“ไห่เฉา นายช่วยฉันสืบไปถึงไหนแล้ว ได้ข้อมูลอะไรบ้างไหม?” ซูอี้หานถาม ซูไห่เฉาต้องการใช้เรื่องนี้มาคลี่คลายสถานการณ์ในบริษัทเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลยแม้แต่น้อย ในเมืองหยุนเฉิงไม่มีตระกูลหานที่มีอิทธิพลเช่นนี้ แต่นอกเมืองหยุนเฉิง คนแซ่หานนั้นมีจำนวนมากเกินไป จนเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร “เรื่องนี้ค่อนข้างสืบหาลำบาก แต่เธอไม่ต้องกังวล ฉันจะพยายามทำให้ถึงที่สุด” ซูไห่เฉากล่าว “ถ้าฉันได้แต่งงานแล้ว ฉันจะเหยียบซูหยิงเซี่ยให้มิดจมดินเลยคอยดูสิ” ซูอี้หานกัดฟันพูด “ฉันสงสัยว่าสินสอดนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลหาน เธออาจจะโชคดีจริง ๆ ก็ได้” ซูไห่เฉากล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา ซูอี้หานลูบหน้าตัวเองพร้อมกับพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “แน่นอนสิ ฉันมีใบหน้าที่เหมือนจะได้แต่งงานกับตระกูลเศรษฐี” ซูหยิงเซี่ยมาถึงห้องทำงานได้ไม่นาน หญิงชราก็โทรศัพท์มาหาเธออีกครั้งดั่งเช่นทุกวัน “สวัสดีค่ะ คุณย่า” “เป็นยังไงบ้าง? ยังไม่ได้เจอจงเหลียงอีกเหรอ?” หลายวันที่ผ่านมานี้หญิงชรารู้สึกหมดแรงทั้งกายและใจ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เธออยากให้โลกนี้มียารักษาอาการเสียใจทีหลังเหลือเกิน พอคิดว่าจะไม่มีความร่วมมือกับบริษัท
สำหรับคำชื่นชมที่ไม่จริงใจนั้นซูหยิงเซี่ยทำเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น แต่สายตาของซูไห่เฉากลับโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่าเดิม เพราะเขาชอบที่จะได้รับคำชื่นชมจากญาติพี่น้องตระกูลซู แต่ตอนนี้ซูหยิงเซี่ยกลับแย่งความสนใจของเขาไปทั้งหมด “ซูหยิงเซี่ย เธออย่าได้ใจไป” ซูไห่เฉากัดฟันกรอด “อ้อ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ต้องส่งสองคนไปที่สถานที่ก่อสร้าง นายกับซูอี้หานไปแล้วกันนะ” ซูหยิงเซี่ยบอกกับซูไห่เฉา ซูไห่เฉาตบโต๊ะประชุมพร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างโกรธจัดแล้วพูดว่า “ซูหยิงเซี่ย ฉันเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เธอจะให้ฉันไปที่สถานที่ก่อสร้างได้ยังไง” ในวันที่แดดจ้า ใครบ้างจะไม่อยากอยู่ในห้องปรับอากาศ ซูไห่เฉาก็ไม่เต็มใจที่จะไปโผล่หน้าในสถานที่ก่อสร้างเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้ชื่อคุณชายตระกูลซูของเขาเสียหาย ซูอี้หานไม่อยากให้ผิวขาว ๆ ของเธอต้องถูกแดดเผาไหม้เช่นกัน เธอจึงพูดว่า “ฉันไม่ไป ถ้าจะไปเธอก็ไปเองสิ” “ได้” ซูหยิงเซี่ยพยักหน้าอย่างเฉยเมยพร้อมกับพูดว่า “ในเมื่อพวกเธอไม่ไป ฉันก็จะบอกเรื่องนี้กับคุณย่าให้ท่านเป็นคนตัดสินใจเองก็แล้วกัน” “ซูหยิงเซี่ย เธอต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ?” ซูไห่เฉาพูดเสีย
