เสวี่ยหนิงที่ตื่นจากการหมดสติบนกำแพงวังมองดูโดยรอบ บัดนี้นางอยู่ในตำหนักของตนแล้ว หากทว่าข้างกายกลับไม่พบหยางหมิงอย่างที่นางคิดไว้ “เจียฮุ่ย!” น้ำเสียงขุ่นมัวเรียกหาสาวใช้ข้างกาย “หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ” “ท่าอ๋องล่ะ เหตุใดข้าไม่พบพระองค์” ใบหน้าเกรี้ยวกราดจ้องมองนางกำนัลอย่างคาดโทษ “ทะ ท่านอ๋องให้แม่นมพาพระชายากลับมาจากวัง แต่ไม่ได้กลับมาพร้อมพระชายาเพคะ” เจียฮุ่ยถอยออกห่างจากเสวี่ยหนิงด้วยความหวาดกลัว กรี๊ดดดดดด! เสียงแผดร้องด้วยความโมโหทำให้เจียฮุยต้องยกมือขึ้นปิดหู “แล้วลี่อินล่ะ! นางตายหรือยัง” แววตาดุร้ายคาดคั้นเอาคำตอบ “ยะ ยังเพคะ ท่านอ๋องช่วยนางออกมาได้ เหล่าทหารลือกันว่าท่านอ๋องยอมสละชีวิตเพื่อแลกกับองค์หญิงสามเพคะ” สิ้นเสียงของเจียฮุ่ย ข้าวของในห้องบรรทมแตกกระจัดกระจายด้วยแรงโทสะของเสวี่ยหนิง “นางจิ้งจอก นางหญิงชั้นต่ำ เหตุใดไม่ตาย! ตายไปซะที” บัดนี้นางคล้ายคนบ้าคลั่ง จนนางกำนัลข้างกายหวาดกลัว
เลี่อินลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกปวดเหมื่อยทั่วทั้งร่าง สายตากวาดไปโดยรอบห้องที่ไม่คุ้นชิน คลังอาวุธมากมายที่วางอย่างเป็นระเบียบทำให้นางเบิกตากว้างพลางหันมามองบุรุษที่นอนหลับอยู่บนเตียง ความสับวุ่นวายประเดประดังเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว นางรีบสำรวจอาภรณ์ของตนอย่างรีบร้อนแลสิ่งที่พบไม่เกินคาดเมื่ออาภรณ์ตัวนอกของนางกระจายเต็มพื้น เหลือเพียงอาภรณ์ตัวในที่สวมทับร่างที่มีรอยแดงหลายจุดไว้ ใบหน้าแดงระเรื่อจ้องมองบุรุษอย่างคาดโทษ ภาพตนเองที่ถูกกรอกยาบนรถม้าจนถึงตอนเป็นฝ่ายยั่วยวนหยางหมิงดำเนินในหัวเป็นฉาก ๆ‘เจ้าจะไม่เสียใจแน่นะ’‘ข้าไม่เสียใจ’คำสนทนาสุดท้ายก่อนสตินางจะหลุดลอยทำให้ใบหน้างามขวยเขิน จนมิอาจรอเผชิญหน้าเขาได้ในตอนนี้ ลี่อินรีบสวมอาภรณ์ก่อนออกจากห้องบรรทมไปตำหนักเล็กเหล่านางกำนัลต่างลุกขึ้นทำหน้าที่ตนในตอนเช้าอย่างขันแข็ง เมื่อมองเห็นพระชายาของตนกลับมาต่างพากันอมยิ้มยอบกายเคารพ นั่นกลับยิ่งทำให้ลี่อินหน้าแดงขึ้นไปอีก ได้แต่ก้มหน้ารีบเดินจ้ำอ้าวกลับเข้าห้องบรรทม “พระชายา”อี้เฉาไม่ต่างจากนางกำนัลด้านนอก สีหน้าที่พยายามระงับรอยยิ้มนั้นทำให้ลี่อินทำตัวไม่ถูก “เหตุใดก
