หลังออกจากหยุนหลงแล้ว หนานกงเชียนชิวก็ไปโรงพยาบาล ในห้องผู้ป่วยวีไอพี หานเฉิงที่ป่วยหนักได้รับการดูแลโดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เฉพาะทาง แต่ฉือจิงจะไปเฝ้าอยู่ข้างกายหานเฉิงทันทีที่เธอมีเวลาว่าง หานเฉิงอยู่ในอาการโคม่ามานานหลายเดือนแล้ว ท่าทีของแพทย์บ่งบอกว่าดูเหมือนจะไม่ค่อยจะมีความหวังนักว่าเขาจะสามารถฟื้นขึ้นมา อีกอย่าง ฉือจิงเองก็รู้ว่าชีวิตนี้เขาอาจจะตายไปแบบนี้ “แม่คะ ทำไมแม่มาอยู่ที่นี่ล่ะคะ” เมื่อเห็นหนานกงเชียนชิว ฉือจิงก็รีบลุกขึ้นทันที หนานกงเชียนชิวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและแววตาเย็นชาว่า “หานซานเฉียนคนไร้ประโยชน์คนนั้นไม่สามารถแทนที่หานจุนได้” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉือจิงก็ขมวดคิ้วและถามว่า “แม่คะ แม่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?” “พาหานซานเฉียนกลับมา ให้เขาติดคุกแทนหานจุน” หนานกงเชียนชิวกล่าว ก็ไหนบอกว่าจะให้โอกาสหานซานเฉียนไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ ๆ ถึงเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ? ฉือจิงรู้ว่าวันนี้หญิงชราต้องไปเยี่ยมหานจุนมาแน่ ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่พูดออกมาแบบนี้ หานจุนต้องพูดอะไรกับเธอมาแน่ “แม่คะ มีสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องมาที่ตระกูลหาน บรรดาคู่แข่งของเราล้วน
เขาพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่งพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ประโยคนี้ มาจากเรื่องราวตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับชาวบ้านทั่วไป ที่ไม่รู้ว่าจะเลือกรับหรือไม่รับอย่างไรใต้ต้นโพธิ์” “พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังจะตายเพราะกระหายน้ำ พระพุทธเจ้าสงสารบุคคลนี้จึงบันดาลทะเลสาบไว้ตรงหน้าเขา แต่เขากลับไม่ได้ดื่มเข้าไปแม้แต่หยดเดียว เพราะเขาคิดว่าในทะเลสาบนั้นมีน้ำมากเกินไป ในเมื่อดื่มได้ไม่หมด ก็สู้ไม่ดื่มเลยดีกว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนเราอาจพบเจอกับสิ่งสวยงามมากมายในชีวิต ขอแค่ตั้งใจยึดไว้เพียงสิ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นถึงจะมีคนหมายปองมากมาย ก็จงเลือกเพียงหนึ่งเดียว” พอเห็นหานซานเฉียนอธิบายอย่างตั้งใจ ซูหยิงเซี่ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือว่าเธอจะคิดมากไป? หรือบางทีผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทลั่วเฉว อาจจะเป็นตระกูลหานก็ได้ แม้ว่าเขาจะแซ่หานเหมือนกัน แต่จะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหานพวกนั้นได้อย่างไร? “คุณคิดว่าที่ฉันทำแบบนี้มันไร้เหตุผลไหม?” ซูหยิงเซี่ยถามต่อ หลังจากที่รับปากกับเจี่ยงหลานไปแล้ว อันที่จริงในใจของเธอก็รู้สึกเสียใจ เพราะแม้เธอจะมีปมในใจ แต่เธอก
