เมื่อกลับถึงบ้าน เจี่ยงหลานยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เธอทำได้แค่ใช้เหอถิงเป็นที่ระบายอารมณ์ โดยการด่ากราดเหอถิงรู้สถานะของตัวเองต่ำต้อย เมื่อเธอเห็นรอยนิ้วมือบนใบหน้าของเจี่ยงหลาน ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคงกำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะโดนใครบางคนตบมา ถ้าหากด่าเธอสักคำสองคำแล้วจะทำให้เธอสงบลงได้ เหอถิงก็เต็มใจยอมรับมันซูกั๋วเย่ากลับมาบ้านหลังจากเล่นไพ่เสร็จ เขาเห็นเจี่ยงหลานกำลังคลุ้มคลั่ง และภายในบ้านมีคนแปลกหน้าอยู่อีกคน นั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อเขาเห็นใบหน้าของเจี่ยงหลานบวมแดง เขาก็เข้าใจผิดว่าเหอถิงตบเธอ จึงพูดอย่างโกรธจัดว่า “เธอเป็นใครแล้วมาทำอะไรในบ้านของฉัน”“ฉันเป็นแม่บ้านที่ซานเฉียนจ้างมาค่ะ” เหอถิงกล่าวแม่บ้าน?บ้านหลังใหญ่แบบนี้จะจ้างแม่บ้านก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าตบเจ้านาย นี่มันจะจองหองพองขนเกินไปแล้ว“เจี่ยงหลาน คุณเป็นยังไงบ้าง เธอตบคุณใช่ไหม?” ซูกั๋วเย่าถามด้วยความเป็นห่วง“ถ้าเธอเป็นตบแล้วยังไง คนไร้ค่าอย่างคุณจะช่วยฉันแก้แค้นได้อย่างนั้นเหรอ?” เจี่ยงหลานยังคงรู้สึกโกรธอยู่ หัวของเธอเต็มไปด้วยภาพเย่อหยิ่งของฉือจิง จึงพูดอะไรออกมาโดยไม่ทันคิดเมื่อซูกั
เหอถิงที่กำลังเก็บของอยู่ภายในห้อง พอเห็นหานซานเฉียนกลับมาเธอจึงพูดขึ้นว่า “ซานเฉียน ป้าไม่อยากทำให้คุณต้องลำบากใจ ขอบคุณมากที่ช่วยป้าในหลาย ๆ เรื่อง” “ป้าเหอครับ ป้าลืมไปแล้วเหรอว่าเกิดอะไรขึ้นที่กรมแรงงานวันนี้ เรื่องที่ป้าไม่ได้ทำ ถ้าป้ายังไม่เรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง แล้วใครจะช่วยป้าได้ล่ะครับ? อีกอย่างป้าจะไปที่ไหน ป้าจะไปหาค่าใช้จ่ายของลูกสาวได้ที่ไหนอีกครับ? ในกรมแรงงานยังจะมีใครจ้างป้าอีกเหรอ?” หานซานเฉียนเอ่ย ใบหน้าของเธอก็มีรอยแผลเช่นกัน แถมยังบวมแดงมากกว่าเจี่ยงหลานเสียอีก ซึ่งไม่น่าจะใช่แรงของผู้หญิง ต้องเป็นฝีมือของซูกั๋วเย่าแน่ ๆ ค่าใช้จ่ายของลูกสาวนั้นเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเหอถิงมาก สิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือ เมื่อลูกสาวของเธอโทรมาแล้วเธอไม่สามารถหาเงินมาได้แม้แต่เงินหยวนเดียว “ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่เธอกลับมาถึงบ้าน ใบหน้าก็มีบาดแผลแล้ว” เหอถิงกล่าว “ออกไปกับผม” หานซานเฉียนเอ่ย เหอถิงเดินตามหานซานเฉียนออกมาที่ห้องนั่งเล่น “ป้าเหอบอกว่าตอนที่คุณกลับมาบ้านใบหน้าก็มีบาดแผลอยู่แล้ว คุณถูกทำร้ายมาจากข้างนอก แต่มาใส่ความคนในบ้าน เจี่ยงหลาน คุณอ
