“ซานเฉียน” ซูหยิงเซี่ยเดินออกมาจากคฤหาสน์มาที่สวนหลังบ้านแล้วเรียกหานซานเฉียน "เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบอกว่ามีคนมานั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู และบอกว่าต้องการจะพบคุณ ไม่ว่าจะไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป คุณจะไปดูหน่อยไหม? "เธอเพิ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่ามีคนคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูโครงการ ไม่ยอมออกไปไหนไม่ว่าจะถูกทุบตีหรือดุด่ามากแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้พวกเขาขวางประตูอยู่ ทำให้ส่งผลกระทบต่อรถที่เข้าออก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงอยากจะให้หานซานเฉียนไปแก้ไขปัญหานี้ให้ที“ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้จะถูกติดสินบนสินะ” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม ด้วยความเข้มงวดด้านความปลอดภัยของโครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง หากมีคนมาขวางประตู พวกเขาคงจะขับไล่ออกไปนานแล้ว จะปล่อยให้มาก่อปัญหาอยู่แบบนี้ได้ยังไง เหตุผลเดียวที่อธิบายได้คือเจ้าหน้าที่คนนี้ได้รับผลประโยชน์บางอย่างถึงได้มาแจ้งเขาแบบนี้ “งั้นคุณจะไปดูหน่อยไหมคะ” ซูหยิงเซี่ยบ่น “ไปสิ ไปแน่นอน อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครมันกล้ามาขวางประตูบ้านเรา” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้มชายผมเหลืองและพ่อของเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำ
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงที่อธิบายไม่ได้ของหานซานเฉียน ซูหยิงเซี่ยจึงถามด้วยความสงสัย "คุณถึงตกตะลึงทำไมกัน คิดอะไรอยู่น่ะ?"หานซานเฉียนรู้สึกตัวแล้วพูดว่า "ไม่มีอะไร"จู่ ๆ ใบหน้าของซูหยิงเซี่ยก็จมดิ่งลง และเธอก็พูดขึ้นว่า "ถ้าคุณอยากกลับไปนอนที่นั่น ฉันจะให้เจียงหยิงหยิงย้ายออกให้ก็ได้นะคะ"นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ หานซานเฉียนไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย กว่าจะกลับมาได้ จะให้เขาแยกห้องนอนกับซูหยิงเซี่ยได้ยังไงกัน“ที่รัก ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น คุณคิดแบบนั้นได้ยังไงกัน” หานซานเฉียนรีบพูดอย่างรวดเร็วตะคอกอย่างเย็นชา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรังเกียจของเธอหานซานเฉียนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่พยายามเอาใจซูหยิงเซี่ยเท่านั้นหลังอาหารเย็น ในที่สุดทั้งครอบครัวก็ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เมื่อก่อนบนโต๊ะอาหารขาดหานซานเฉียนไป ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกไม่สมบูรณ์ ตอนนี้หานซานเฉียนกลับมาแล้ว ทุกคนจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น“หยิงเซี่ย คืนนี้เดี๋ยวป้าดูลูกให้นะคะ” เหอถิงพูดกับซูหยิงเซี่ย“ป้าเหอ ป้าควรพักผ่อนเยอะ ๆ ฉันอยากดูแลเธอเอง อีกอย่าง ฉันก็ผ่านช่วงเวลาอยู่ไฟมานานแล้วด้
เดิมทีหานซานเฉียนตัดสินใจซื้อคฤหาสน์ใจกลางภูเขา เพื่อให้ซูหยิงเซี่ยมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นสำหรับการวิ่งออกกำลังกายยามเช้าของเธอ อย่างไรก็ตาม หลังจากตั้งครรภ์ ซูหยิงเซี่ยก็ลืมการวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าของเธอไปแล้ว แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะว่าเธอเกียจคร้าน แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถให้เธอทำแบบนั้นต่างหากตอนนี้เธอเป็นแม่คนแล้ว ซูหยิงเซี่ยมีหลายสิ่งให้ต้องกังวลใจ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถทำเรื่องนั้นได้เวลาหกโมงเช้า หานซานเฉียนตื่นขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องใช้นาฬิกาปลุก