“เฉินหลิงเหยา เธออย่ามาโม้ให้ยากเลย เธอรู้ได้ยังไงว่าใครคือเจ้าชายน้อยแห่งเปียโน?” “ใช่แล้ว ฉันได้ยินมาว่ามีผู้หญิงหลายคนจากครอบครัวเศรษฐี ยอมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้ข้อมูลของเจ้าชายน้อยแห่งเปียโน แต่ก็ยังไม่สำเร็จเลย แล้วเธอไปรู้มาจากไหน?” “ในสายตาของฉัน เจ้าชายน้อยแห่งเปียโนคือหยางเหวิน เธออย่าไปอิจฉาหรงหลิ่วเลย ตอนนี้หรงหลิ่วเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในชั้นเรียนของเรา เรื่องนี้เธอไม่สามารถปฏิเสธได้” เมื่อได้ยินเพื่อนนักเรียนช่วยพูดแทนเธอ หรงหลิ่วก็รู้สึกโล่งใจ ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมาจะรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างมาก โชคดีที่ไม่มีใครยอมเชื่อเฉินหลิงเหยา “เฉินหลิงเหยา ทำไมเธอต้องทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าด้วย อยากจะช่วยซูหยิงเซี่ยให้มีหน้ามีตาขึ้น ก็ต้องคิดด้วยว่าตัวเองเป็นใคร อีกอย่างเธอก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ซูหยิงเซี่ยมานานหลายปี แล้วเธอได้ประโยชน์อะไรบ้างล่ะ? ถ้าไม่ไหวจริง ๆ มาเป็นสุขนับรับใช้ของฉันก็ได้นะ พวกเครื่องสำอางชื่อดังในบ้านของฉัน เดี๋ยวยกให้เธอหมดเลย” หรงหลิ่วพูดอย่างขำ ๆ “หรงหลิ่ว เฉินหลิงเหยาเป็นพี่น้องของฉัน เธออย่ามาพูดจาซี้ซั้ว” ซูหยิงเซี่ยได้ยินแบบนั้นก็ลุก
หรงหลิ่วโกรธจนขนลุกชูชันไปทั่วร่าง เธอไม่เคยรู้สึกอับอายขายหน้าขนาดนี้มาก่อน ในงานคืนสู่เหย้าเพื่อนนักเรียนแบบนี้ เฉินหลิงเหยากล้าดียังไงมาทำให้เธอรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ “ที่รัก อย่าโกรธเธอเลย ผมจะไปขอยืมคนจากคุณน้าเอง วันนี้ผมจะทำให้เธอคุกเข่าขอโทษคุณให้ได้” หยางเหวินกล่าว หรงหลิ่วพ่นลมหายใจแรงอย่างไม่พอใจ รอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ “ฉันจะทำให้เธอขายหน้า รวมทั้งซูหยิงเซี่ยกับเจ้าคนไร้ค่านั่นด้วย” หยางเหวินยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง คุณยังไม่รู้อีกเหรอว่าคุณน้าผมเป็นใคร? วันนี้ทั้งสามคนไม่ได้อยู่เป็นสุขหรอก” หลังจากหยางเหวินเดินออกจากห้องโถง ก่อนตรงไปยังห้องทำงานของหยางฉี หยางฉีอยู่ในวัยราว ๆ สี่สิบ มีศีรษะล้านเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว คนรู้จักสนิทสนมจะเรียกเขาว่ายาจกหยาง แน่นอนว่าชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อที่คนทั่วไปกล้าเรียกได้ตามใจ แม้หยางฉีจะไม่ได้มีอิทธิพลมากนักในเมืองหยุนเฉิง แต่ถ้าเปรียบเรื่องเส้นสายก็กว้างขวางมาก เขามีความสัมพันธ์กับทุกฝ่าย คนที่ทำให้เขาไม่พอใจล้วนจบไม่สวยทุกราย การก่อตั้งบ้านผลไม้เมื่อสองปีก่อนนั้นตามมาด้วยการล่มสลายอย่างต่อเนื่องของคู่แข่ง ซ
