เมื่อเตาสือเอ้อร์ออกจากห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ โต๊ะทำงานก็อยู่ในสภาพที่แตกละเอียดไปแล้วอาจารย์ใหญ่กำลังมองดูความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พูดไม่ออกพละกำลังของผู้ชายคนนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้โต๊ะทำงานป่นปี้แตกกระจายทั้งหมด การที่จะทำแบบนี้ได้ต้องใช้พละกำลังมากแค่ไหนกันอาจารย์ใหญ่ที่เป็นผู้รอดชีวิตถอนหายใจยาวออกมา และพูดเสียงเบาว่า “ดูท่าทางเงินก้อนนี้ไม่ค่อยได้กำไรสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ระวังเราคงจะถึงแก่ชีวิตไปแล้ว วันนี้สวรรค์ยังคุ้มครองอยู่จริง ๆ”เมื่อเตาสือเอ้อร์กลับมาถึงบ้าน เห็นรถจอดอยู่หน้าประตู จึงเดินเข้ามาในบ้านอย่างไม่พอใจในสนามหน้าบ้าน หานซานเฉียนนั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ ถางชิงหว่านที่เพิ่งรู้จักผ่านการพูดคุยเมื่อครู่นี้ หลังจากรู้ชื่อของถางชิงหว่าน ชิงหว่านสองคำนี้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมากคนหยาบคายอย่างเตาสือเอ้อร์ นึกไม่ถึงว่าจะสามารถเอาชื่อที่ดูแปลกใหม่ไม่เหมือนใครมาใช้ตั้งชื่อลูกสาว ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้หาข้อมูลมาจากที่ไหน“ชิงหว่านบอกว่าเธอถูกไล่ออกจากโรงเรียนอย่างนั้นเหรอ?” หานซานเฉียนลุกขึ้นยืนและถามเตาสือเอ้อร์“อาจารย์ใหญ่น
“ที่บ้านมีของอะไรต้องเก็บไหม ต้องไปหาที่อยู่ให้พวกนายในตัวเมืองก่อน” หานซานเฉียนกล่าว เตาสือเอ้อร์เก็บเสื้อผ้าที่ถางชิงหว่านชอบใส่มาจำนวนหนึ่ง อย่างอื่นเขาไม่ได้หยิบมา เพราะไม่ได้มีค่าอะไร การจะเข้าไปในตัวเมือง ถางชิงหว่านยังคงรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย โตจนป่านนี้ เธอเคยไปนับครั้งได้ด้วยมือข้างเดียว หลังจากขึ้นรถ เตาสือเอ้อร์ก็พูดออกมาประโยคหนึ่งที่ทำให้ม่อหยางแทบกระอักเลือด “เป็นถึงพี่ใหญ่ แต่ขับรถเก่า ๆ แบบนี้น่ะเหรอ?” หานซานเฉียนระเบิดหัวเราะออกมา ม่อหยางหน้าเขียวปั๊ด ถลึงตาใส่หานซานเฉียนอย่างโกรธเคืองที่เขาเเห็นเป็นเรื่องตลก เมื่อมาถึงตัวเมืองก็หาบ้านให้พวกเขาก่อน โดยพิจารณาถึงความสะดวกในการไปเรียนหนังสือของถางชิงหว่าน ดังนั้นหานซานเฉียนจึงใช้เงินเป็นจำนวนมากในการซื้อห้องชุดในเขตโรงเรียนให้เตาสือเอ้อร์ แล้วยังใส่เป็นชื่อของเตาสือเอ้อร์อีกด้วย เตาสือเอ้อร์คิดว่า ในเมื่อเขาต้องทำงานให้หานซานเฉียนอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงเป็นสิ่งที่สมควรได้รับแล้ว จึงไม่ได้พูดขอบคุณอะไรเขา เขาจ่ายเงินที่ไม่จำเป็นเพื่อให้เตาสือเอ้อร์และลูกสาว ให้ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ภายในวันนั้นเลย ตอนหานซานเฉี
“หยิงเซี่ยล่ะ?” หานซานเฉียนเอ่ยถาม เจี่ยงหลานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอสัมผัสได้ว่าท่าทีของซูหยิงเซี่ยที่มีต่อหานซานเฉียนนั้นเย็นชาขึ้นมาก แถมยังสั่งให้เหอถิงทำความสะอาดห้องใหม่ให้หานซานเฉียนอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเธอต้องการแยกห้องนอนกับหานซานเฉียน มันไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้น ความแตกร้าวระหว่างคนทั้งสองรับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเจี่ยงหลาน การเติมเชื้อไฟเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งทำให้หานซานเฉียนออกจากคฤหาสน์ไปได้เลยยิ่งดี เพื่อที่เธอจะได้สบายตาสบายใจ “แกมีสิทธิ์อะไรมาถามว่าซูหยิงเซี่ยอยู่ที่ไหน เธอเก็บห้องใหม่ไว้ให้แกแล้ว เพราะต้องการจะแยกห้องกับแก นี่แกยังไม่เข้าใจความหมายของเธออีกเหรอ?” เจี่ยงหลานพูดด้วยรอยยิ้ม ดีจริง ๆ ถ้าเธอได้ใช้โอกาสนี้เตะหานซานเฉียนออกไปได้ก็คงจะดียิ่งขึ้น “หุบปาก” หานซานเฉียนพูดอย่างเย็นชา เมื่อสามปีก่อน แม้ว่าซูหยิงเซี่ยจะไม่เต็มใจแต่งงานกับเขา แต่ทั้งสองคนก็นอนห้องเดียวกัน การแยกห้องนอนในตอนนี้สำหรับหานซานเฉียนแล้ว เป็นเหมือนแผ่นดินไหวใหญ่ครั้งแรกในความสัมพันธ์ของพวกเขา โดยที่เขาไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าเจี่ยงหลานยังคงกวนน้ำให้ขุ่นต่อไป
