หลังจากเหอถิงนั่งลงบนโต๊ะอาหาร แม้ว่าเจี่ยงหลานจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ทั้งซูหยิงเซี่ยและซูกั๋วเย่าต่างก็ไม่คัดค้าน เธอจึงไม่สามารถก่อเรื่องตามลำพังได้ อีกอย่าง ท่าทีแข็งกร้าวของหานซานเฉียนก่อนหน้านี้ยังทำให้เธอรู้สึกตกใจไม่หาย เธอจึงไม่กล้าก่อเรื่องมากเกินไป หลังรับประทานอาหารเสร็จ หานซานเฉียนก็จ่ายเงินเดือนล่วงหน้าให้ป้าเหอถิงเป็นจำนวนห้าพันหยวนพอดี เหอถิงรับไว้ด้วยมืออันสั่นเทาแล้วโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นการขอบคุณ ขณะเดียวกัน เจี่ยงหลานก็พาซูหยิงเซี่ยขึ้นไปชั้นสองด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ “แม่คะ แม่จะทำอะไรน่ะ?” ซูหยิงเซี่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากที่ถูกแม่ผลักเข้าไปในห้อง “หยิงเซี่ย ในหนังสือรับรองกรรมสิทธิ์ของคฤหาสน์หลังนี้มีชื่อลูกหรือเปล่า?” เจี่ยงหลานเอ่ยถาม เรื่องซื้อคฤหาสน์ ซูหยิงเซี่ยก็ยังไม่เคยรู้มาก่อน จึงย่อมไม่มีชื่อของเธอแน่นอน “ไม่มีนะคะ ทำไมเหรอคะแม่?” ซูหยิงเซี่ยมองแม่ของเธอด้วยความงุนงง “นี่ลูกไม่เฉลียวใจเลยเหรอ จะไม่มีชื่อของลูกได้ยังไง ลูกต้องหาเวลาให้หานซานเฉียนไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย โอนกรรมสิทธิ์คฤหาสน์นี้ให้เป็นชื่อของลูกไปเลยยิ่งดี” เจี่ยงหล
คืนนี้ซูหยิงเซี่ยนอนหลับสนิท ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝีมือการนวดของหานซานเฉียนหรือเปล่า ซูหยิงเซี่ยยิ้มมุมปากในความฝัน ใบหน้าของเธอดูมีความสุข เช้าวันต่อมา ในเวลาหกโมงเช้า หานซานเฉียนและซูหยิงเซี่ยตื่นขึ้นมาจากความฝันพร้อมกัน นาฬิกาชีวิตของทั้งสองแทบจะเหมือนกันทุกประการ ต่างคนต่างล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะออกไปวิ่งสูดอากาศยามเช้าบนทางภูเขา อากาศอันแสนบริสุทธิ์นั้นทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เมื่อได้มองลงไปยังเมืองหยุนเฉิงจากยอดเขา ยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น “เมื่อก่อนฉันเคยจินตนาการมานับครั้งไม่ถ้วนว่าอยากจะมาวิ่งสูดอากาศยามเช้าแบบนี้บนเขาหยุนติง คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นความจริง” ซูหยิงเซี่ยยืนอยู่บนยอดเขาพร้อมกับหลับตาลง แล้วสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างมีความสุข ขอเพียงซูหยิงเซี่ยมีความสุข นั่นคือความพอใจที่สุดสำหรับหานซานเฉียนแล้ว เมื่อเห็นใบหน้าอันงดงามปราศจากการแต่งหน้าใด ๆ ของซูหยิงเซี่ย หานซานเฉียนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณรู้ตัวไหมว่าคุณสวยมากจริง ๆ” ประโยคที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้ทำเอาซูหยิงเซี่ยรู้สึกเขินขึ้นมาทันที เธอจ้องเขม็งใส่หานซานเฉียนแล้วพูดว่า “คุณกลายเป็นคนพูด