ตอนรับประทานอาหารกลางวัน หานซานเฉียนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นเริ่มวางแผนไปพบหยางฉี เพราะเรื่องวันนี้หยางเหวินคงไม่ปล่อยให้มันจบง่าย ๆ เขาไม่อยากเคลื่อนไหวมากเกินไป ดังนั้นจึงคิดจะขอให้หยางฉีจัดการเรื่องนี้แทน เมื่อสามปีที่ก่อน หยางฉีไม่ได้ถูกลอตเตอรี่ แต่เขาโชคดีจริง ๆ เช่นเดียวกับหลินหย่ง ที่ได้รับการสนับสนุนจากหานซานเฉียน จึงได้มายืนในตำแหน่งเช่นวันนี้ได้ อิทธิพลและเส้นสายเป็นเรื่องแรกที่หานซานเฉียนทำหลังจากพวกเขามาถึงเมืองหยุนเฉิง หลินหย่งมีอำนาจรับผิดชอบพื้นที่สีเทา ส่วนหยางฉีได้เพิ่มสายสัมพันธ์ของเขาในเมืองหยุนเฉิง เตรียมพร้อมไว้ในกรณีที่หานซานเฉียนต้องการ ในช่วงเวลาที่หานซานเฉียนจำศีลอยู่ในตระกูลหานนั้น เขาเข้าใจในหลักการดีว่า ถ้าต้องการร่ำรวย ก็ต้องมีอิทธิพลและเส้นสาย หลังจากที่เขามีเงินแล้ว จึงใช้เงินสร้างอิทธิพลให้แข็งแกร่งและสานความสัมพันธ์ในระดับที่สูงขึ้น หมุนเวียนเป็นวัฏจักรแบบนี้เรื่อยไป จึงทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แค่ไม่นานหลังจากที่หานซานเฉียนออกไปจากห้องโถง คนที่ดูท่าทางเป็นนักเลงหัวไม้หลายคนก็เข้ามาในห้องโถง เมื่อเห็นคนเหล่านี้ สายตาของหรงหลิ่วยิ
“หยิงเซี่ย แล้วหานซานเฉียนล่ะ ทำไมเขายังไม่มาอีก” เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอันโจ่งแจ้งของกลุ่มนักเลงเหล่านั้น เฉินหลิงเหยาก็พูดเสียงแผ่วเบาด้วยความหวาดกลัว “คนสวย กระซิบอะไรกันจ๊ะ มีอะไรก็พูดให้พวกเราฟังบ้างสิ” นักเลงคนหนึ่งพูดพร้อมกับวางมือลงบนหัวไหล่ของเฉินหลิงเหยาเฉินหลิงเหยาเบี่ยงตัวหลบ แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” “โอ้ อารมณ์รุนแรงซะด้วย ผมชอบ” สีหน้าซูหยิงเซี่ยเริ่มเคร่งขรึมขึ้น เธอรู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของหรงหลิ่ว จึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “หรงหลิ่ว ความขัดแย้งระหว่างเรา ทำให้เธอจำเป็นต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ?” “ซูหยิงเซี่ย เธอไปคั่วผู้ชายข้างนอกมากี่คนแล้ว ตัวเองไม่ได้นับเลยเหรอ? ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ” หรงหลิ่วพูดอย่างเย็นชา “คนสวย คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อคืนเราตื่นเต้นกันมากแค่ไหน? คุณลุกจากเตียงไม่ได้เลย ยังไม่ยอมรับอีกเหรอ” นักเลงพูดกับซูหยิงเซี่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดจาเหลวไหล ฉันไปรู้จักกับคุณตอนไหน อย่ามาพูดจาซี้ซั้วนะ” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “โธ่เว้ย ยัยพวกนี้ กล้าทำแบบนี้เหรอ” นักเลงตบเข้าไปหน้าซูหยิงเซี่ย