นี่เป็นนิสัยที่เคยชินตลอดหลายปีที่ผ่านมาเมื่อมองไปที่ซูหยิงเซี่ยที่กำลังหลับอยู่ หานซานเฉียนก็สวมเสื้อผ้าอย่างระมัดระวังและออกจากคฤหาสน์เมื่อขึ้นไปตามเส้นทางบนภูเขา ซึ่งเป็นเส้นทางที่หานซานเฉียนเคยวิ่งร่วมกับซูหยิงเซี่ย หลายครั้งก่อนหน้านี้ เขาได้กลับมาเยี่ยมชมสถานที่ที่คุ้นเคยแห่งนี้อีกครั้ง ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเขา หานซานเฉียนไม่รู้ว่าวันเวลาเหล่านี้จะคงอยู่นานแค่ไหน สิ่งที่เขาทำได้คือคว้าช่วงเวลาปัจจุบัน แล้วเป็นสามีที่ดีและพ่อที่มีความรับผิดชอบตามถนนบนภูเขา หานซานเฉียนและซูหยิงเซี่ยเคยวิ่งด้วยกันบนถนน
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ ไม่เพียงแต่ธุรกิจจัดเลี้ยงในท้องถิ่นจากเมืองหยุนเฉิงแล้วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธุรกิจจากเมืองใกล้เคียงที่มีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ความกดดันมีมากมาย บุคคลบางคนตระหนักดีว่าโอกาสอาจไม่ตกอยู่ในมือของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังต้องการที่จะให้มัน ท้ายที่สุดแล้วโอกาสดังกล่าวนั้นหายากอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครอยากพลาดดังนั้นแรงกดดันของการแข่งขันจึงสูงมาก บางคนถึงกับรู้ว่าโอกาสไม่น่าจะตกอยู่ที่พวกเขา แต่ก็ยังต้องการสู้เพื่อมัน เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ จึงไม่มีใครอยากพลาดมันไป เพราะหากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหานซานเฉียนล่ะก็ ชีวิตของพวกเขาจะราบรื่นขึ้นอย่างแน่นอน แล้วใครจะยอมสละโอกาสอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ไปกันล่ะผู้คนหลายร้อยคนล้อมรอบทางเข้าโครงการคฤหาสน์มากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้แต่พากันถอนหายใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาพวกเขาเพิ่งจะเคยเห็นฉากนี้เป็นครั้งแรก และคาดว่านอกจากวันเกิดของหานเนี่ยนแล้ว คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก อันที่จริงอิทธิพลของเรื่องนี้ไม่ได้มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งที่มองไม่เห็นอีกมากมายด้วย ตัวอย่
เมื่อเห็นว่าซูหยิงเซี่ยดูเขินอาย และไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเทียนหลิงเอ๋อร์อย่างไร หานซานเฉียนก็ทำได้แต่ช่วยพูดว่า "เป็นสาวเป็นนาง ถามเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ไม่ละอายใจบ้างเลยเหรอ"“ฉันยังเด็กอยู่งั้นเหรอ?” เทียนหลิงเอ๋อร์ยืดอกขึ้นถามหานซานเฉียนหานซานเฉียนรีบหันหน้าแล้วพูดว่า "แสลงตาจริง ๆ"การกระทำนี้ทำให้เทียนหลิงเอ๋อร์โกรธจัด และแม้แต่ซูหยิงเซี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พี่ดูถูกฉันเหรอ!” เทียนหลิงเอ๋อร์เดินไปหาหานซานเฉียน และพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจเนื่องจากความสูงที่ต่างกันระหว่างทั้งสอง เมื่อหานซานเฉียนมองตรง เขาก็ไม่เห็นแม้แต่หัวของเทียนหลิงเอ๋อร์ เขาทำท่ามองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "ใครกำลังคุยกับฉันน่ะ?"เทียนหลิงเอ๋อร์โกรธมากจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด เธอหันกลับไปหาซูหยิงเซี่ย และพูดด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า "พี่สะใภ้ เขารังแกฉัน พี่ยังคงหัวเราะฉันอยู่อีก รีบช่วยฉันหน่อยสิคะ"ซูหยิงเซี่ยแสร้งทำเป็นขึงขังและพูดกับหานซานเฉียน "คุณรังแกเธอได้ยังไง รีบขอโทษเธอเดี๋ยวนี้นะ"“ที่รัก ในห้องนี้ยังมีคนอื่นอีกเหรอ?” หานซานเฉียนถามโดยแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจซูหยิงเซี่ยไม่รู้จะหัวเราะหรือว่าร้องไห้