ภายหลังลี่อินจากไป เย่จินกลับเข้ามากราบทูลเรื่องราวในแคว้นฉี “ทูลท่านอ๋อง สายสืบแคว้นฉีส่งเรื่องที่ให้สืบมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “ว่ามา” หยางหมิงกล่าวพลางรินน้ำชาดื่ม “พระชายาเอกไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ซึ่งแตกต่างจากพระชายารองถึงแม้เป็นธิดาที่เกิดจากนางกำนัล หากแต่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แม้แต่งานร่วมอวยพรวันเกิดฮ่องเต้แคว้นฉียังจัดการด้วยตนเอง ทำให้ขุนนางน้อยใหญ่เข้าร่วมงานพ่ะย่ะค่ะ” หยางหมิงที่นิ่งฟังภายในใจกลับสับสน สิ่งที่สายสืบรายงานกับคำบอกเล่าของเสวี่ยหนิงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง “อย่างไรต่อ?” “วังหลวงที่จัดเตรียมงานยิ่งใหญ่ให้กับท่านหญิงไว้ก่อนแล้ว จำต้องให้องค์หญิงสามใช้สิ่งของที่เหลือจากงานของท่านหญิง ด้วยฮ่องเต้เห็นว่าสิ้นเปลืองหากจะจัดหาใหม่ ทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัยพระนางยอมใช้สินเดิมในการจัดงานอวยพรวันเกิดให้องค์หญิงสาม แต่กระนั้นแขกที่มากลับน้อยกว่างานของท่านหญิงเสวี่ยหนิง ด้วยขุนนางบางคนเห็นว่าฝ่าบาทไม่ได้ใส่ใจจึงบ่ายเบี่ยงที่จะมาร่วมงานพ่ะย่ะค่ะ ทำให้ภายหลังงานวันเ
ชินอ๋องที่บัดนี้จิตใจบอบช้ำ เดินเหม่อลอยอย่างไร้สติก่อนจะรู้ตัวอีกครั้งตนเองก็ยืนอยู่หน้าตำหนักเล็กเสียแล้ว สตรีที่เขาควรจะรักปักใจมาตั้งแต่ห้าปีที่แล้วนั่งอยู่กับเด็กน้อยอย่างยิ้มแย้ม ทุกย่างก้าวที่เขาก้าวต่อจากนี้ช่างหนักอึ้ง แววตาผิดหวังยังจดจ่ออยู่ที่ใบหน้างาม “ท่านอ๋อง!”ลี่อินตกใจที่พบเขาอีกครั้ง ทว่าใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้ากับดวงตาแดงก่ำของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล“เกิดสิ่งใดขึ้น” ลี่อินให้ปิงเซียงนำอี้หนิงออกไป ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความห่วงใยหยางหมิงไม่ตอบสิ่งใดนาง แต่กลับพุ่งเข้าไปรั้งร่างบางเข้ามากอด จนลี่อินตกใจกับการกระทำนั้นไม่น้อย “ท่านอ๋อง เป็นอะไรหรือไม่” นางสัมผัสได้ว่าอาภรณ์ด้านหลังชุ่มไปด้วยหยดน้ำ และร่างสูงเริ่มสั่นสะท้านจนน่ากลัว “ขอโทษนะ ขอโทษที่รู้ว่าเป็นเจ้าช้าไป” เสียงสั่นเครือเกินควบคุมทำให้ลี่อินแปลกใจ “ขอโทษสิ่งใดกัน” นางถูกเขากอดจนแทบหายใจไม่ออก ได้แต่พูดด้วยเสียงอู้อี้ “เมื่อห้าปีก่อนที่ทะเลสาบปาเหอ เจ้าเป็นคนช่วยข้าขึ้นจากน้ำใช่หรือไม่” หยางหมิงจ้องตานางพลางถามอย่างคาดหวัง “อือ” ลี่อินพ
ภายในรถม้าระหว่างกลับจวน หยางหมิงเอาแต่หันมองไปทางอื่นจนทำให้ลี่อินที่จ้องมองได้แต่คาดเดาว่าคงถูกรังเกียจไม่ต่างจากพี่สาวตน ทว่าบัดนี้ในใจของหยางหมิงกับแค้นเคืองจนมิอาจเอื้อนเอ่ย ความอดทนอดกลั้นนั้นมิอาจยับยั้งความหึงหวงได้อีกต่อไป อ๊ะ!ลี่อินตกใจเมื่อแขนแกร่งรั้งตัวนางขึ้นนั่งบนตัก พลางใช้ชุดคลุมเช็ดถูทั่วร่างบาง ลี่อินนั่งนิ่งปล่อยให้เขาทำเช่นนั้นโดยมิเอ่ยปากจนเนื้อเนียนแดงขึ้นหลายจุด จึงทำให้ชินอ๋องได้สติกลับคืน “ทรงรังเกียจหม่อมฉัน?”