กำปั้นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแก้ปัญหา แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถใช้วิธีนี้กับทุกเรื่องได้ ตระกูลเทียนเป็นตระกูลเก่าแก่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเมืองหยุนเฉิง การจะใช้กำปั้นเอาชนะตระกูลประจำถิ่นนั้นเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อ หลังจากหานซานเฉียนออกจากไนท์คลับเมจิกซิตี้ ก็มาถึงสถานฝึกยุทธฉางเฉิงของเทียนฉางเฉิง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดของตระกูลเทียน เทียนฉางเฉิงมอบงานน้อยใหญ่ของบริษัทให้ย่อยต่าง ๆ ของเขาจนเกือบหมด เขาหมกมุ่นอยู่กับการฝึกวิทยายุทธตลอดเวลา และยังเคยไปศึกษาที่เส้าหลินมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขามีคุณสมบัติไม่ตรงตามข้อกำหนดในการเข้าสู่เส้าหลินจึงไม่ได้เป็นศิษย์ของเส้าหลิน ในสายตาของเทียนฉางเฉิง สังคมก็เหมือนกับยุทธจักร และยุทธจักรก็ควรจะมีคนที่มีวิทยายุทธดำรงอยู่ ราษฎรเข้มแข็งประเทศก้าวหน้า บุคคลที่หวังแต่ผลประโยชน์อย่างเทียนฉางเฉิงเป็นเรื่องยากที่จะตระหนักได้เช่นนี้ในวัยชรา ในสถานฝึกยุทธ เสียงเฮดังขึ้นรอบทิศทาง ข้างกายเทียนฉางเฉิงคือเด็กสาวอายุราว ๆ 17-18 ปี ถักเปียหางม้าสองข้าง ดูร่าเริงมีชีวิตชีวา แม้ว่าสาวน้อยจะยังเด็กอยู่ แต่ในด้านรูปร่างนั้นเธ
“คุณต้องการเดิมพันอะไร” เทียนฉางเฉิงถาม “สวี้เหยาชอบเทียนหลิงเอ๋อร์มานานแล้ว ถ้าวันนี้คุณแพ้ ก็จัดการกำหนดเรื่องการแต่งงานของพวกเขาเลย ว่าไงล่ะ?” หลัวปินกล่าว เทียนฉางเฉิงคิดไม่ถึงว่าชายชราผู้นี้จะไร้ยางอายถึงขนาดคิดหมายปองเทียนหลิงเอ๋อร์ เทียนหลิงเอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของเขา ส่วนคนอย่างหลัวสวี้เหยา เทียนฉางเฉิงก็ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา เขาเป็นคนที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ถ้าให้เทียนหลิงเอ๋อร์แต่งงานกับเขานั้น ไม่เท่ากับทำลายเทียนหลิงเอ๋อร์ไปทั้งชีวิตหรอกเหรอ “ว่าไงล่ะ หรือว่าคุณไม่กล้า? ถ้าไม่อย่างนั้น คุณก็ให้คนของสถานฝึกยุทธขึ้นมาต่อสู้ทีละคน สู้แบบเวียนเทียนผมก็ไม่รังเกียจ ขอเพียงคนของคุณเอาชนะได้” หลัวปินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นความหยิ่งผยองของหลัวปิน เทียนหลิงเอ๋อร์ก็ไม่ยอมให้ปู่ของเธอต้องรู้สึกอับอายขายหน้าจึงพูดขึ้นว่า “คุณปู่คะ หนูเชื่อคุณปู่ค่ะ” ก่อนหน้านี้เทียนฉางเฉิงมีความมั่นใจมาก แต่ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เอาความสุขของเทียนหลิงเอ๋อร์มาเป็นเดิมพัน “ฉางเฉิง คุณกลายเป็นคนลังเลแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หรือว่าพออายุมากขึ้น ความกล้าหาญก็น้อยลงไป? ถ้าคุณเอาชนะได้ ผมจ
เดิมทีเทียนฉางเฉิงวางแผนที่จะให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดในสถานฝึกยุทธตอบรับคำท้า แต่ในเวลานี้มันเกี่ยวข้องกับความสุขของเทียนหลิงเอ๋อร์ อีกอย่างหลัวปินยังบอกว่าไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกันในเกมเดียว ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะให้คนอื่นไปทดสอบ “คุณต้องสังเกตการณ์ให้ดี การต่อสู้ครั้งนี้จะแพ้ไม่ได้” เทียนฉางเฉิงกำชับกับคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก ส่วนคนที่ยืนอยู่บนสังเวียนในเวลานี้ คือยอดฝีมืออันดับสองในสำนัก “ไม่ต้องเป็นห่วงครับอาจารย์ ผมจะทำให้เต็มที่” ในเวลานี้ มีเสียงดังสนั่นขึ้นบนสังเวียนต่อสู้ คนของหลัวปินกระทืบเท้ากับพื้นจนเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทั่วทั้งสังเวียนการต่อสู้สั่นสะเทือน หลังจากสิ้นเสียงดังสนั่น บุคคลที่เป็นนักสู้ของเทียนฉางเฉิงนั้นก็วิ่งเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว ในสายตาของคนทั่วไป ความเร็วนั้นเร็วมากจนน่าตกใจ แต่หานซานเฉียนที่อยู่ข้าง ๆ นั้นกลับส่ายหน้าไปมา “การฝึกความแข็งแกร่งที่มากจนเกินไป จะส่งผลให้ความเร็วและความว่องไวลดลง แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับการรับมือกับคนของสถานฝึกยุทธแห่งนี้” คำพูดของหานซานเฉียน บ่งบอกถึงจุดจบของการประลองฝีมือนี้ล่วง