หานซานเฉียนยิ้มและไม่พูดอะไร เรื่องแบบนี้ไม่สามารถบอกฉีฮู่ได้ ทันใดนั้น ม่อหยางก็รีบวิ่งออกมา และถลึงตาใส่หลินหย่งหนึ่งทีเป็นการกล่าวโทษหลินหย่งที่ไม่แจ้งเขารู้ว่าหานซานเฉียนมาถึงแล้ว“ซานเฉียน ทำไมนายไม่บอกฉันก่อนว่าจะมา” ม่อหยางกล่าว“นายจะจัดขบวนไว้ต้อนรับฉันอีกหรือไง? ยังคิดว่าที่สนามบินยังสร้างเรื่องไม่ใหญ่พออีกเหรอ” หานซานเฉียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ใช่คนที่เคยชินกับการเป็นคนมีชื่อเสียง ถ้าเขารู้เกี่ยวกับการต้อนรับที่สนามบินล่วงหน้า เขาจะไม่ปล่อยให้ม่อหยางทำแบบนั้นแน่ “ซานเฉียน เรื่องที่นายจะกลับมา ท่านผู้เฒ่าเป็นคนบอกฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะรู้ได้ยังไง ท่านผู้เฒ่าคงอยากจะให้ทุกคนในหยุนเฉิงรู้ว่านายกลับมาแล้วนั่นแหละ” ม่อหยางยิ้มหานซานเฉียนตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของม่อหยาง แต่เขาไม่คิดเลยว่าปู่ของเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็จริง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่ ม่อหยางจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะกลับมา อีกอย่างการที่คุณปู่แจ้งเรื่องนี้กับม่อหยาง ก็คงเพราะอยากให้เขาเตรียมการบางอย่างไม่ใช่เหรอ?หานเทียนหยางอยากให้ทุกคนจะรู้จักหานซานเฉียน เพราะเขาทำตัวไม่เป็นจุดสนใจเกินไป
เนื่องจากหลินตงเดินทางมาหลายพันไมล์เพื่อมาตามหาฟางจ้าน เขามั่นใจว่าเขาจะทำให้ฟางจ้านออกจากภูเขาได้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่เสียเวลาและพลังงานไปกับการตามหาฟางจ้าน“หลังจากที่คุณออกจากเทียนฉี ก็ใช้เวลาสามปีเต็มในการตามหาลูกสาว แต่ก็ไม่พบอะไรเลย คุณคิดว่าเธอตายไปแล้วจริง ๆ เหรอ?” หลินตงกล่าวคำพูดเหล่านี้ทำให้ฟางจ้านชะงักทันที และหันไปมองหลินตง สีหน้าของเขาดูเป็นกังวลขึ้นอย่างมาก“คุณรู้ว่าลูกสาวของผมอยู่ไหนงั้นเหรอ?” ฟางจ้านถามอย่างตื่นเต้น แม้แต่ลมหายใจของเขาก็เร็วขึ้น“ตราบใดที่คุณเต็มใจช่วยผม ผมจะบอกคุณว่าเธออยู่ที่ไหน” หลินตงกล่าวก่อนที่ฟางจ้านจะเข้ามาอาศัยอยู่ในหุบเขา เขาคิดว่าเขาไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อเขารู้ว่าลูกสาวของเขายังมีชีวิตอยู่ เขาจึงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เพราะเธอคือญาติเพียงคนเดียวของเขา ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่จริง ฟางจ้านจะทำทุกอย่างเพื่อตามหาเธอแต่ฟางจ้านก็ไม่ได้ขาดสติเพราะความตื่นเต้น เขาออกค้นหาเธอมาสามปีเต็ม แต่ก็ไม่มีข่าวคราว แล้วหลินตงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? หรือว่าเขาจงใจใช้เรื่องนี้มากระตุ้นเขา แต่ที่จริงหลินตงไม่รู้ว่าลูกสาวของเขาอ
หลังจากฟังคำพูดของซูไห่เฉา แม้ว่าซูอี้หานจะพยายามควบคุมความอิจฉาของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่สีหน้าของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความอิจฉา เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย ตอนนี้เธอไม่กล้าซื้อเสื้อผ้าและกระเป๋าด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ให้อิจฉาซูหยิงเซี่ยได้ยังไง?ทรัพย์สินของซูหยิงเซี่ยในปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงการซื้อแบรนด์ดังที่เธอต้องการ ไม่มีอะไรที่เธอไม่สามารถหาได้เลยในหยุนเฉิงยิ่งไปกว่านั้น แค่บัตรเชิญสำหรับงานเลี้ยงหนึ่งร้อยวันของหานเนี่ยนก็สามารถขายได้มากกว่าหนึ่งล้านหยวน ในชีวิตนี้เธอไม่เคยกล้าคิดสิ่งนี้เลยซูไห่เฉาเองก็เช่นกัน เขาคิดว่าถ้าในอดีตเขาไม่โหดร้ายกับหานซานเฉียน ตอนนี้เขาอาจจะยังสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว ที่จะเสียใจกับสิ่งที่เขาทำลงไป“หรือเธอจะลองไปขโมยบัตรเชิญดู บางทีเราอาจจะได้เงินจากการขายต่อมันก็ได้” ซูไห่เฉาแนะนำซูอี้หานจู่ ๆ ซูอี้หานก็รู้สึกสนใจ แต่แล้วเธอก็ถอนหายใจอีกครั้งบัตรเชิญอยู่ในโครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง และเธอก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในนั้นด้วยซ้ำ แล้วเธอจะขโมยมันได้ยังไง“ฉันล่องหนได้ที่ไหน จะขโมยมันได้ยังไง” ซูอี้หานกล่าว“ยังไงพวกเรา