หานซานเฉียนเดินเข้าไปแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกคุณถ่ายเสร็จหรือยัง?" หญิงสาวที่เปิดต้นขามองพิจารณาหานซานเฉียน แล้วพูดอย่างดูถูกว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับนายล่ะ? ถ้าอยากถ่ายรูปก็ต่อคิวสิ” ชายหนุ่มที่ยุ่งอยู่กับการถือโทรศัพท์ถ่ายภาพเหลือบมองหานซานเฉียนอย่างเหยียดหยาม แล้วพูดว่า “อย่าใจร้อนสิ พวกเรายังถ่ายกันไม่เสร็จเลย” “ถ่ายอีกหลาย ๆ รูปเลย ฉันจะเอาไปโพสต์ลงวีแชทให้พวกเพื่อน ๆ ของฉันดูว่าฉันเคยนั่งรถลัมโบร์กินี” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น แล้วเปลี่ยนท่าทางอีกหลาย ๆ อิริยาบถ หานซานเฉียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ นั่งอยู่หน้ารถก็ถือว่าได้นั่งลัมโบร์กินีแล้วเหรอ? “หัวเราะอะไร คนบ้านนอกอย่างนายออกไปห่าง ๆ หน่อย อย่ามารบกวนการถ่ายรูปของฉัน” หญิงสาวพูดด้วยความรำคาญหานซานเฉียนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แล้วยืนเฉย ๆ โดยไม่พูดอะไร หลังจากที่หญิงสาวถ่ายรูปจนพอใจ.ก็ถึงคิวชายหนุ่มไปถ่ายบ้าง ทั้งสองสนุกสนานเป็นอย่างมาก “เฮ้ คุณระวังหน่อยสิ อย่าเข้าใกล้กระจกมองข้าง” พอเห็นชายคนนั้นวางข้อศอกลงบนกระจกมองข้างแล้วทิ้งตัวลงไป หานซานเฉียนก็อดเอ่ยปากเตือนไม่ได้ “บ่นอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย? ฉั
วันนี้หานซานเฉียนอารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะเขามีปัญหากลัดกลุ้มกับการกลับบ้าน ดังนั้นจึงไม่มีอารมณ์มาพูดจาดี ๆ กับหญิงชราถ้าเป็นเมื่อก่อน หานซานเฉียนอาจจะไม่ต่อปากต่อคำกับเธอ เพราะยังไงเรื่องต่าง ๆ มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ทนฟังเธอบ่นสักสองสามคำก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาฟังหญิงชราพูดอย่างไม่รู้จบ“คุณย่าครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของผม เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมรับผิดครับ” หานซานเฉียนพูดด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวหญิงชราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่คิดเลยว่าคนไร้ค่าคนนี้จะกล้าทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้าเธอเจี่ยงหลานที่อยู่ด้านข้างมองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็รู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใจกลางภูเขา แต่ครอบครัวของพวกเขายังต้องพึ่งพาตระกูลซูเพื่อรักษาสภาพการดำรงชีวิตอยู่ ถ้าเกิดหญิงชรารู้สึกไม่พอใจ แล้วทำให้ซูหยิงเซี่ยลำบากใจในการทำงานที่บริษัทขึ้นมาจะทำอย่างไร?“หานซานเฉียน แกยังไม่ขอโทษคุณย่าอีก แกกล้าใช้ท่าทีแบบนี้พูดจากับคุณย่าได้ยังไง” เจี่ยงหลานต่อว่าหานซานเฉียนหานซานเฉียนเพิกเฉยเจี่ยงหลาน แต่พูดกับหญิงชราว่า “ถ้าเป็นผมที่ต้องคุกเข่าให้ซูไห่เฉา คุณย่าคิดว่ามันสมเ