“ไห่เฉา นายช่วยฉันสืบไปถึงไหนแล้ว ได้ข้อมูลอะไรบ้างไหม?” ซูอี้หานถาม ซูไห่เฉาต้องการใช้เรื่องนี้มาคลี่คลายสถานการณ์ในบริษัทเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลยแม้แต่น้อย ในเมืองหยุนเฉิงไม่มีตระกูลหานที่มีอิทธิพลเช่นนี้ แต่นอกเมืองหยุนเฉิง คนแซ่หานนั้นมีจำนวนมากเกินไป จนเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร “เรื่องนี้ค่อนข้างสืบหาลำบาก แต่เธอไม่ต้องกังวล ฉันจะพยายามทำให้ถึงที่สุด” ซูไห่เฉากล่าว “ถ้าฉันได้แต่งงานแล้ว ฉันจะเหยียบซูหยิงเซี่ยให้มิดจมดินเลยคอยดูสิ” ซูอี้หานกัดฟันพูด “ฉันสงสัยว่าสินสอดนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลหาน เธออาจจะโชคดีจริง ๆ ก็ได้” ซูไห่เฉากล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา ซูอี้หานลูบหน้าตัวเองพร้อมกับพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “แน่นอนสิ ฉันมีใบหน้าที่เหมือนจะได้แต่งงานกับตระกูลเศรษฐี” ซูหยิงเซี่ยมาถึงห้องทำงานได้ไม่นาน หญิงชราก็โทรศัพท์มาหาเธออีกครั้งดั่งเช่นทุกวัน “สวัสดีค่ะ คุณย่า” “เป็นยังไงบ้าง? ยังไม่ได้เจอจงเหลียงอีกเหรอ?” หลายวันที่ผ่านมานี้หญิงชรารู้สึกหมดแรงทั้งกายและใจ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เธออยากให้โลกนี้มียารักษาอาการเสียใจทีหลังเหลือเกิน พอคิดว่าจะไม่มีความร่วมมือกับบริษัท
สำหรับคำชื่นชมที่ไม่จริงใจนั้นซูหยิงเซี่ยทำเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น แต่สายตาของซูไห่เฉากลับโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่าเดิม เพราะเขาชอบที่จะได้รับคำชื่นชมจากญาติพี่น้องตระกูลซู แต่ตอนนี้ซูหยิงเซี่ยกลับแย่งความสนใจของเขาไปทั้งหมด “ซูหยิงเซี่ย เธออย่าได้ใจไป” ซูไห่เฉากัดฟันกรอด “อ้อ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ต้องส่งสองคนไปที่สถานที่ก่อสร้าง นายกับซูอี้หานไปแล้วกันนะ” ซูหยิงเซี่ยบอกกับซูไห่เฉา ซูไห่เฉาตบโต๊ะประชุมพร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างโกรธจัดแล้วพูดว่า “ซูหยิงเซี่ย ฉันเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เธอจะให้ฉันไปที่สถานที่ก่อสร้างได้ยังไง” ในวันที่แดดจ้า ใครบ้างจะไม่อยากอยู่ในห้องปรับอากาศ ซูไห่เฉาก็ไม่เต็มใจที่จะไปโผล่หน้าในสถานที่ก่อสร้างเด็ดขาด เพราะมันจะทำให้ชื่อคุณชายตระกูลซูของเขาเสียหาย ซูอี้หานไม่อยากให้ผิวขาว ๆ ของเธอต้องถูกแดดเผาไหม้เช่นกัน เธอจึงพูดว่า “ฉันไม่ไป ถ้าจะไปเธอก็ไปเองสิ” “ได้” ซูหยิงเซี่ยพยักหน้าอย่างเฉยเมยพร้อมกับพูดว่า “ในเมื่อพวกเธอไม่ไป ฉันก็จะบอกเรื่องนี้กับคุณย่าให้ท่านเป็นคนตัดสินใจเองก็แล้วกัน” “ซูหยิงเซี่ย เธอต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ?” ซูไห่เฉาพูดเสีย