“คุณปู่คะ ถ้าอย่างนั้นเราไปขอความช่วยเหลือจากเขาดีไหม?” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่หานซานเฉียน “เขาเหรอ?” เทียนฉางเฉิงมองเทียนหลิงเอ๋อร์ด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเสนอแนะเช่นนี้ขึ้นมา “เมื่อกี้เขาบอกว่า ถ้าเราแพ้ ก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้” เทียนหลิงเอ๋อร์กล่าว ชายหนุ่มคนนี้ พูดอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? แต่ดูท่าทางเขา ไม่เหมือนคนที่เป็นมวยเลยนะ เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้กล้าพูดแบบนี้ “หลิงเอ๋อร์ หลานทำไมเชื่อไปหมดทุกคนเลย หลานดูหน่วยก้านเขาสิ เหมือนยอดฝีมือตรงไหน?” เทียนฉางเฉิงกล่าว เทียนหลิงเอ๋อร์ถอนหายใจ เธอก็มองไม่ออกจริง ๆ ว่าหานซานเฉียนนั้นเหมือนยอดฝีมือตรงไหน แต่เธอก็ยอมรับความจริงไม่ได้เช่นกันว่าตัวเองกำลังจะแต่งงานกับหลัวสวี้เหยา เทียนหลิงเอ๋อร์ปล่อยมือของเทียนฉางเฉิง แล้วเดินตรงเข้าไปหาหานซานเฉียนด้วยใบหน้าแดงก่ำ เธอไม่เพียงกลัวการแต่งงานกับหลัวสวี้เหยา แต่ยังอับอายจนเหงื่อตก เพราะเธอได้ประกาศกร้าวว่าจะไม่ขอความช่วยเหลือจากหานซานเฉียน เมื่อเดินเข้าไปตรงหน้าหานซานเฉียน เทียนหลิงเอ๋อร์ก็ก้มหน้าลง ต้องการความช่วยเหลือแต่กลับพูดอะไรไม่ออก
“คุณปู่คะ เขาโหดเหี้ยมขนาดนี้ ผู้ชายนี้จะตายอย่างอนาถไหมคะ?” เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของหานซานเฉียน ภายในใจของเทียนหลิงเอ๋อร์ก็รู้สึกยุ่งเหยิงยากจะอธิบายได้ความเย่อหยิ่งของเขาดูแล้วช่างขัดตา จนไม่อยากให้เขาชนะด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขาแพ้ เทียนหลิงเอ๋อร์ก็ไม่อาจยอมรับเรื่องของการแต่งงานกับหลัวสวี้เหยาในอนาคตได้เหมือนกันเทียนฉางเฉิงถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไปเอาความเชื่อมั่นในตัวเองมาจากไหน แต่เขาแทบจะคาดเดาถึงจุดจบของหานซานเฉียนได้เลยชายหนุ่มที่หยิ่งผยองแบบนี้น่าจะมาจากสภาพครอบครัวที่มีฐานะดี ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้ ดังนั้นถึงได้โอหังขนาดนี้ พละกำลังอันน่ายำเกรงที่คู่ต่อสู้ได้แสดงออกมา เขาไม่เห็นมันอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่โดนต่อยจนล้มลงเท่านั้น บางทีเขาอาจจะประจักษ์ชัดถึงความจริงก็ได้“หลิงเอ๋อร์ ผู้ชายคนนี้เราคงคาดหวังอะไรไม่ได้แล้ว แต่ปู่จะหาทางแก้ปัญหาทางอื่นให้ได้” เทียงฉางเฉิงกล่าวอย่างคนไม่มีแรง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดว่าการประลองฝีมือครั้งนี้จะทำให้เกิดผลที่ตามมาร้ายแรงอย่างไม่คาดคิดเทียนหลิงเอ๋อร์มีสีหน้าซีดเผือด คุณปู่ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับคนอื่น