เสียงสั่นเครือของลี่อินดังขึ้น นางหวาดกลัวกับเหตุการณ์ในตำหนักรับรองหากแต่ยังคงอดกลั้นเอาไว้ เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขากลับทำให้นางอยากร้องไห้ออกมา “ไม่! ข้าไม่เคยรังเกียจเจ้า แต่ข้ารังเกียจบุรุษทุกผู้ที่แตะต้องเจ้า ข้ามิอาจห้ามปีศาจร้ายในตัวได้หากเห็นว่าเจ้าอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษอื่น”หยางหมิงบัดนี้หยดน้ำใสเอ่อล้นดวงตาที่เย็นชาราวท้องสมุทร เขาอยากปกป้องนางได้มากกว่านี้ แต่กลับทำให้นางถูกปองร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ลี่อินที่ได้ฟังความในใจของชินอ๋อง นางก็อดกลั้นความหวาดกลัวไว้ไม่ได้อีกต่อไป เสียงร้
รถม้าถูกสั่งให้วิ่งเร็วสุดกำลังนำลี่อินไปยังนอกเมือง บ้านฟางเก่าซอมซ่อถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนา ชายชุดดำนับสิบตรวจตราอย่างเข้มงวด ภายในมีสตรีนางหนึ่งถูกมัดมือมัดเท้า ปากถูกปิดด้วยผ้าดำ แววตาหวาดกลัวร้องอู้อี้ฟังไม่เป็นภาษา ปิงเซียงดวงตาเบิกโพลง สตรีที่ถูกมัดนั้นเป็นนางกำนัลจื่อชิงผู้ที่คอยนำยาบำรุงผิวมาให้องค์หญิงใหญ่จริง “พระชายาเป็นนางแน่เพคะ” ลี่อินพินิจสตรีที่กำลังหวาดวิตกผู้นั้น นางจำนางกำนัลผู้นี้ได้แม่นยำ เป็นนางกำนัลที่สาดน้ำใส่อาภรณ์นางตอนอยู่ในอุทยาน “ใครสั่งให้เจ้านำยาปลุกกำนัลไปให้อดีตพระชายาชินอ๋อง” สายตาเยือกเย็นแผ่ไปยังจื่อชิงที่ยังถูกพันธนาการอยู่ องครักษ์ถอดผ้ามัดปากนางออก หากแต่คำตอบแรกกลับไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ “องค์หญิงโปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” จื่อชิงปฏิเสธเสียงแข็ง “เช่นนั้นเจ้าก็หมดประโยชน์กับข้าเสียแล้ว” ลี่อินดึงกระบี่จากองครักษ์พลางพาดเหล็กกล้าเย็นเยียบบนคอของอีกฝ่าย “พะ พระชายาจะฆ่าผู้บริสุทธิ์หรือ”
เมื่อเรื่องบุญคุณความแค้นของนางกับสองพี่น้องตระกูลหวงจบลง ครานี้คนของแคว้นฉีควรถูกชำระแค้นเสียที ตำหนักตะวันออกที่บัดนี้เงียบเหงาลงไม่น้อย ด้วยท่านอ๋องไม่ยอมเสด็จตำหนักนานทำให้เหล่านางกำนัลที่คอยเอาอกเอาใจเสวี่ยหนิงเริ่มเอาใจออกห่างเช่นกัน บัดนี้ทางเข้าห้องโถงถูกบุรุษชุดดำปิดล้อม ลี่อินเดินตรงไปยังเจ้าของตำหนักด้วยแววตาเกรี้ยวกราด เสวี่ยหนิงหวาดกลัวแววตาคู่นั้นจนต้องเดินถอยหลังออกห่างจากสตรีเบื้องหน้า “จะ เจ้าจะทำอะไร?” น้ำเสียงนั้นหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เพี้ยะ!!! ฝ่ามือบางฟาดลงบนใบหน้าของเสวี่ยหนิงฉาดใหญ่ จนเจ้าตัวล้มคว่ำลงกับพื้น ของเหลวแดงไหลเปื้อนริมฝีปาก “นี่เจ้ากล้าตบข้าหรือ” สายตาแค้นเคืองจ้องมองลี่อิน “ข้าไม่ได้จะทำเพียงตบเจ้า แต่จะฆ่าเจ้าด้วย!” สิ้นเสียงกระบี่จากปิงเซียงถูกส่งมายังมือของลี่อิน ความกลัวปรากฏบนดวงตาคู่งามของเสวี่ยหนิง นางกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่กระบี่จะทิ่มลงบนหน้าอกข้างซ้ายของนาง หากแต่กลับถูกยั้งมือเมื่อกระบี่ทิ่มลึกลงบนเนื้อของอีกฝ