ถ้าให้ซูหยิงเซี่ยรู้เรื่องนี้ หานซานเฉียนก็ไม่รู้ว่าเธอจะคิดอย่างไร ซูหยิงเซี่ยไม่เคยเห็นแม้แต่ด้านมืดของสังคม นับประสาอะไรกับเรื่องฆ่าคนยิ่งให้เธอรู้ไม่ได้เด็ดขาด “ตอนนี้ยังบอกคุณไม่ได้ แต่ผมไม่ได้ไปมีอะไรกับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น” หานซานเฉียนกล่าว “หานซานเฉียน แกคิดว่าพวกเราจะเชื่อเหรอ? แกคิดว่าสถานที่แห่งนั้นคือสวนสัตว์รึไง? เห็นพวกเราเป็นเด็กสามขวบเหรอ?” เจี่ยงหลานกระตือรือร้นที่จะสร้างความวุ่นวาย ต้องใช้โอกาสนี้ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างซูหยิงเซี่ยกับหานซานเฉียน แน่นอนว่าต้องทำให้ซูหยิงเซี่ยได้กรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้เสียก่อน “คุณเชื่อผมไหม?” หานซานเฉียนมองซูหยิงเซี่ยแล้วถามอย่างจริงจัง ซูหยิงเซี่ยอยากจะเชื่อในตัวหานซานเฉียน แต่สถานที่อย่างจินเฉียว เธอไม่อาจเชื่อได้ว่าหานซานเฉียนจะไปดูเฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย “คุณไปทำอะไรก็ไม่ยอมบอก แล้วฉันจะเชื่อคุณได้ยังไง?” ซูหยิงเซี่ยกล่าว หานซานเฉียนสูดหายใจเข้าลึกแล้วบอกว่า “วันหลังผมจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา” “ต้องรอให้นังเมียน้อยตั้งท้องเลือดชั่วของแกก่อนหรือไง?” เจี่ยงหลานถาม นี่เป็นครั
“ผมเข้าใจแล้ว” หานซานเฉียนพูดอย่างเศร้าใจ เขารู้ว่าเรื่องนี้เธอคงโดนเจี่ยงหลานเป่าหูมา แต่ในเมื่อซูหยิงเซี่ยเป็นคนเอ่ยขึ้นมาเอง เขาย่อมไม่ปฏิเสธ เขาทนรับอดทนในตระกูลซูมาสามปีแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะมีความหมายอะไรล่ะ? ขอเพียงซูหยิงเซี่ยมีความสุข หานซานเฉียนก็ยินดีทำทุกอย่าง “รับปากกับผมเรื่องหนึ่งได้ไหม?” หานซานเฉียนเอ่ยถาม “คุณไม่ต้องห่วง ป้าเหอจะได้ทำงานที่นี่ต่อไป ฉันจะไม่ไล่เธอออก” ซูหยิงเซี่ยกล่าว “ครับ” วันนี้เจี่ยงหลานอารมณ์ดีมาก แม้ว่าจะมีเมฆครึ้ม แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่างกาย พอคิดว่าอีกไม่นานคฤหาสน์จะตกมาเป็นของซูหยิงเซี่ยแล้ว เธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหานซานเฉียนขับไล่ออกไปอีกแล้ว เธอก็รู้สึกมีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ “วันนี้คุณเป็นอะไรไป แอบยิ้มทำไม?” ซูกั๋วเย่าเอ่ยถามเจี่ยงหลาน “คฤหาสน์หลังนี้กำลังจะกลายเป็นของลูกสาวคุณแล้ว จะไม่ให้ฉันมีความสุขได้ยังไงล่ะ?” เจี่ยงหลานกล่าว “เกิดอะไรขึ้น?” ซูกั๋วเย่ามองเจี่ยงหลานด้วยความงุนงง “หานซานเฉียนไอ้คนไร้ค่าคนนั้นไปจินเฉียวน่ะสิ แถมยังถูกซูหยิงเซี่ยจับได้อีก ตอนนี้ซูหยิงเซี่ยให้มันโอนกรรมสิทธิ์คฤหาส