“เรื่องคราวก่อนฉันไม่ได้ติดใจเอาความ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้นายทำอะไรก็ได้ ขาทั้งสองนี้คือบทเรียนสำหรับนาย ถ้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่ ต่อไปก็อยู่ให้ห่างจากซูหยิงเซี่ยซะ” หานซานเฉียนก้มลงมองหยางเผิงพร้อมกับพูดอย่างเย็นชา “ถุย” หยางเผิงถ่มน้ำลายลงพื้นแล้วพูดอย่างเหยียดหยามว่า “แกคิดว่าแกเป็นใคร ฉันจะแก้แค้นคืนเป็นสองเท่า” หานซานเฉียนยกเท้าขึ้นเหยียบเข้าไปที่ใบหน้าของหยางเผิง แล้วพูดด้วยสายตาดุจคบเพลิงว่า “ฉันจะเตือนนายเป็นครั้งสุดท้าย ไม่อย่างนั้นตระกูลหยางทั้งหมดจะถูกฝังลงไปพร้อมกับนายด้วย” จากนั้นหานซานเฉียนก็หันไปพูดกับหลินหย่งว่า “โยนมันออกไป” หยางเผิงถูกจับโยนออกไปทางประตูไนท์คลับเมจิกซิตี้ราวกับสุนัขจรจัด ขาทั้งสองเจ็บปวดจนไร้ความรู้สึก ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันเหลือบมอง แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง “เกิดอะไรขึ้นกับม่อหยาง?” หานซานเฉียนถามหลิ่นหย่ง “ช่วงนี้พี่ใหญ่ม่อมีปัญหากับคนที่สนามมวยใต้ดินครับ ได้ข่าวว่าถูกเอาเปรียบไม่น้อย” หลินหย่งรายงาน “สนามมวย? เจ้าของสนามมวยในเมืองหยุนเฉิงน่าจะชื่อเย่เฟยใช่ไหม?” หานซานเฉียนเอ่ยถาม “ในเมืองหยุนเฉิงมีสนามมวยใต้ดิน ทั้งส
สนามมวยใต้ดินเป็นอาชีพที่มองไม่เห็นแสงสว่าง แต่ความสำเร็จของเย่เฟยนั้นแสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถพอตัวในหยุนเฉิง และการที่เขากล้าออกมาสกัดดาวรุ่งม่อหยางในเวลานี้ แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการแข่งขันกับม่อหยาง เมื่อก่อนเมืองหยุนเฉิงมีม่อหยางยิ่งใหญ่อยู่คนเดียว เย่เฟยจึงกังวลว่าถ้าปล่อยให้ม่อหยางแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้ง เมืองหยุนเฉิงก็จะกลายเป็นอาณาจักรของเขาแต่เพียงผู้เดียวอีกครั้ง หลายปีที่ผ่านมา เย่เฟยไม่เคยก้มหัวให้ใคร ถ้าคิดจะเหยียบหัวเขาก็ต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาให้เห็นก่อน เขามีนักมวยบนสังเวียนมากมาย แต่ละคนนั้นก็เหี้ยมโหด ในเมืองหยุนเฉิง เย่เฟยมีลูกสมุนน้อยกว่าคนอื่น ๆ ก็จริง แต่ถ้าเอาลูกสมุนออกมาเทียบกันตัวต่อตัวนั้นคงไม่มีใครสู้เขาได้ ในวันธรรมดาผู้ชมในสนามมวยใต้ดินมีไม่มากนัก อัฒจันทร์รอบ ๆ มีคนนั่งอยู่ไม่ถึง 200 คน โดยปกติเวลานี้เย่เฟยมักจะอยู่ในสำนักงาน เขาจะมาที่สนามมวยในช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น แล้วนั่งที่นั่งวีไอพี “พี่เฟย ลูกน้องของม่อหยางเข้าโรงพยาบาลไปเกือบครึ่งแล้วครับ เห็นทีว่าช่วงนี้เขาน่าจะหายหน้าไปสักพัก” ลูกสมุนคนหนึ่งของเย่เฟยกล่าว เย่เฟยไว้เคราแพ