ณ ห้องทำงานของหยางฉี หานซานเฉียนนั่งลงบนโซฟาและมีหยางฉียืนตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ “พี่ซานเฉียน คุณมาที่นี่ทำไมเหรอ” หยางฉีเอ่ยถาม เมื่อสามปีก่อนเขายังเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น หานซานเฉียนพบเขาและให้โอกาสเขาได้ประสบความสำเร็จในวันนี้ แม้ว่าหยางฉีจะมีเส้นสายอยู่ในมือแล้วในตอนนี้ แต่เขาก็ยังไม่กล้ามองข้ามหานซานเฉียน เพราะเขารู้ดีว่าถ้าหานซานเฉียนสามารถให้ทุกอย่างแก่เขาได้ก็สามารถเรียกคืนกลับไปได้เช่นกัน “วันนี้ผมมางานคืนสู่เหย้าเป็นเพื่อนภรรยา ก็เลยถือโอกาสมาหาคุณด้วย เราไม่ได้เจอกันสามปีแล้ว ผมกลัวว่าคุณจะลืมผมไปแล้ว” หานซานเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้ยินดังนั้นหยางฉีก็ลนลานรีบบอกว่า “พี่ซานเฉียน ผมจะลืมพี่ได้ยังไง ต่อให้ลืมว่าตัวเองแซ่อะไร แต่ก็ไม่อาจลืมบุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่พี่ซานเฉียนมีให้ผมได้” "หยางฉี สิ่งที่ผมให้คุณได้ ก็เอากลับคืนมาได้เช่นกัน คุณรู้ใช่ไหม?” หานซานเฉียนเอ่ย หยางฉีตกใจมาก ทำไมจู่ ๆ ถึงได้พูดจาเช่นนี้ล่ะ? “พี่ซานเฉียน ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า” หยางฉีถามด้วยความประหม่า หานซานเฉียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรผิด แค่อยากจะมาเตือนคุณไว้เท่านั้น ผมไ
ช่างน่าขำ! ถ้าเขามีความสามารถเช่นนี้ จะมีชื่อกระฉ่อนทั่วเมืองหยุนเฉิงว่าเป็นคนไร้ค่าได้อย่างไร “ซูหยิงเซี่ย ฉันต้องการให้เธอคุกเข่าลง” หรงหลิ่วพูดประโยคนี้กับซูหยิงเซี่ยมามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว ซูหยิงเซี่ยเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้น แล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า “ฝันไปเถอะ” หรงหลิ่วรู้ว่าหยางฉีปฏิบัติต่อหยางเหวินเหมือนเป็นลูกชายของเขา ดังนั้นเธอจึงไม่กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ตราบใดที่หยางฉีช่วยหนุนหลังเธอ เธอก็รู้สึกปลอดภัย เธอกระชากเส้นผมของซูหยิงเซี่ยอย่างแรง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เชื่อไหม ฉันจะบอกให้พวกเขาสำเร็จความใคร่กับเธอที่นี่ก็ได้ เธอบริสุทธิ์นักไม่ใช่เหรอ? งั้นก็ให้เพื่อนนักเรียนทั้งหมดดูเธอยั่วยวนเพศตรงข้ามหน่อยเป็นไง?” “ปล่อยเธอ!” เสียงตวาดดังสะเทือนฟ้าดินมาจากในห้องโถง เมื่อหานซานเฉียนเห็นสภาพของซูหยิงเซี่ย ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในทันที เขารีบวิ่งเข้าไปหาเธอ นักเลงสองคนที่จับซูหยิงเซี่ยอยู่ถูกหานซานเฉียนต่อยเข้าที่ศีรษะ พวกเขาล้มลงกับพื้นราวกับโคลนแหยะ ไม่รู้ว่าตายหรือเปล่า หานซานเฉียนกอดซูหยิงเซี่ยเอาไว้ด้วยร่างกายที่สั่นเทา มองดูบาดแผลบนใบหน้าซูหยิงเซี่