ซูไห่เฉาหาเรื่องใส่หัวตัวเอง จึงนำไปสู่ผลลัพธ์แบบนี้ และที่ตระกูลซูต้องขายหน้าก็เป็นเพราะว่าซูไห่เฉาเป็นคนทำมันด้วยตัวเอง หานซานเฉียนจะไม่ยอมเป็นแพะรับบาปเด็ดขาด “ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณย่า ผมไม่ต้องการทำเรื่องแบบนี้” หานซานเฉียนพูดอย่างเย็นชาหญิงชรากัดฟันแน่นพร้อมกับมองไปที่หานซานเฉียนอย่างโหดเหี้ยม และพูดว่า “แกอย่าคิดว่าการที่ซูหยิงเซี่ยได้เป็นหัวหน้าโครงการแล้ว แกจะสามารถอาศัยเธอและไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาได้ ฉันสามารถปลดตำแหน่งของเธอได้แค่คำพูดเดียวเท่านั้น”“รอดูกันต่อไปก็แล้วกันครับ” เมื่อหานซานเฉียนพูดจบก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเองทันทีคำขู่ของหญิงชรานั้นไร้สาระตำแหน่งหัวหน้าโครงการของซูหยิงเซี่ยนั้นเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของตระกูลซู แล้วเธอจะกล้าทำแบบนั้นด้วยเหรอ? เธอกล้าเดิมพันอนาคตของตระกูลซูเพียงเพราะความโกรธชั่วขณะของเธอด้วยหรือไง?เธอไม่มีทางทำแน่ และเธอก็ไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นกันฟันกรามของหญิงชราแทบจะหักแล้ว ในช่วงสามปีมานี้ หานซานเฉียนไม่เคยตอบโต้อะไร แต่นับตั้งแต่หลังจากที่ซูหยิงเซี่ยมีตำแหน่งในบริษัท ท่าทีของเขาก็เย่อหยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆหญิงชรารู้ว่าหานซาน
หญิงชรามองไปที่ซูไห่เฉาด้วยความรู้สึกโกรธเกรี้ยวและพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะนายไร้ความสามารถ ตำแหน่งของประธานกรรมการก็คงเป็นของนายไปนานแล้ว การที่นายสามารถเป็นประธานกรรมการได้ก็เพราะตระกูลซูมีนายเป็นหลานชายเพียงคนเดียว ไม่เช่นนั้นนายก็ไม่มีทางได้ครองตำแหน่งประธานบริษัทแน่นอน”ประโยคนี้บอกว่าซูไห่เฉาไม่มีค่าอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความเกลียดชังหญิงชราอย่างรุนแรง “คุณย่าอยากเห็นซูหยิงเซี่ยมีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในบริษัทอย่างงั้นเหรอครับ?” ซูไห่เฉากัดฟันพูด“ฉันมีวิธีจัดการกับเธอ หากนายอยากได้ตำแหน่งประธานกรรมการโดยเร็ว ก็พัฒนาความสามารถของตัวเองซะ ไม่อย่างนั้นก็รอวันที่ฉันหลับตาลงเท่านั้น” หญิงชรากล่าวหลับตาอย่างงั้นเหรอ!ได้ ฉันจะรอจนถึงวันที่คุณย่าหลับตาหลังจากที่ซูไห่เฉาออกจากคฤหาสน์ ภายในใจก็ปกคลุมไปด้วยความอาฆาตแค้น ในเมื่อมีเพียงแค่ให้คุณย่าตายเท่านั้น เขาถึงจะได้นั่งบนตำแหน่งของประธานกรรมการได้ ถ้าอย่างนั้นคุณย่าก็ไปตายซะเถอะ!ณ คฤหาสน์ใจกลางภูเขา เจี่ยงหลานกำลังพูดโน้มน้าวอยู่ในห้องของซูหยิงเซี่ย หญิงชราให้เวลาเพียงสามวันเท่านั้น หากทำสิ่งที่หญิงชราสั่งไว้ไม่ได้ ช