แม้ว่าจะผิดสัญญา แต่เขาก็ไม่สามารถยกอสังหาริมทรัพย์ครึ่งหนึ่งของตระกูลหลัวในเมืองตงซานให้อีกฝ่ายได้“หลัวปิน นายแพ้แล้ว” ในที่สุดเทียนฉางเฉิงก็เลิกคิ้ว มองไปที่หลัวปินด้วยสีหน้าเบิกบานใจเทียนหลิงเอ๋อร์แอบมองไปที่หานซานเฉียนด้วยท่าทางเขินอาย หลังจากนั้นจึงหันหน้าไปคุยกับหลัวปินว่า “คุณปู่คะ ปู่คงไม่ลืมเรื่องที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”หลัวปินถอนหายใจอย่างเย็นชาพร้อมกับพูดว่า “เทียนฉางเฉิง ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนจากสำนักฝึกยุทธของนายใช่ไหม?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เทียนฉางเฉิงรู้ว่าหลัวปินต้องการเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้าน ๆ จึงพูดว่า “นายเพิ่งพูดอย่างชัดเจนว่า แค่คนของสำนักฝึกยุทธสามารถเอาชนะคนของนายได้ก็คืชนะ ตอนนี้นายคิดจะกลับคำดื้อ ๆ หรือไง?”“ฉันหมายถึงผู้ประลองต้องเป็นลูกศิษย์ของสำนักฝึกยุทธของนายเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงคนนอก” หลัวปินโต้“หลัวปิน พวกเราอายุปูนนี้แล้ว ถ้านายผิดสัญญา นายก็ไม่กลัวเสียภาพลักษณ์หรือไง?” เทียนฉางเฉิงพูดพร้อมกับหัวเราะภาพลักษณ์อย่างนั้นเหรอ?สำหรับหลัวปินแล้ว ภาพลักษณ์จะสำคัญเท่าทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลหลัวได้อย่างไร“เทียนฉางเฉิง ฉันจะกลับมาที่นี่
“คุณปู่คะ คนที่เก่งกาจขนาดนี้ ทำไมถึงแต่งงานเข้าตระกูลซูล่ะ? แถมยังโดนผู้คนทั้งเมืองหยุนเฉิงด่าทอว่าเป็นคนไร้ประโยชน์อีกด้วย” เทียนหลิงเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างสงสัยเทียนฉางเฉิงก็ไม่สามารถคิดหาเหตุลผลนั้นออกมาได้เช่นกัน แต่เขารู้ว่าหานซานเฉียนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอนในเมื่อเขามีความสามารถที่แข็งแกร่งขนาดนี้ และยังเต็มใจอยู่อย่างซ่อนเร้นในตระกูลซูอีก เขาต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่นอน“คนคนนี้ไม่ธรมดาแน่ ปู่กลัวว่าเมืองหยุนเฉิงในอนาคตจะไม่เหมือนเดิม” เทียนฉางเฉิงรู้ว่าตัวเองดูหานซานเฉียนผิดไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาไม่แสดงท่าทีหยิ่งยโสต่ออีกฝ่ายอีกต่อไป เข้าใจอย่างชัดเจนถึงเหตุผลที่เขาจงใจปิดบังพรสวรรค์ของตัวเองด้วย ท่าทีของเขาก่อนหน้านี้ ทั้งหมดเป็นเพราะเขาไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะทำเรื่องที่ตัวเองร้องขอได้สำเร็จ เทียนฉางเฉิงคิดไปเองเพียงฝ่ายเดียวว่าเขาเป็นคนเย่อหยิ่งที่โง่เขลาจนไม่เห็นใครอยู่ในสายตาสำหรับสุภาพบุรุษที่ซ่อนความสามารถเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นย่อมต้องมีเหตุผลเขาต้องการอะไรกันแน่?“คุณปู่ คุณปู่กำลังจะบอกว่าเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งใช่ไหมคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์ จู่ ๆ ก็ยิ้มออกมาด้
เช้าวันรุ่งขึ้น หานซานเฉียนขี่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันเล็กไปที่โรงพยาบาล เพราะรถทั้งสองคันที่บ้านตอนนี้เขาไม่สามารถใช้ขับได้ เขาจึงขี้เกียจซื้อรถใหม่อีกคันในโรงพยาบาล ขณะเขากำลังช่วยจางหลิงฮวาจัดการขั้นตอนการออกจากโรงพยาบาลอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็ถูกคนปิดตาทั้งสองข้างจากด้านหลัง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เขาคงจับคนตรงหน้าทุ่มไปที่พื้นอย่างแรงไปเรียบร้อยแล้ว“เดาซิว่าฉันเป็นใคร?”เกมหยอกล้อเพี้ยน ๆ แบบนี้ทำให้หานซานเฉียนยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้เขาก็รู้สึกทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยเล็กน้อย “คุณคงจำผิดคนแล้วล่ะครับ?” หานซานเฉียนกล่าว“น่าเบื่อจริง ๆ เลย” เจ้าของเสียงพูดพร้อมกับปล่อยมือ หานซานเฉียนหันกลับไปมองทันที นี่คือเทียนหลิงเอ๋อร์ไม่ใช่เหรอ?ด้วยความสัมพันธ์ของเขาและเทียนหลิงเอ๋อร์ไม่ถึงขนาดที่จะเล่นหยอกล้อกันอย่างใกล้ชิดแบบนี้ได้ แต่สาวน้อยคนนี้กลับทำตัวเป็นกันเองกับเขาซะอย่างนั้น“หลิงเอ๋อร์ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” หานซานเฉียนเอ่ยถาม“คุณเป็นห่วงฉันด้วย ทั้งที่ไม่ใช่แฟนของฉันเนี่ยนะ” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้าทะนง