ในสายตาของหนานกงเชียนชิว ตระกูลหานมีหลานชายเพียงคนเดียว นั่นก็คือหานจุน เพราะเธอรับไม่ได้ที่มีคนไร้ประโยชน์อยู่ในตระกูลหาน เหตุผลที่หนานกงเชียนชิวมาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อมาหาหลานชายสุดที่รักของตัวเอง นี่คือสิ่งที่เธอทำทุกเดือน ต่อให้ฟ้าถล่มก็ไม่อาจขัดขวางเธอไม่ให้มาหาหานจุนได้ เมื่อผู้ดูแลของหยุนหลงเห็นหนานกงเชียนชิว ก็เข้ามาต้อนรับแล้วพูดอย่างสุภาพ “คุณนายใหญ่ หานจุนรอท่านอยู่แล้วครับ” หนานกงเชียนชิวพยักหน้า แล้วเดินข้าไปในหยุนหลงโดยไม่พูดจาใด ๆ ในห้องเยี่ยมนักโทษ หนานกงเชียนชิวมองรอยแผลเป็นบนใบหน้าของหานจุน ซึ่งทำให้หญิงชราเจ็บปวดจนหายใจแทบไม่ออก ก่อนหน้านี้หานจุนมีปัญหากับคนอื่นจำนวนมาก ดังนั้นหลังจากที่เขาถูกจำคุก จึงโดนแก้แค้นและถูกทุบตีเป็นประจำ แม้ว่าหญิงชราจะพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม ตระกูลหานยังไม่อยู่ในระดับที่เป็นตระกูลใหญ่ตระกูลเดียว และที่นั่นก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลหาน “คุณย่า เมื่อไรคุณย่าจะช่วยผมออกไปได้ ที่บ้า ๆ แบบนี้ ผมทนอยู่ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว” หานจุนกล่าว
หลังออกจากหยุนหลงแล้ว หนานกงเชียนชิวก็ไปโรงพยาบาล ในห้องผู้ป่วยวีไอพี หานเฉิงที่ป่วยหนักได้รับการดูแลโดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เฉพาะทาง แต่ฉือจิงจะไปเฝ้าอยู่ข้างกายหานเฉิงทันทีที่เธอมีเวลาว่าง หานเฉิงอยู่ในอาการโคม่ามานานหลายเดือนแล้ว ท่าทีของแพทย์บ่งบอกว่าดูเหมือนจะไม่ค่อยจะมีความหวังนักว่าเขาจะสามารถฟื้นขึ้นมา อีกอย่าง ฉือจิงเองก็รู้ว่าชีวิตนี้เขาอาจจะตายไปแบบนี้ “แม่คะ ทำไมแม่มาอยู่ที่นี่ล่ะคะ” เมื่อเห็นหนานกงเชียนชิว ฉือจิงก็รีบลุกขึ้นทันที หนานกงเชียนชิวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและแววตาเย็นชาว่า “หานซานเฉียนคนไร้ประโยชน์คนนั้นไม่สามารถแทนที่หานจุนได้” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉือจิงก็ขมวดคิ้วและถามว่า “แม่คะ แม่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?” “พาหานซานเฉียนกลับมา ให้เขาติดคุกแทนหานจุน” หนานกงเชียนชิวกล่าว ก็ไหนบอกว่าจะให้โอกาสหานซานเฉียนไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ ๆ ถึงเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ? ฉือจิงรู้ว่าวันนี้หญิงชราต้องไปเยี่ยมหานจุนมาแน่ ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่พูดออกมาแบบนี้ หานจุนต้องพูดอะไรกับเธอมาแน่ “แม่คะ มีสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องมาที่ตระกูลหาน บรรดาคู่แข่งของเราล้วน
เขาพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่งพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ประโยคนี้ มาจากเรื่องราวตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับชาวบ้านทั่วไป ที่ไม่รู้ว่าจะเลือกรับหรือไม่รับอย่างไรใต้ต้นโพธิ์” “พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังจะตายเพราะกระหายน้ำ พระพุทธเจ้าสงสารบุคคลนี้จึงบันดาลทะเลสาบไว้ตรงหน้าเขา แต่เขากลับไม่ได้ดื่มเข้าไปแม้แต่หยดเดียว เพราะเขาคิดว่าในทะเลสาบนั้นมีน้ำมากเกินไป ในเมื่อดื่มได้ไม่หมด ก็สู้ไม่ดื่มเลยดีกว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนเราอาจพบเจอกับสิ่งสวยงามมากมายในชีวิต ขอแค่ตั้งใจยึดไว้เพียงสิ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นถึงจะมีคนหมายปองมากมาย ก็จงเลือกเพียงหนึ่งเดียว” พอเห็นหานซานเฉียนอธิบายอย่างตั้งใจ ซูหยิงเซี่ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือว่าเธอจะคิดมากไป? หรือบางทีผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทลั่วเฉว อาจจะเป็นตระกูลหานก็ได้ แม้ว่าเขาจะแซ่หานเหมือนกัน แต่จะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหานพวกนั้นได้อย่างไร? “คุณคิดว่าที่ฉันทำแบบนี้มันไร้เหตุผลไหม?” ซูหยิงเซี่ยถามต่อ หลังจากที่รับปากกับเจี่ยงหลานไปแล้ว อันที่จริงในใจของเธอก็รู้สึกเสียใจ เพราะแม้เธอจะมีปมในใจ แต่เธอก