หลังจากที่เจี่ยงหลานออกจากห้องไปแล้ว ซูหยิงเซี่ยก็นอนอยู่บนเตียงโดยที่เธอไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อยหานซานเฉียนช่วยเหลือเธอเอาไว้มากแล้ว ถ้าหากไม่มีหานซานเฉียน ตระกูลซูก็คงไม่สามารถคว้าโครงการเฉิงซีมาได้ ทุกอย่างที่ตระกูลซูได้มานั้น หานซานเฉียนเป็นคนทำเกือบทั้งหมดถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ซูหยิงเซี่ยคงไม่ลังเลที่จะปรึกษาหานซานเฉียน แต่หลังจากเรื่องเมืองจินเฉียว เธอก็ได้เว้นระยะห่างกับหานซานเฉียน แถมตอนนี้ยังมีเรื่องรถที่เทียนหลิงเอ๋อร์มอบให้อีก ซูหยิงเซี่ยก็ยิ่งไม่ต้องการเผชิญหน้ากับหานซานเฉียนทำไมถึงไม่สามารถอธิบายเรื่องราวให้มันชัดเจนได้ล่ะ? แม้ว่ามันยากที่จะพูดบางสิ่งที่อยู่ในใจ แต่พวกเราก็เป็นสามีภรรยากัน ทำไมถึงไม่สามารถบอกฉันได้ล่ะ?ซูหยิงเซี่ยคิดเหมือนกันว่าจะลืมเรื่องเหล่านี้ และกลับมาคืนดีกับหานซานเฉียน แต่เธอก็ทำไม่ได้ เพราะมันยากมากสำหรับเธอที่ต้องประนีประนอมเรื่องนี้ บางที...เธออาจจะเคยชินกับความอดทน และการยอมของหานซานเฉียนไปแล้วก็ได้“ทำไมคุณถึงรู้จักเทียนฉางเฉินล่ะ? คุณยังมีอีกกี่เรื่องที่ไม่ได้บอกฉันกันแน่” ซูหยิงเซี่ยพูดกับตัวเอง ความรู้สึกที่อยู่ภายในใจนั้นซับซ้อนมากข
ณ ตระกูลเทียนเทียนหลิงเอ๋อร์นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยที่ขาขาวอันเรียวยาวของเธอนั้นไขว้กันพร้อมใบหน้านิ่วคิ้วขมวดเธออยากนัดเจอกับหานซานเฉียน แต่คิดหาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ออก คุณหนูตระกูลเทียนคนนี้อยากจะโยนสิ่งที่เรียกว่าทิฐิทิ้งลงบนพื้นทั้งหมดจริง ๆ เมื่อได้ยินเทียนหลิงเอ๋อร์กำลังถอนหายใจ เทียนฉางเฉิงจึงเดินไปหาที่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มแล้วพูดพร้อมกับหัวเราะว่า “หลิงเอ๋อร์ของพวกเรากำลังเจอกับปัญหาอะไรกัน ไหนลองบอกปู่มาสิ เผื่อว่าปู่จะช่วยจัดการปัญหานั้นได้”เทียนหลิงเอ๋อร์มองไปที่คุณปู่ของเธออย่างออดอ้อนแล้วพูดว่า “คุณปู่คะ วันนี้คุณปู่จะไปหาหานซานเฉียนเพื่อเล่นหมากรุกไหมคะ?”เมื่อก่อนเทียนฉางเฉิงสนใจการเล่นหมากรุกมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่ชวนเขาเล่น ต่อให้มีพายุฝนก็ขัดขวางเขาไม่ได้ แต่เมื่อพูดถึงหานซานเฉียน อารมณ์ที่สนุกสนานของชายชราก็หายไปทันทีเขาแพ้อย่างอนาถมาก ถึงขนาดที่เขาไม่สนใจเรื่องเล่นหมากรุกอีกต่อไป แต่กลับคาดหวังว่าในการดูหานซานเฉียนเล่นหมากรุกแทน“ปู่ของหลานแพ้จนเหลือแต่กางเกงแล้ว หยุดล้อเลียนปู่เสียที” เทียนฉางเฉิงพูดพร้อมกับยิ้มขมขื่นปากรูปเชอร์รี่ขนาดเล็กของเทียนหลิงเอ
เพียงไม่นานนัก หานซานเฉียนก็มาถึงตระกูลเทียนเทียนหลิงเอ๋อร์มาต้อนรับที่ประตูด้วยตัวเอง เมื่อเธอมองเห็นหานซานเฉียน เธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันทีอย่างไม่รู้ตัว แต่เธอยังคงแสดงท่าทีสูงศักดิ์และเย็นชาต่อหน้าหานซานเฉียน“คุณมาหาคุณปู่ของฉันทำไมคะ” เทียนหลิงเอ๋อร์เอามือเท้าสะเอวแล้วเอ่ยถามหานซานเฉียนไม่คาดคิดว่าเทียนหลิงเอ๋อร์จะยืนอยู่ข้างนอกด้วยเท้าเปล่า ยังดีที่เป็นตอนเช้า แสงแดดจึงไม่แผดเผาพื้นดินเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นถ้าเท้าคู่นี้ของเธอยืนต่อไปได้อีกสักพัก คงทาน้ำมันยี่หร่าทำปิ้งย่างได้แล้ว“คุณหนูครับ แม้แต่รองเท้าคุณหนูก็ยังหาซื้อไม่ได้เหรอ?” หานซานเฉียนเอ่ยพร้อมกับหัวเราะ“ใช่แล้วล่ะ หรือว่าคุณจะหาซื้อให้ฉันดี?” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดออกมาแบบไม่อายปากหานซานเฉียนยักไหล่และพูดว่า “รองเท้าที่คุณสวมใส่เป็นของแบรนด์เนมทั้งนั้น ผมจ่ายให้ไม่ไหวหรอก”“เดี๋ยวนะ คุณคิดว่าฉันคงเป็นคนประเภทนั้นสินะ? เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันซื้อรถให้คุณตั้งหนึ่งคัน คุณตอบแทนฉันด้วยการซื้อรองเท้าให้ฉันสักคู่ คงไม่มากเกินไปใช่ไหมคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์หยั่งเชิง“ได้ ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”เมื่อเทียนหลิงเอ๋อร์พูดจบ ก็วิ
ด้วยข้อแก้ตัวของหานซานเฉียน วันนี้เขาเลยไม่ว่างพาเทียนหลิงเอ๋อร์ไปชอปปิง ทำให้หนีรอดมาได้แค่ชั่วคราว แต่เทียนหลิงเอ๋อร์ก็ไม่วายพูดดักเอาไว้ว่า ภายในสามวันเขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเรียบร้อย หานซานเฉียนจึงจำใจต้องรับปากออกไปอย่างไม่มีทางเลือกหลังจากรอให้หานซานเฉียนปลีกตัวจากไปแล้ว ความตื่นเต้นและความกระตือรือร้นของเทียนหลิงเอ๋อร์ก็หายไป.ราวกับมะเขือยาวที่ห่อด้วยน้ำแข็ง เธอรู้สึกราวกับไร้เรี่ยวแรง ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนเพลีย ร่างกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณของเธอเหมือนหลุดลอยออกจากร่าง“ถ้าไม่มีอะไรทำ หลานลองไปเล่นสนุกที่ตระกูลซูดูสิ” เทียนฉางเฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม“จะให้ไปทำอะไรที่ตระกูลซูคะ หนูไม่ไปหรอก” เมื่อก่อนกิจกรรมประจำวันของเทียนหลิงเอ๋อร์มีมากมาย เช่น การนัดรวมตัวชอปปิงกับเพื่อนสนิทเมื่อไม่มีเรียน โดยปกติแล้วเธอมักจะเที่ยวเล่นได้อย่างสบายใจ แต่ช่วงนี้ ตั้งแต่เธอได้เห็นความเก่งกาจของหานซานเฉียน และหลังจากที่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าชายน้อยแห่งเปียโน เทียนหลิงเอ่อร์ก็ไม่สนใจเรื่องพวกนั้นอีกเลย“ไปที่ตระกูลซู แล้วทำให้พวกเขารู้ว่าสาเหตุที่ตระกูลเทียนช่วยตระกูลซู เป็นเพราะความส