“เรื่องคราวก่อนฉันไม่ได้ติดใจเอาความ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้นายทำอะไรก็ได้ ขาทั้งสองนี้คือบทเรียนสำหรับนาย ถ้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่ ต่อไปก็อยู่ให้ห่างจากซูหยิงเซี่ยซะ” หานซานเฉียนก้มลงมองหยางเผิงพร้อมกับพูดอย่างเย็นชา “ถุย” หยางเผิงถ่มน้ำลายลงพื้นแล้วพูดอย่างเหยียดหยามว่า “แกคิดว่าแกเป็นใคร ฉันจะแก้แค้นคืนเป็นสองเท่า” หานซานเฉียนยกเท้าขึ้นเหยียบเข้าไปที่ใบหน้าของหยางเผิง แล้วพูดด้วยสายตาดุจคบเพลิงว่า “ฉันจะเตือนนายเป็นครั้งสุดท้าย ไม่อย่างนั้นตระกูลหยางทั้งหมดจะถูกฝังลงไปพร้อมกับนายด้วย” จากนั้นหานซานเฉียนก็หันไปพูดกับหลินหย่งว่า “โยนมันออกไป” หยางเผิงถูกจับโยนออกไปทางประตูไนท์คลับเมจิกซิตี้ราวกับสุนัขจรจัด ขาทั้งสองเจ็บปวดจนไร้ความรู้สึก ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันเหลือบมอง แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง “เกิดอะไรขึ้นกับม่อหยาง?” หานซานเฉียนถามหลิ่นหย่ง “ช่วงนี้พี่ใหญ่ม่อมีปัญหากับคนที่สนามมวยใต้ดินครับ ได้ข่าวว่าถูกเอาเปรียบไม่น้อย” หลินหย่งรายงาน “สนามมวย? เจ้าของสนามมวยในเมืองหยุนเฉิงน่าจะชื่อเย่เฟยใช่ไหม?” หานซานเฉียนเอ่ยถาม “ในเมืองหยุนเฉิงมีสนามมวยใต้ดิน ทั้งส
สนามมวยใต้ดินเป็นอาชีพที่มองไม่เห็นแสงสว่าง แต่ความสำเร็จของเย่เฟยนั้นแสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถพอตัวในหยุนเฉิง และการที่เขากล้าออกมาสกัดดาวรุ่งม่อหยางในเวลานี้ แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการแข่งขันกับม่อหยาง เมื่อก่อนเมืองหยุนเฉิงมีม่อหยางยิ่งใหญ่อยู่คนเดียว เย่เฟยจึงกังวลว่าถ้าปล่อยให้ม่อหยางแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้ง เมืองหยุนเฉิงก็จะกลายเป็นอาณาจักรของเขาแต่เพียงผู้เดียวอีกครั้ง หลายปีที่ผ่านมา เย่เฟยไม่เคยก้มหัวให้ใคร ถ้าคิดจะเหยียบหัวเขาก็ต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาให้เห็นก่อน เขามีนักมวยบนสังเวียนมากมาย แต่ละคนนั้นก็เหี้ยมโหด ในเมืองหยุนเฉิง เย่เฟยมีลูกสมุนน้อยกว่าคนอื่น ๆ ก็จริง แต่ถ้าเอาลูกสมุนออกมาเทียบกันตัวต่อตัวนั้นคงไม่มีใครสู้เขาได้ ในวันธรรมดาผู้ชมในสนามมวยใต้ดินมีไม่มากนัก อัฒจันทร์รอบ ๆ มีคนนั่งอยู่ไม่ถึง 200 คน โดยปกติเวลานี้เย่เฟยมักจะอยู่ในสำนักงาน เขาจะมาที่สนามมวยในช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น แล้วนั่งที่นั่งวีไอพี “พี่เฟย ลูกน้องของม่อหยางเข้าโรงพยาบาลไปเกือบครึ่งแล้วครับ เห็นทีว่าช่วงนี้เขาน่าจะหายหน้าไปสักพัก” ลูกสมุนคนหนึ่งของเย่เฟยกล่าว เย่เฟยไว้เคราแพ