เสวี่ยหนิงถูกส่งกลับแคว้นฉี ฮองเฮาเสวี่ยฉีนำเหล่าขุนนางบีบบังคับฝ่าบาทให้สั่งประหารเสวี่ยหนิง จนฮ่องเต้ที่ไร้ทางเลือกสั่งประหารธิดาของตนเองเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ สนมคนโปรดถูกเนรเทศไปชายแดน ส่วนซิ่วหรูถูกสั่งกักบริเวณในตำหนักนานสองปี โหวน้อยหวงจื้อหาวแม้มิได้มีเจตนาทำร้ายเหมยหลิง หากแต่มอบยาสวาทมิรู้จบเพราะสงสารน้องสาว ถูกส่งไปต่างแคว้นทำหน้าที่ทูตเจรจาการค้าเพื่อประโยชน์ของแคว้นเว่ย ลี่อินกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกครั้ง บัดนี้ทุกอย่างจบสิ้น นางย้ายกลับมาอยู่ตำหนักพระชายาพร้อมอี้หนิง เด็กน้อยที่ได้วิ่งเล่นในตำหนักกว้างยิ้มอย่างพอใจ “ชอบ” อี้หนิงที่พึ่งฝึกพูดเปล่งเสียงบอก “อี้เออร์ชอบก็ดีแล้ว” ลี่อินลูบศีรษะทุยนั้นอย่างรักใคร่ หากแต่ความสุขกลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อม้าเร็วจากแคว้นฉีขอเข้าเฝ้า “ทูลองค์หญิงสาม บัดนี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว ฮองเฮาทูลเสด็จพระองค์กลับไปสักการะพระศพพ่ะย่ะค่ะ” ลี่อินแม้รู้ว่าบิดาป่วยมานาน หากแต่เมื่อได้ยินว่าฝ่าบาทจากไปแล้ว สติของนางขาวโพลนทันที เสียงสุดท้ายที่นางได้ยินกลับเป็นเสี
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ
กบฏยอมจำนน เจ๋อหานเสด็จประทับบนบัลลังก์มังกร ขุนนางประกาศโองการ“ด้วยโองการสวรรค์ ฮ่องเต้เจ๋อหานขึ้นครองบัลลังก์ ราษฎรเป็นสุขไร้ทุกข์นิรันดร์ เริ่มต้นศักราชหย่งฉีนับแต่นี้” สิ้นคำประกาศ เหล่าขุนนางคุกเข่ากราบถวายบังคม “น้อมรับบัญชาฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี” “ขุนนางทุกท่านลุกขึ้นเถิด ราชโองการแรกของข้า อภัยโทษทหารที่ร่วมก่อกบฏ ส่งไปชายแดนทำดีไถ่โทษ แม่ทัพอู๋ไท่และรองแม่ทัพ ปลดออกจากตำแหน่ง ยึดทรัพย์กึ่งหนึ่ง เนรเทศไปดินแดนรกร้าง ไม่เอาความคนในตระกูล องค์ชายจี้หานให้ไว้ทุกข์ยี่สิบปีเฝ้าสุสานฮ่องเต้หย่งเฮ่า” “น้อมรับราชโองการ” หยางหมิงยืนข้างลี่อิน มองดูเหตุการณ์สำคัญของแคว้นฉีโดยไม่คิดก้าวก่าย ส่วนลี่อินเงยหน้ามอกบุรุษที่ตัวสูงกว่าสายตาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย “ชินอ๋องถานหยางหมิง ขอบใจที่ตอบรับสาน์สขอความช่วยเหลือจากเรา” พระราชดำรัสของฮ่องเต้ ทำผู้คนในท้องพระโรงหรือแม้แต่ลี่อินต่างสับสน เหตุเพราะว่าการขอความช่วยเหลือจากแคว้นเว่ยไม่ได้มีการหารือในหมู่ขุนนางหรือแม่ทัพ “แคว้นฉี เป็นบ้านเกิดของพระชายา