นักมวยมองหานซานเฉียนที่สวมหน้ากากพร้อมพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “น้องชาย ระวังหน่อยนะ หมัดคู่ของฉันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ถ้านายโดนหมัดของฉันตาย ก็ช่วยไปทักทายยมทูตแทนฉันด้วยก็แล้วกัน” หานซานเฉียนยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร พร้อมกระดิกนิ้วเรียกนักมวย สีหน้าของนักมวยเปลี่ยนเป็นสีหน้าเกรี้ยวกราด ขาทั้งสองออกแรงพุ่งตัวเข้าไป หานซานเฉียนขยับตัวเพียงเล็กน้อยเพื่อหลบหมัด นักมวยออกแรงมากไปจนไม่สามารถยั้งหมัดเอาไว้ได้ ทำให้หมัดพุ่งเฉียดผ่านตัวหานซานเฉียนไปอย่างหวุดหวิด หานซานเฉียนใช้จังหวะที่นักมวยเปิดช่องโหว่ ถีบเขาออกไปด้วยอานุภาพดุจสายฟ้าฟาด นักมวยรู้สึกว่าแรงนั้นมีพลังมหาศาลจนกระดูกสันหลังแทบหัก ร่างกายของเขากระโจนไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่เชือกรอบเวทีก็ไม่อาจหยุดเขาไว้ได้ทำให้เขาตกลงไปจากเวทีมวยก่อนที่หัวจะกระแทกกับพื้นแล้วสลบไป เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น! ภายในสนามมวยตกอยู่ในความเงียบทันที รายการนี้จัดขึ้นเพียงเพื่อให้ผู้ชมได้ผ่อนคลายจากการแข่งขันที่ตึงเครียด ไม่เคยมีผู้ชมคนไหนสามารถต่อยนักมวยได้อย่างอนาถเช่นนี้ แถมยังจัดการได้อย่างรวดเร็ว ผู้ชมบนอัฒจันทร์ต่างก็ตกตะลึง “พระ
“นี่มันดุเดือดเกินไปแล้ว” “ถ้าเขาไม่ใช่คนของสนามมวย ฉันจะเขียนชื่อกลับหัวให้ดูเลย เขาต้องเป็นคนที่สนามมวยเตี๊ยมไว้แน่ ๆ” “ผู้ชมธรรมดาทั่วไปจะเก่งกาจแบบเขาได้ยังไงกัน” เริ่มเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นภายในที่นั่งผู้ชม มีเพียงม่อหยางและหลินหย่งเท่านั้นที่รู้ว่าหานซานเฉียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับสนามมวย แต่ในหัวของพวกเขาทั้งสองก็ไม่รู้จะหาคำใดมาจำกัดความหานซานเฉียนได้เลย “เขาคงไม่ได้คิดจะท้าดวลคนทั้งสนามมวยด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ?” ม่อหยางพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อน หลินหย่งปาดเหงื่ออันเย็นเยียบบนหน้าผากแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าจะมันเป็นไปไม่ได้ แต่ลูกสมุนฝีมือดีของเย่เฟยนั้นมีเป็นจำนวนมหาศาล เขาจะต้านทานไหวเหรอครับ?” “นายว่าเขาดูมีทีท่าจะต้านไม่อยู่เหรอ? นักมวยสองคนนี้ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะตอบโต้ด้วยซ้ำ คนที่เก่งกาจขนาดนี้ ทำไมถึงยอมแต่งงานเข้าตระกูลซู แถมยังถูกคนทั้งหยุนเฉิงมองว่าเป็นเศษสวะอีก” ม่อหยางพูดอย่างงุนงง ถ้าเขามีเงินและมีฝีมือขนาดนี้ คงไม่มีวันยอมถูกคนอื่นกดขี่แน่นอน หรือว่าจะเป็นเพราะผู้หญิงคนเดียวจริง ๆ เหรอ? สีหน้าของกรรมการนั้นแย่จนถึงขีดสุด ดูท่าคงต้องให้นักมวยที่แข็งแกร่ง