พูดไปพูดมาท้ายที่สุดตระกูลซูก็ยังคงต้องจ่ายเกือบสองแสนหยวนอยู่ดี เจี่ยงหลานจะยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร เธอจึงเลิกโต้เถียงกับหานซานเฉียน พอถึงเวลานั้นค่อยให้ซูหยิงเซี่ยออกหน้าสั่งให้หานซานเฉียนจ่ายเงินจำนวนนี้ทั้งหมดถึงจะสมเหตุผล แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เจี่ยงหลานคิดไปถึงความเป็นไปได้อีกเรื่องหนึ่งด้วยค่าธรรมเนียมทรัพย์สินรายปีสูงลิ่วขนาดนี้ แต่หานซานเฉียนยังกล้าที่จะซื้อคฤหาสน์หลังนี้ ผู้ชายคนนี้มีเงินเท่าไหร่กันแน่? ตอนนี้คฤหาสน์ถูกโอนให้ซูหยิงเซี่ยแล้ว เจี่ยงหลานก็ยังคิดถึงเงินส่วนตัวของหานซานเฉียนอีก ต้องบอกให้ซูหยิงเซี่ยทำให้หานซานเฉียนควักเงินทั้งหมดของเขาออกมาให้ได้ “แม่ยายของคุณคนนี้น่ารังเกียจกว่าในละครเสียอีกนะคะ” ภายในครัว เหอถิงพูดกับหานซานเฉียนด้วยสีหน้าพะอืดพะอม วันนี้หานซานเฉียนเข้าครัวเพื่อทำอาหารให้ซูหยิงเซี่ย พอได้ยินเหอถิงพูดแบบนั้น เขาก็ยิ้มออกมาอย่างจนใจ “วงการคนเห็นแก่เงินเข้าแล้วออกยากน่ะครับ” “ป้าทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ป้าก็ไม่อยากทำงานที่นี่หรอก” เหอถิงเอ่ย “ป้าเหอครับ นี่คืองานที่ป้าเอาไว้เลี้ยงชีพได้ ป้าแค่หาเงินก็พอแล้วครับ จะมาปวดหัว
ถังหลงรู้สึกหวั่นใจ เรื่องนี้จะคุยโวเล่น ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจงเหลียงรู้เข้า เขาจบเห่แน่ แต่คนอย่างเขาจะไปเกี่ยวข้องกับจงเหลียงได้อย่างไรกัน? ซูหยิงเซี่ยคงจะแค่เคยเอ่ยถึงเท่านั้นแหละ “หานซานเฉียน อย่ามาทำให้ฉันเสียเวลา เขาจะรู้หรือเปล่าแล้วเกี่ยวอะไรกับนาย” ถังหลงพูดเหยียดหยาม “นายนั่นแหละที่ทำให้ฉันเสียเวลา ฉันกำลังจะไปหาจงเหลียง ถ้าช้าขึ้นมานายจะรับผิดชอบไหวไหม?” หานซานเฉียนกล่าว ถังหลงขมวดคิ้วและกัดฟันแน่น เจ้าหมอนี่จะไปหาจงเหลียงในนามของตระกูลซูอย่างงั้นเหรอ? เขามีตำแหน่งสูงขนาดนี้ในตระกูลซูตั้งแต่เมื่อไรกัน? แล้วเรื่องคุยโวเมื่อครู่นี้ ถ้าเจ้าหมอนี่เอาไปเล่าให้จงเหลียงฟัง แล้วเขาจะอธิบายอย่างไร? “วันนี้พี่จงไม่อยู่ นายรีบไสหัวไปไกล ๆ ดีกว่า” ถังหลงพูด “ไม่เป็นไร ถึงเขาจะไม่ได้อยู่ในบริษัท ฉันก็โทรศัพท์เรียกเขามาที่นี่ได้” หานซานเฉียนกล่าว ถังหลงยิ้มเยาะ เจ้าหมอนี่คุยโวเลียนแบบเขาแล้วเหรอ? แม้ว่าตระกูลซูจะเป็นผู้จัดหาวัสดุก่อสร้างให้กับโครงการเฉิงซี แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าจงเหลียง พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงท่าทีแบบนี้หรอก เพราะบริษัทลั่วเฉวเป็นฝ่ายเลือกผู้ร่วมงาน นั่นหมายความว
“ถังหลง คุณหมายความว่ายังไง คุณหานเป็นแขกคนสำคัญของผม คุณกล้าดียังไงมาสบประมาทเขาแบบนี้” จงเหลียงตำหนิด้วยน้ำเสียงเย็นชา แขกคนสำคัญ? ถังหลงนึกสงสัยทันทีว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า คนไร้ประโยชน์อย่างหานซานเฉียนจะเป็นแขกคนสำคัญของจงเหลียงได้อย่างไร? แม้ว่าเขาจะเป็นตัวแทนของตระกูลซู แต่จงเหลียงก็ไม่มีทางจะให้เกียรติเขาถึงขนาดนี้ “พี่จง เขาคือหานซานเฉียนนะ พี่จำผิดคนหรือเปล่าครับ?” ถังหลงถามยืนยันอีกครั้ง จงเหลียงพ่นลมหายใจแรงก่อนจะกล่าวขึ้น “คุณหานครับ ขอโทษนะครับ ที่พนักงานของบริษัทเราดูถูกคุณ คุณจะลงโทษยังไงก็ว่ามาได้เลยครับ” พอเห็นจงเหลียงก้มตัวลงเล็กน้อย ถังหลงก็ตกตะลึง ถ้าเมื่อครู่หูฝาด ตอนนี้คงไม่ได้ตาฝาดไปหรอกนะ เป็นไปได้อย่างไร! มันจะเป็นไปได้อย่างไร! หรือว่าจงเหลียงจะให้ความสำคัญกับตระกูลซูมากขนาดนี้เลยเหรอ? แต่เมืองในหยุนเฉิงมีผู้จัดหาสินค้าและบริการที่ดีกว่าตระกูลซูมากมาย แม้ว่าจะไม่ได้ร่วมมือกับตระกูลซู ก็ยังมีผู้คนรอต่อแถวเพื่อร่วมมือกับบริษัทลั่วเฉวอีกเป็นจำนวนมาก “ถังหลง นายยังจำเดิมพันเมื่อกี้ได้ใช่ไหม ถ้าฉันโทรเรียกจงเหลียงมาได้ นายต้องคุกเข่าหน้าประ
หานซานเฉียนรู้สึกประใจหลาดเล็กน้อยกับคำขอโทษของถังหลง นับว่าถังหลงสร้างความประหลาดใจให้เขาไม่น้อย ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขามีรายได้นับล้านต่อปีได้ในสถานที่อย่างเมืองหยุนเฉิง ความสุขุมและการรู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำของเขา คนทั่วไปนั้นเทียบไม่ติด หานซานเฉียนไม่คิดว่าถังหลงจะสำนึกผิดจริง ๆ เขาแค่ไม่อยากตกงานที่จะทำให้ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะแก้แค้น อาศัยบริษัทลั่วเฉวมาใกล้ชิดกับตระกูลหานงั้นเหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ เกรงว่าเขาจะต้องผิดหวังอีกครั้ง “ผมไม่ใช่คนใจแคบคิดเล็กคิดน้อย ขอแค่คุณคุกเข่าสามวัน ผมจะไม่ติดใจเอาความกับคุณอีก” หานซานเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ถังหลงกัดฟันแน่นมองตามหลังหานซานเฉียนที่เดินจากไป แล้วพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ไอ้คนไร้ประโยชน์ ไม่ช้าก็เร็ว วันหนึ่งแกจะต้องตกอยู่ในกำมือของถังหลงคนนี้ รอให้ฉันได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญของตระกูลหานก่อนเถอะ ฉันจะทำให้แกต้องร้องขอชีวิต ซูหยิงเซี่ยก็จะต้องกลายเป็นทาสบำเรอกามของฉันด้วย” หลังจากที่เขาพูดคำเหล่านี้จบอย่างเกรี้ยวกราด คนใจเสาะอย่างถังหลงก็คุกเข่าลงอีกครั้ง เมื่อไม่ได้รับคำสั่งจากหานซานเฉียน ทางด้านจงเหลียงก็ไม่ได้ไล่ถังหลงออ
กำปั้นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแก้ปัญหา แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถใช้วิธีนี้กับทุกเรื่องได้ ตระกูลเทียนเป็นตระกูลเก่าแก่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเมืองหยุนเฉิง การจะใช้กำปั้นเอาชนะตระกูลประจำถิ่นนั้นเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อ หลังจากหานซานเฉียนออกจากไนท์คลับเมจิกซิตี้ ก็มาถึงสถานฝึกยุทธฉางเฉิงของเทียนฉางเฉิง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดของตระกูลเทียน เทียนฉางเฉิงมอบงานน้อยใหญ่ของบริษัทให้ย่อยต่าง ๆ ของเขาจนเกือบหมด เขาหมกมุ่นอยู่กับการฝึกวิทยายุทธตลอดเวลา และยังเคยไปศึกษาที่เส้าหลินมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขามีคุณสมบัติไม่ตรงตามข้อกำหนดในการเข้าสู่เส้าหลินจึงไม่ได้เป็นศิษย์ของเส้าหลิน ในสายตาของเทียนฉางเฉิง สังคมก็เหมือนกับยุทธจักร และยุทธจักรก็ควรจะมีคนที่มีวิทยายุทธดำรงอยู่ ราษฎรเข้มแข็งประเทศก้าวหน้า บุคคลที่หวังแต่ผลประโยชน์อย่างเทียนฉางเฉิงเป็นเรื่องยากที่จะตระหนักได้เช่นนี้ในวัยชรา ในสถานฝึกยุทธ เสียงเฮดังขึ้นรอบทิศทาง ข้างกายเทียนฉางเฉิงคือเด็กสาวอายุราว ๆ 17-18 ปี ถักเปียหางม้าสองข้าง ดูร่าเริงมีชีวิตชีวา แม้ว่าสาวน้อยจะยังเด็กอยู่ แต่ในด้านรูปร่างนั้นเธ
“คุณต้องการเดิมพันอะไร” เทียนฉางเฉิงถาม “สวี้เหยาชอบเทียนหลิงเอ๋อร์มานานแล้ว ถ้าวันนี้คุณแพ้ ก็จัดการกำหนดเรื่องการแต่งงานของพวกเขาเลย ว่าไงล่ะ?” หลัวปินกล่าว เทียนฉางเฉิงคิดไม่ถึงว่าชายชราผู้นี้จะไร้ยางอายถึงขนาดคิดหมายปองเทียนหลิงเอ๋อร์ เทียนหลิงเอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของเขา ส่วนคนอย่างหลัวสวี้เหยา เทียนฉางเฉิงก็ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา เขาเป็นคนที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ถ้าให้เทียนหลิงเอ๋อร์แต่งงานกับเขานั้น ไม่เท่ากับทำลายเทียนหลิงเอ๋อร์ไปทั้งชีวิตหรอกเหรอ “ว่าไงล่ะ หรือว่าคุณไม่กล้า? ถ้าไม่อย่างนั้น คุณก็ให้คนของสถานฝึกยุทธขึ้นมาต่อสู้ทีละคน สู้แบบเวียนเทียนผมก็ไม่รังเกียจ ขอเพียงคนของคุณเอาชนะได้” หลัวปินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นความหยิ่งผยองของหลัวปิน เทียนหลิงเอ๋อร์ก็ไม่ยอมให้ปู่ของเธอต้องรู้สึกอับอายขายหน้าจึงพูดขึ้นว่า “คุณปู่คะ หนูเชื่อคุณปู่ค่ะ” ก่อนหน้านี้เทียนฉางเฉิงมีความมั่นใจมาก แต่ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เอาความสุขของเทียนหลิงเอ๋อร์มาเป็นเดิมพัน “ฉางเฉิง คุณกลายเป็นคนลังเลแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หรือว่าพออายุมากขึ้น ความกล้าหาญก็น้อยลงไป? ถ้าคุณเอาชนะได้ ผมจ