พิธีราชาภิเษกจัดขึ้นตามกำหนดเดิม ลานหน้าท้องพระโรงถูกตระเตรียมสำหรับราชพิธี เหล่าขุนนางยังคงเข้าร่วมพระราชพิธีโดยมิหวาดหวั่นการชิงบัลลังก์ขององค์ชายสี่จี้หาน รัชทายาทซ่งเจ๋อหานสวมชุดมังกรพิธีการ ก้าวเดินอย่างมั่นคงมุ่งตรงสู่ท้องพระโรง เหล่าข้าราชบริพารค่อมกายเคารพฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เครื่องประโคมบรรเลงตามจังหวะการเสด็จของฮ่องเต้ ไทเฮายืนอยู่เหนือบันไดท้องพระโรง พร้อมเหล่าเชื้อพระวงศ์เพื่อรอรับเสด็จฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ฮ่องเต้เจ๋อหานคุกเข่าถวายพระพรพระราชมารดาก่อนจะนำเสด็จเข้าสู่ท้องพระโรง หากแต่ประตูวังกลับมีกองกำลังของอู๋ไท๋บุกเข้ามาล้อมรอบลานพิธี “องค์ชายเจ๋อหานจะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลวงอู๋ไท่ลงจากม้าศึกชี้ดาบตรงมายังว่าที่ฮ่องเต้ของแคว้น “บังอาจ เจ้าเป็นขุนนางของราชสำนัก กล้าดีอย่างไรไม่เรียกฮ่องเต้ตามธรรมเนียม แลยังถือดาบต่อหน้าพระพักตร์อีก” มหาราชครูหลานต่อว่าอย่างมิเกรงกลัว “หึ! ตาเฒ่าหลานซื่อ ใครนับหลานชายเจ้าเป็นกษัตริย์กัน ทั้งอ่อนแอ ขลาดกลัวใช้แต่การเจรจาต่อรองไม่เห็นความสำคัญของการรบ แล้วเช่นนี้จะปก
เสวี่ยหนิงถูกส่งกลับแคว้นฉี ฮองเฮาเสวี่ยฉีนำเหล่าขุนนางบีบบังคับฝ่าบาทให้สั่งประหารเสวี่ยหนิง จนฮ่องเต้ที่ไร้ทางเลือกสั่งประหารธิดาของตนเองเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ สนมคนโปรดถูกเนรเทศไปชายแดน ส่วนซิ่วหรูถูกสั่งกักบริเวณในตำหนักนานสองปี โหวน้อยหวงจื้อหาวแม้มิได้มีเจตนาทำร้ายเหมยหลิง หากแต่มอบยาสวาทมิรู้จบเพราะสงสารน้องสาว ถูกส่งไปต่างแคว้นทำหน้าที่ทูตเจรจาการค้าเพื่อประโยชน์ของแคว้นเว่ย ลี่อินกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกครั้ง บัดนี้ทุกอย่างจบสิ้น นางย้ายกลับมาอยู่ตำหนักพระชายาพร้อมอี้หนิง เด็กน้อยที่ได้วิ่งเล่นในตำหนักกว้างยิ้มอย่างพอใจ “ชอบ” อี้หนิงที่พึ่งฝึกพูดเปล่งเสียงบอก “อี้เออร์ชอบก็ดีแล้ว” ลี่อินลูบศีรษะทุยนั้นอย่างรักใคร่ หากแต่ความสุขกลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อม้าเร็วจากแคว้นฉีขอเข้าเฝ้า “ทูลองค์หญิงสาม บัดนี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว ฮองเฮาทูลเสด็จพระองค์กลับไปสักการะพระศพพ่ะย่ะค่ะ” ลี่อินแม้รู้ว่าบิดาป่วยมานาน หากแต่เมื่อได้ยินว่าฝ่าบาทจากไปแล้ว สติของนางขาวโพลนทันที เสียงสุดท้ายที่นางได้ยินกลับเป็นเสี