ซ่างกวนซียังคงฝืนไม่มองเยี่ยนเว่ยฉือ แต่อย่างไรก็ตาม มือซ้ายที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกลับกำแน่นโดยไม่รู้ตัวเยี่ยนเว่ยฉือเห็นดังนั้นจึงพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นข้าขอตัว!”เยี่ยนเว่ยฉือโยนผ้าเช็ดหน้าในมือลงบนพื้น แล้วก้าวฉับ ๆ ไปที่ประตูซ่างกวนซีรีบเงยหน้ามองตามแผ่นหลังของนาง ทว่าคำว่า ‘อย่าไป’ กลับไม่หลุดลอดออกมาจากริมฝีปากเขาไม่มีความสามารถที่จะปกป้องนางยามอยู่ในเมืองหลวง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองจะอยู่รอดได้ถึงยี่สิบห้าขวบปีหรือไม่ในเมื่อนางมีคนรักอยู่แล้ว เช่นนั้นเขาก็... แน่นอนว่าควรปล่อยนางไปความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองเป็นเพียงอุบัติเหตุไร้สาระเยี่ยนเว่ยฉือเดินอ้อมฉากกั้น เสียงเปิดประตูและปิดประตูดังตามมาเสียงประตูปิดดังสนั่น ราวกับปิดกั้นหัวใจของซ่างกวนซีซ่างกวนซีถอนหายใจหนักหน่วง อารมณ์หดหู่ราวกับฝนที่กำลังจะพร่างพรมเขานั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานความคิดในหัวสับสนอลหม่านวันนี้เขาควรทำอะไร ไปสืบข่าวเกี่ยวกับจวนองค์ชายรอง?หรือไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของเป้าหมาย?หรือจะจัดระเบียบเรื่องภายในจวนก่อน แบ่งแยกบ่าวรับใช้ในจวนออกเป็นประเภทไป?หรือ... หรือเขาควรนอนอยู่
เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองเขา ดวงตาโตกลมใสราวกับมองทะลุทุกสิ่ง ทำให้ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความแข็งแกร่งของซ่างกวนซีปรากฏชัดเขาขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากเข้าหากัน ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยอะไรสักคำ กลัวว่าจะแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาเยี่ยนเว่ยฉือก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ เอ่ยต่อ “แม้ข้าจะไม่รู้จักพิษกู่เย็นดีนัก และไม่เคยสัมผัสมาก่อน แต่ข้าเชื่อว่าทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ก็ต้องคงเดิมได้ โลกนี้มีทั้งชายและหญิง มีคนดีและคนชั่ว มีพิษย่อมมียาถอนพิษ”เมื่อพูดถึงตรงนี้ เยี่ยนเว่ยฉือก็ปล่อยมือ ผละมือออกจากแขนของซ่างกวนซีช้า ๆ “ก่อนที่จะหายาถอนพิษได้ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านเป็นอะไรไปเด็ดขาด!”เยี่ยนเว่ยฉือยืดหลังตรง มองซ่างกวนซีด้วยรอยยิ้มซ่างกวนซีมองดวงตาที่เจือความอ่อนโยนและปลอบประโลมของนาง อดนึกถึงเสด็จแม่ของตนไม่ได้มารดาของเขาก็เป็นเช่นนี้ อ่อนโยนทว่าแข็งแกร่ง งดงามทว่าเข้มแข็งหลังจากนิ่งเงียบไปนาน ซ่างกวนซีจึงค่อย ๆ เอ่ยคำว่า “อืม” ออกมาเขาจะเก็บเยี่ยนเว่ยฉือไว้!เยี่ยนเว่ยฉือเอียงศีรษะมองเขา “อะไรนะ?”ซ่างกวนซีหันหน้าหนี ขมวดคิ้ว “ช่างจู้จี้เสียจริง”เยี่ยนเว่ยฉือกลอกตา ตอบกลับ “ข้าจู้จี้ก็จริ