คำพูดของหานซานเฉียนนั้นทำให้เสียงร้องไห้คร่ำครวญของเจี่ยงหลานหยุดลงทันที ซูกั๋วเย่ามองหานซานเฉียนอย่างหวาดกลัว ในเวลานี้ภาพลักษณ์ของหานซานเฉียนไม่ใช่คนไร้ค่าคนเดิมอีกต่อไป แต่เขาดูแข็งแกร่งมากจนทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก “หยิงเซี่ย ลูกยังไม่ช่วยแม่พูดอีก อยากเห็นเขาไล่แม่ออกจากบ้านจริง ๆ เหรอ?” เจี่ยงหลานไม่กล้าโวยวายใส่หานซานเฉียน จึงหันไปกดดันซูหยิงเซี่ยแทน ซูหยิงเซี่ยส่ายหน้า ครั้งนี้แม่ของเธอทำเกินไปจริง ๆ แม้จะเป็นแม่แท้ ๆ แต่เธอก็ทนดูต่อไปไม่ได้เช่นกัน “แม่คะ ในเมื่อแม่ทำผิดก็ควรจะขอโทษค่ะ” ซูหยิงเซี่ยกล่าว เจี่ยงหลานได้ป่าวประกาศเรื่องที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ใจกลางภูเขากับเพื่อน ๆ ของเธอทุกคนแล้ว แถมยังบอกอีกว่าถ้ามีโอกาสจะพาพวกเธอมาเปิดหูเปิดตาที่นี่ ถ้าถูกหานซานเฉียนไล่ออกไป เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ สำหรับเจี่ยงหลานที่รักศักดิ์ศรี เธอไม่สามารถยอมให้เรื่องราวดำเนินไปถึงจุดนั้นได้ “หานซานเฉียน ฉันก็เป็นแม่ยายของเธอเหมือนกัน เธอจะให้ฉันขอโทษคนใช้ได้ยังไง?” เจี่ยงหลานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงราวกับอ้อนวอน “คุณขอโทษเธอก่อน แล้วผมจะไปตามหาคนที่ทำร้ายคุณ เพื่อให้ม
ตระกูลเทียนแห่งหยุนเฉิง! นั่นคือตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองหยุนเฉิง ขนาดคนในตระกูลเทียนยังแตะต้องไม่ได้ เจี่ยงหลานไม่กล้าจินตนาการเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีฐานะเช่นไร “เจี่ยงหลาน นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมคุณถึงไปยุ่งกับคนใหญ่โตแบบนั้นได้?” ซูกั๋วเย่าถามเสียงขรึม ขณะนี้เจี่ยงหลานไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับน้ำเสียงที่ซูกั๋วเย่าใช้พูดกับเธอแล้ว เธอพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “ฉัน...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่เคยเจอเธอมาก่อนเลยด้วยซ้ำ” ความกลัวและหวาดผวาเข้าครอบงำเจี่ยงหลานในทันที ทำให้เธอมือไม้อ่อนและกระวนกระวายใจ “ไม่ต้องห่วง ในเมื่อเธอทำร้ายคุณแล้ว นั่นหมายความว่าเรื่องราวทั้งหมดจบลงแล้ว เพราะด้วยความสามารถของเธอสามารถล้มล้างตระกูลซูทั้งหมดได้ในชั่วข้ามคืน” หานซานเฉียนกล่าว “แต่...แต่เธอบอกว่า ขอให้ฉันทำตัวสงบเสงี่ยม ๆ อย่าทำให้เขาลำบากใจอีก ฉันไม่เข้าใจว่าประโยคนี้หมายถึงอะไร” การปลอบใจของหานซานเฉียนไม่ได้ทำให้ความหวาดกลัวของเจี่ยงหลานลดลงเลยสักนิด “เขา” ที่เธอบอก ต้องเป็นเพราะเธอได้ไปทำให้ใครบางคนขุ่นเคืองเข้า เจี่ยงหลานกลัวว่าตัวเองอาจจะทำผิดพลาดเช่นนี้อีกโดยไม่ได้ตั้งใจ หานซานเฉ
ฉือจิงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองตามหานซานเฉียนที่จากไป ประโยคสุดท้ายของหานซานเฉียนยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ ซ่อนอาวุธไว้ในตัว รอเวลาลงมืออย่างงั้นเหรอ! นี่เป็นการแสดงความอดกลั้นในรูปแบบหนึ่ง แต่ฉือจิงกลับรู้สึกได้ถึงความมั่นใจในตัวเองอย่างมากจากตัวเขา ราวกับว่าเพียงแค่เขาต้องการก็สามารถทำได้ทุกอย่าง การที่เขาไม่ลงมือทำ เป็นเพราะเขายังไม่อยากทำเท่านั้น นี่คือความมั่นใจในตัวเอง หรือความอวดดีเกินตัวกันแน่? แม้แต่ตระกูลหานเองก็ไม่เคยมีท่าทางที่ดุดันเช่นนี้มาก่อน แล้วเขาไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน? หรือเป็นเพราะกลอุบายไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แอบทำลับหลังตระกูลหานอย่างนั้นเหรอ? ฉือจิงยิ้มอ่อนแล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ลูกมองเรื่องนี้ง่ายเกินไป ตระกูลหานยังคงมีแม่น้ำที่ข้ามไม่พ้น แล้วลูกมีเหตุผลอะไรที่คิดว่าตัวเองทำได้?” “ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ต่อสู้ไขว่คว้าโอกาสมาเพื่อลูก ลูกคงติดคุกแทนเขาไปแล้ว รู้บ้างหรือเปล่า? หวังว่าลูกจะไม่ทรยศต่อความหวังดีของแม่นะ ไม่อย่างนั้นคุณย่าจะเอาลูกไปติดคุกแทนเขาแน่” “พวกลูกทั้งคู่เป็นลูกชายของแม่ แต่แม่ไม่มีสิทธิ์พูดถึงความยุติธรรมต่อหน้าคุณย่าได้” “
หลังจากเหอถิงนั่งลงบนโต๊ะอาหาร แม้ว่าเจี่ยงหลานจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ทั้งซูหยิงเซี่ยและซูกั๋วเย่าต่างก็ไม่คัดค้าน เธอจึงไม่สามารถก่อเรื่องตามลำพังได้ อีกอย่าง ท่าทีแข็งกร้าวของหานซานเฉียนก่อนหน้านี้ยังทำให้เธอรู้สึกตกใจไม่หาย เธอจึงไม่กล้าก่อเรื่องมากเกินไป หลังรับประทานอาหารเสร็จ หานซานเฉียนก็จ่ายเงินเดือนล่วงหน้าให้ป้าเหอถิงเป็นจำนวนห้าพันหยวนพอดี เหอถิงรับไว้ด้วยมืออันสั่นเทาแล้วโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นการขอบคุณ ขณะเดียวกัน เจี่ยงหลานก็พาซูหยิงเซี่ยขึ้นไปชั้นสองด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ “แม่คะ แม่จะทำอะไรน่ะ?” ซูหยิงเซี่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากที่ถูกแม่ผลักเข้าไปในห้อง “หยิงเซี่ย ในหนังสือรับรองกรรมสิทธิ์ของคฤหาสน์หลังนี้มีชื่อลูกหรือเปล่า?” เจี่ยงหลานเอ่ยถาม เรื่องซื้อคฤหาสน์ ซูหยิงเซี่ยก็ยังไม่เคยรู้มาก่อน จึงย่อมไม่มีชื่อของเธอแน่นอน “ไม่มีนะคะ ทำไมเหรอคะแม่?” ซูหยิงเซี่ยมองแม่ของเธอด้วยความงุนงง “นี่ลูกไม่เฉลียวใจเลยเหรอ จะไม่มีชื่อของลูกได้ยังไง ลูกต้องหาเวลาให้หานซานเฉียนไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย โอนกรรมสิทธิ์คฤหาสน์นี้ให้เป็นชื่อของลูกไปเลยยิ่งดี” เจี่ยงหล