“เจ้าเตาสือเอ้อร์คนนี้แข็งแกร่งมากเลยเหรอ?” ม่อหยางถามหลินหย่งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เขามีบันทึกการต่อสู้ไม่เยอะครับ แต่ตอนนี้เขาเป็นคนเดียวที่รักษาสถิติชนะรวดทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นยังโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี คู่ต่อสู้ของเขาถ้าโชคดีที่สุดอย่างน้อยก็ต้องไปนอนโรงพยาบาลสักหนึ่งอาทิตย์” “มีทางขัดขวางได้ไหม จะให้หานซานเฉียนบาดเจ็บไม่ได้” ม่อหยางกล่าว หลินหย่งส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ภายใต้สถานการณ์ที่สนามมวยกำลังจะเสียหน้า เขาจะไม่มีวันปล่อยหานซานเฉียนไปแน่ เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของสนามมวย “พี่ใหญ่ม่อ ตอนนี้เราคงต้องลุ้นความแข็งแกร่งของพี่ซานเฉียนอย่างเดียวแล้วล่ะครับ หากเราเข้าไปยุ่ง แล้วเรื่องไปถึงหูเย่เฟย สถานการณ์จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นได้” หลินหย่งกล่าว บนเวทีมวย เตาสือเอ้อร์พูดกับหานซานเฉียนว่า “พี่ชาย ฉันแนะนำให้นายไปโรงพยาบาลแผนกศัลยกรรมกระดูกในเมือง หมอที่นั่นเก่งนะ” เมื่อหานซานเฉียนเผชิญหน้ากับเตาสือเอ้อร์ ก็ไม่มีท่าทางผ่อนคลายเหมือนก่อน เขามองออกว่าเตาสือเอ้อร์เป็นคนโหดเหี้ยม และน่าจะมีฝีมือแข็งแกร่ง เหยียนจุนเคยบอกไว้ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูใด ๆ ก็อย่าชะ
เดิมทีเตาสือเอ้อร์นึกว่าตัวเองจะรับมือหานซานเฉียนได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เมื่อโดนพลังนั้นโจมตีเข้าจริง ๆ สีหน้าของเตาสือเอ้อร์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะมันแข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้! หานซานเฉียนถีบออกไปอีกครั้ง ในขณะที่ตัวกำลังตกลงมาเตาสือเอ้อร์ถอยกรูออกไปสามก้าว แล้วยืนตะลึงงันอยู่กับที่! ทั้งสนามมวยตกอยู่ในความเงียบ เมื่อนักมวยคนอื่น ๆ เห็นฉากนี้ พวกเขาต่างพากันเบิกตากว้างราวกับเห็นผี ทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อ บังคับให้เตาสือเอ้อร์ถอย! คนคนนี้บังคับให้เตาเสืเอ้อร์ถอยได้จริง ๆ เตาสือเอ้อร์ผู้แข็งแกร่ง แม้ว่าเขาไม่ได้แพ้ แต่เขาก็ถอยหลังไปสามก้าวติด นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่ดี เมื่อหานซานเฉียนตกลงมาถึงพื้นก็เกิดเสียงกระแทกดังลั่น “ยังจำสิ่งที่นายพูดไว้ได้ไหม?” หานซานเฉียนพูดนิ่ง ๆ เตาสือเอ้อร์เคยบอกว่า ถ้าทำให้เขาถอยได้หนึ่งก้าว เขาจะยอมแพ้ แต่ตอนนี้เขาถอยไปตั้งสามก้าว เขาเดินลงจากเวทีโดยไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนจะพูดกับกรรมการว่า “เงินสำหรับการแข่งขันรอบนี้ ฉันไม่เอาแล้ว” กรรมการหน้าซีดเผือด เรื่องนี้ต้องไปถึงหูเย่เฟยแน่ และเขาจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด หานซานเ