นักมวยมองหานซานเฉียนที่สวมหน้ากากพร้อมพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “น้องชาย ระวังหน่อยนะ หมัดคู่ของฉันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ถ้านายโดนหมัดของฉันตาย ก็ช่วยไปทักทายยมทูตแทนฉันด้วยก็แล้วกัน” หานซานเฉียนยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร พร้อมกระดิกนิ้วเรียกนักมวย สีหน้าของนักมวยเปลี่ยนเป็นสีหน้าเกรี้ยวกราด ขาทั้งสองออกแรงพุ่งตัวเข้าไป หานซานเฉียนขยับตัวเพียงเล็กน้อยเพื่อหลบหมัด นักมวยออกแรงมากไปจนไม่สามารถยั้งหมัดเอาไว้ได้ ทำให้หมัดพุ่งเฉียดผ่านตัวหานซานเฉียนไปอย่างหวุดหวิด หานซานเฉียนใช้จังหวะที่นักมวยเปิดช่องโหว่ ถีบเขาออกไปด้วยอานุภาพดุจสายฟ้าฟาด นักมวยรู้สึกว่าแรงนั้นมีพลังมหาศาลจนกระดูกสันหลังแทบหัก ร่างกายของเขากระโจนไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่เชือกรอบเวทีก็ไม่อาจหยุดเขาไว้ได้ทำให้เขาตกลงไปจากเวทีมวยก่อนที่หัวจะกระแทกกับพื้นแล้วสลบไป เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น! ภายในสนามมวยตกอยู่ในความเงียบทันที รายการนี้จัดขึ้นเพียงเพื่อให้ผู้ชมได้ผ่อนคลายจากการแข่งขันที่ตึงเครียด ไม่เคยมีผู้ชมคนไหนสามารถต่อยนักมวยได้อย่างอนาถเช่นนี้ แถมยังจัดการได้อย่างรวดเร็ว ผู้ชมบนอัฒจันทร์ต่างก็ตกตะลึง “พระ
“นี่มันดุเดือดเกินไปแล้ว” “ถ้าเขาไม่ใช่คนของสนามมวย ฉันจะเขียนชื่อกลับหัวให้ดูเลย เขาต้องเป็นคนที่สนามมวยเตี๊ยมไว้แน่ ๆ” “ผู้ชมธรรมดาทั่วไปจะเก่งกาจแบบเขาได้ยังไงกัน” เริ่มเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นภายในที่นั่งผู้ชม มีเพียงม่อหยางและหลินหย่งเท่านั้นที่รู้ว่าหานซานเฉียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับสนามมวย แต่ในหัวของพวกเขาทั้งสองก็ไม่รู้จะหาคำใดมาจำกัดความหานซานเฉียนได้เลย “เขาคงไม่ได้คิดจะท้าดวลคนทั้งสนามมวยด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ?” ม่อหยางพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อน หลินหย่งปาดเหงื่ออันเย็นเยียบบนหน้าผากแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าจะมันเป็นไปไม่ได้ แต่ลูกสมุนฝีมือดีของเย่เฟยนั้นมีเป็นจำนวนมหาศาล เขาจะต้านทานไหวเหรอครับ?” “นายว่าเขาดูมีทีท่าจะต้านไม่อยู่เหรอ? นักมวยสองคนนี้ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะตอบโต้ด้วยซ้ำ คนที่เก่งกาจขนาดนี้ ทำไมถึงยอมแต่งงานเข้าตระกูลซู แถมยังถูกคนทั้งหยุนเฉิงมองว่าเป็นเศษสวะอีก” ม่อหยางพูดอย่างงุนงง ถ้าเขามีเงินและมีฝีมือขนาดนี้ คงไม่มีวันยอมถูกคนอื่นกดขี่แน่นอน หรือว่าจะเป็นเพราะผู้หญิงคนเดียวจริง ๆ เหรอ? สีหน้าของกรรมการนั้นแย่จนถึงขีดสุด ดูท่าคงต้องให้นักมวยที่แข็งแกร่ง