คืนนี้ซูหยิงเซี่ยนอนหลับสนิท ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝีมือการนวดของหานซานเฉียนหรือเปล่า ซูหยิงเซี่ยยิ้มมุมปากในความฝัน ใบหน้าของเธอดูมีความสุข เช้าวันต่อมา ในเวลาหกโมงเช้า หานซานเฉียนและซูหยิงเซี่ยตื่นขึ้นมาจากความฝันพร้อมกัน นาฬิกาชีวิตของทั้งสองแทบจะเหมือนกันทุกประการ ต่างคนต่างล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะออกไปวิ่งสูดอากาศยามเช้าบนทางภูเขา อากาศอันแสนบริสุทธิ์นั้นทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เมื่อได้มองลงไปยังเมืองหยุนเฉิงจากยอดเขา ยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น “เมื่อก่อนฉันเคยจินตนาการมานับครั้งไม่ถ้วนว่าอยากจะมาวิ่งสูดอากาศยามเช้าแบบนี้บนเขาหยุนติง คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นความจริง” ซูหยิงเซี่ยยืนอยู่บนยอดเขาพร้อมกับหลับตาลง แล้วสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างมีความสุข ขอเพียงซูหยิงเซี่ยมีความสุข นั่นคือความพอใจที่สุดสำหรับหานซานเฉียนแล้ว เมื่อเห็นใบหน้าอันงดงามปราศจากการแต่งหน้าใด ๆ ของซูหยิงเซี่ย หานซานเฉียนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณรู้ตัวไหมว่าคุณสวยมากจริง ๆ” ประโยคที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้ทำเอาซูหยิงเซี่ยรู้สึกเขินขึ้นมาทันที เธอจ้องเขม็งใส่หานซานเฉียนแล้วพูดว่า “คุณกลายเป็นคนพูด
“ไห่เฉา นายช่วยฉันสืบไปถึงไหนแล้ว ได้ข้อมูลอะไรบ้างไหม?” ซูอี้หานถาม ซูไห่เฉาต้องการใช้เรื่องนี้มาคลี่คลายสถานการณ์ในบริษัทเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลยแม้แต่น้อย ในเมืองหยุนเฉิงไม่มีตระกูลหานที่มีอิทธิพลเช่นนี้ แต่นอกเมืองหยุนเฉิง คนแซ่หานนั้นมีจำนวนมากเกินไป จนเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร “เรื่องนี้ค่อนข้างสืบหาลำบาก แต่เธอไม่ต้องกังวล ฉันจะพยายามทำให้ถึงที่สุด” ซูไห่เฉากล่าว “ถ้าฉันได้แต่งงานแล้ว ฉันจะเหยียบซูหยิงเซี่ยให้มิดจมดินเลยคอยดูสิ” ซูอี้หานกัดฟันพูด “ฉันสงสัยว่าสินสอดนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลหาน เธออาจจะโชคดีจริง ๆ ก็ได้” ซูไห่เฉากล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา ซูอี้หานลูบหน้าตัวเองพร้อมกับพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “แน่นอนสิ ฉันมีใบหน้าที่เหมือนจะได้แต่งงานกับตระกูลเศรษฐี” ซูหยิงเซี่ยมาถึงห้องทำงานได้ไม่นาน หญิงชราก็โทรศัพท์มาหาเธออีกครั้งดั่งเช่นทุกวัน “สวัสดีค่ะ คุณย่า” “เป็นยังไงบ้าง? ยังไม่ได้เจอจงเหลียงอีกเหรอ?” หลายวันที่ผ่านมานี้หญิงชรารู้สึกหมดแรงทั้งกายและใจ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เธออยากให้โลกนี้มียารักษาอาการเสียใจทีหลังเหลือเกิน พอคิดว่าจะไม่มีความร่วมมือกับบริษัท