“ฉันจะบอกให้คุณน้าฆ่าแก ฉันจะบอกให้คุณน้าฆ่าแก” หรงหลิ่วคลำบริเวณเหนือศีรษะที่ผมหลุดออกไป พร้อมกับแผดเสียงลั่นใส่หานซานเฉียน เมื่อเห็นสภาพที่น่าสังเวชของหรงหลิ่ว หยางเหวินกุมปากที่ยังคงมีเลือดไหลอยู่วิ่งเข้าไปหาเธอแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง วันนี้ผมจะไม่ปล่อยให้เขาออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน” “หานซานเฉียน แกตายแน่ ฉันจะทำให้แกต้องชดใช้อย่างเจ็บปวด” หยางเหวินหันกลับมามองหานซานเฉียนอย่างโหดเหี้ยม หยางฉีเห็นเขาเหมือนลูกชายแท้ ๆ ส่วนหรงหลิ่วก็เป็นลูกสะใภ้ของเขา ตอนนี้เธอถูกหานซานเฉียนดึงทึ้งผมออกจนหัวล้าน แล้วหยางฉีจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร “หยางฉี” หานซานเฉียนตะโกนเรียกด้วยเสียงเย็นชา หยางฉีที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่พื้นหน้าประตู พอได้ยินเสียงตะโกนเรียกก็ตกใจและได้สติ เขาจึงรีบลุกขึ้น แล้ววิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปในห้องโถงทันที “จบเห่แน่ หยางฉีมาแล้ว!” “คราวนี้หานซานเฉียนหนีไม่รอดแล้ว โง่จริง ๆ” “ใครใช้ให้เขาอวดดีแบบนี้ล่ะ มีโอกาสหนีก็ไม่หนี ตอนนี้หยางเหวินต้องการให้เขาตาย หยางฉีไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน” พอหยางเหวินเห็นหยางฉี ก็เหมือนได้เห็นผู้กอบกู้โลก เขาพูดทั้งน้ำตาและน้ำม
หยางฉีเรียกชื่อหานซานเฉียนว่า พี่ซานเฉียน! เพื่อนนักเรียนที่เคยมั่นใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซูหยิงเซี่ยนั้นได้ถูกตบหน้าอย่างจัง แต่… แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมหานซานเฉียนเก่งกาจถึงขนาดทำให้หยางฉีคุกเข่าขอโทษได้ ไม่ใช่แค่นักเรียนเหล่านั้นที่ไม่เข้าใจ แต่ซูหยิงเซี่ยและเฉินหลิงเหยาก็มีสีหน้าสับสนเช่นกัน ทำไมแม้แต่คนอย่างหยางฉี ถึงเรียกเขาว่าพี่ซานเฉียน? “เมื่อกี้นี้ มีคนคิดจะสำเร็จความใคร่ภรรยาของผมใช่ไหม?” หานซานเฉียนพูดอย่างเฉยชา หยางฉีพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เข้าใจแล้วครับ” เพียงไม่นานนัก หยางฉีก็เรียกลูกน้องหลายคนเข้ามา แล้วออกคำสั่งว่า “จัดการผู้หญิงคนนี้ให้กลายเป็นของแกซะ ตรงนี้แหละ” แม้ว่าลูกน้องหลายคนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของหยางฉี หรงหลิ่วมองดูผู้คนที่เดินเข้ามาหาเธอด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าเธอจะเคยเป็นคนอวดดีอย่างเหลือทน แต่หลังจากที่ได้คบกับหยางเหวินแล้ว เธอก็พยายามสำรวมไว้ เพราะหยางเหวินมีเงินทอง สามารถทำให้เธอมีชีวิตที่ดีได้ หากวันนี้เธอถูกคนเหล่านี้ย่ำยี หยางเหวินต้องไม่เอาเธอแล้วแน่ ๆ “หยางเหวิน ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย”