความเกลียดชังหญิงชราอย่างรุนแรง “คุณย่าอยากเห็นซูหยิงเซี่ยมีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในบริษัทอย่างงั้นเหรอครับ?” ซูไห่เฉากัดฟันพูด“ฉันมีวิธีจัดการกับเธอ หากนายอยากได้ตำแหน่งประธานกรรมการโดยเร็ว ก็พัฒนาความสามารถของตัวเองซะ ไม่อย่างนั้นก็รอวันที่ฉันหลับตาลงเท่านั้น” หญิงชรากล่าวหลับตาอย่างงั้นเหรอ!ได้ ฉันจะรอจนถึงวันที่คุณย่าหลับตาหลังจากที่ซูไห่เฉาออกจากคฤหาสน์ ภายในใจก็ปกคลุมไปด้วยความอาฆาตแค้น ในเมื่อมีเพียงแค่ให้คุณย่าตายเท่านั้น เขาถึงจะได้นั่งบนตำแหน่งของประธานกรรมการได้ ถ้าอย่างนั้นคุณย่าก็ไปตายซะเถอะ!ณ คฤหาสน์ใจกลางภูเขา เจี่ยงหลานกำลังพูดโน้มน้าวอยู่ในห้องของซูหยิงเซี่ย หญิงชราให้เวลาเพียงสามวันเท่านั้น หากทำสิ่งที่หญิงชราสั่งไว้ไม่ได้ ช
หลังจากที่เจี่ยงหลานออกจากห้องไปแล้ว ซูหยิงเซี่ยก็นอนอยู่บนเตียงโดยที่เธอไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อยหานซานเฉียนช่วยเหลือเธอเอาไว้มากแล้ว ถ้าหากไม่มีหานซานเฉียน ตระกูลซูก็คงไม่สามารถคว้าโครงการเฉิงซีมาได้ ทุกอย่างที่ตระกูลซูได้มานั้น หานซานเฉียนเป็นคนทำเกือบทั้งหมดถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ซูหยิงเซี่ยคงไม่ลังเลที่จะปรึกษาหานซานเฉียน แต่หลังจากเรื่องเมืองจินเฉียว เธอก็ได้เว้นระยะห่างกับหานซานเฉียน แถมตอนนี้ยังมีเรื่องรถที่เทียนหลิงเอ๋อร์มอบให้อีก ซูหยิงเซี่ยก็ยิ่งไม่ต้องการเผชิญหน้ากับหานซานเฉียนทำไมถึงไม่สามารถอธิบายเรื่องราวให้มันชัดเจนได้ล่ะ? แม้ว่ามันยากที่จะพูดบางสิ่งที่อยู่ในใจ แต่พวกเราก็เป็นสามีภรรยากัน ทำไมถึงไม่สามารถบอกฉันได้ล่ะ?ซูหยิงเซี่ยคิดเหมือนกันว่าจะลืมเรื่องเหล่านี้ และกลับมาคืนดีกับหานซานเฉียน แต่เธอก็ทำไม่ได้ เพราะมันยากมากสำหรับเธอที่ต้องประนีประนอมเรื่องนี้ บางที...เธออาจจะเคยชินกับความอดทน และการยอมของหานซานเฉียนไปแล้วก็ได้“ทำไมคุณถึงรู้จักเทียนฉางเฉินล่ะ? คุณยังมีอีกกี่เรื่องที่ไม่ได้บอกฉันกันแน่” ซูหยิงเซี่ยพูดกับตัวเอง ความรู้สึกที่อยู่ภายในใจนั้นซับซ้อนมากข
ณ ตระกูลเทียนเทียนหลิงเอ๋อร์นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยที่ขาขาวอันเรียวยาวของเธอนั้นไขว้กันพร้อมใบหน้านิ่วคิ้วขมวดเธออยากนัดเจอกับหานซานเฉียน แต่คิดหาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ออก คุณหนูตระกูลเทียนคนนี้อยากจะโยนสิ่งที่เรียกว่าทิฐิทิ้งลงบนพื้นทั้งหมดจริง ๆ เมื่อได้ยินเทียนหลิงเอ๋อร์กำลังถอนหายใจ เทียนฉางเฉิงจึงเดินไปหาที่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มแล้วพูดพร้อมกับหัวเราะว่า “หลิงเอ๋อร์ของพวกเรากำลังเจอกับปัญหาอะไรกัน ไหนลองบอกปู่มาสิ เผื่อว่าปู่จะช่วยจัดการปัญหานั้นได้”เทียนหลิงเอ๋อร์มองไปที่คุณปู่ของเธออย่างออดอ้อนแล้วพูดว่า “คุณปู่คะ วันนี้คุณปู่จะไปหาหานซานเฉียนเพื่อเล่นหมากรุกไหมคะ?”เมื่อก่อนเทียนฉางเฉิงสนใจการเล่นหมากรุกมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่ชวนเขาเล่น ต่อให้มีพายุฝนก็ขัดขวางเขาไม่ได้ แต่เมื่อพูดถึงหานซานเฉียน อารมณ์ที่สนุกสนานของชายชราก็หายไปทันทีเขาแพ้อย่างอนาถมาก ถึงขนาดที่เขาไม่สนใจเรื่องเล่นหมากรุกอีกต่อไป แต่กลับคาดหวังว่าในการดูหานซานเฉียนเล่นหมากรุกแทน“ปู่ของหลานแพ้จนเหลือแต่กางเกงแล้ว หยุดล้อเลียนปู่เสียที” เทียนฉางเฉิงพูดพร้อมกับยิ้มขมขื่นปากรูปเชอร์รี่ขนาดเล็กของเทียนหลิงเอ