ซ่างกวนซีพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นสั่งว่า “พาเขาไปพักที่ห้องรับรองเถอะ”“ห้องรับรองหรือ?” อวี๋เฟยเหยียนรู้สึกประหลาดใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ เขาเป็นคนแปลกหน้า ซ้ำร้ายยังมีมือสังหารจากเป่ยอินตามล่า ข้าไม่จับเขาขังคุกเพราะถือว่าเห็นแก่ที่เขาบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ยังจะให้พาไปห้องรับรอง อีก นี่เหมาะสมอย่างไรกัน?”ซ่างกวนซีตอบกลับ “เจ้าดูสิ เสื้อผ้าของเขายังสมบูรณ์ แต่กลับถูกตะปูตอกทะลุร่างเจ็ดดอก นั่นแสดงว่าก่อนจะเจอมือสังหาร เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ทิ้งเยี่ยนเว่ยฉือ ถือว่าช่วยชีวิตนางไว้ได้ ข้าเดาว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่มีเจตนาร้าย ลองปฏิบัติกับเขาด้วยความสุภาพดูก็ได้”อวี๋เฟยเหยียนรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าทันที “ได้ ข้าจะไปจัดการ”…… หลังจากที่สองพี่น้องออกจากห้องเก็บฟืน อวี๋เฟยเหยียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าได้ยินเยี่ยนเว่ยฉือกล่าวว่า ท่านไล่นางไปงั้นหรือ?”ซ่างกวนซีเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ข้าแค่คิดจะส่งนางไปที่เขตเฟิงหลิงก็เท่านั้น”อวี๋เฟยเหยียนเข้าใจ ซ่างกวนซีต้องการปกป้องเยี่ยนเว่ยฉือนั่นเองเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “โอ้ เพิ่งผ่า
เยี่ยนเว่ยฉือในห้องนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ฟ้าผ่าลงมาเป็นฝีมือนางจริง น้ำมันตุงก็เป็นนางที่เทราดลงไปจริง แต่ไม่น่าจะทำให้เปลงเพลิงโหมรุนแรงถึงเพียงนี้ได้ จวนหายไปถึงสองในสามเชียวหรือ?เยี่ยนเว่ยฉือสูญเสียความง่วงงุนไปทันทีนางรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจจะออกไปสืบข่าวเพิ่มเติมเสียหน่อยเพิ่งจะก้าวออกจากห้องก็เห็นพ่อบ้านจางเดินตรงมาพ่อบ้านจางพูดว่า “โอ้ พระชายา ท่านยังไม่นอนหรือ เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก ขุนนางจากสำนักตมาถึงแล้ว ยังกล่าวว่าจะเชิญท่านไปสอบถาม”“สำนักต?” เยี่ยนเว่ยฉือก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน หรือว่าเรื่องที่นางทำถูกเปิดเผยแล้ว?พ่อบ้านจางพยักหน้า “พระชายาอย่าได้กังวล องค์ชายรัชทายาทก็อยู่ที่โถงด้านหน้า ย่อมไม่ให้ท่านประสบความเดือดร้อนแน่ ทว่าองค์ชายรัชทายาทสั่งไว้ว่า พระชายาต้องให้การอย่างระมัดระวัง ปฏิเสธทุกอย่าง!”ซ่างกวนซีก็อยู่ด้วยหรือ?เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยนเว่ยฉือก็รีบเดินเร็วขึ้นนางไม่ได้สนใจว่าองค์ชายรองจะรู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือนางแม้จะรู้ พวกเขาก็ไม่มีหลักฐานสิ่งที่นางเป็นห่วงในตอนนี้คือร่างกายของซ่างกวนซี ผู้ชายคนนี้นี่ ทำไมถึงวิ่งโร่ออกไปข้างนอกอีกแล้ว ไม่รู
“ถูกต้องแล้ว!” อวี๋เฟยเหยียนก็ช่วยพูดเสริมเช่นกัน “คนกล่าวว่าเห็นก็เชื่อแล้วอย่างนั้นหรือ? คนเราหน้าตาคล้ายคลึงกันถมเถ เสื้อผ้าอาภรณ์ก็อาจบังเอิญคล้ายคลึงกัน อาจมองผิดไปก็ได้!”เจียงโม่ไร้เรี่ยวแรงจะโต้แย้งเขาก็รู้สึกว่าการชี้ตัวขององค์ชายรองนั้นดูจะไร้เหตุผลอยู่บ้าง จึงได้มาสอบถามที่จวนรัชทายาทโดยตรง แทนที่จะนำตัวคนไปที่สำนักตรวจสอบโดยตรงเมื่อได้ยินเยี่ยนเว่ยฉือโต้แย้งเช่นนี้ เจียงโม่ก็พยักหน้า “คำกล่าวของพระชายามีเหตุผล แต่ไม่ทราบว่าในวันนั้น พระชายาได้เสด็จไปใกล้กับจวนองค์ชายรองหรือไม่?”คำถามนี้ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบหากกล่าวว่าไม่ได้ไป ก็มีพยานที่เห็นนางในวันนั้นมากกว่าหนึ่งคน หากสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่านางจงใจโกหก ก็จะดูเหมือนว่านางกำลังหลบหนีความผิดหากกล่าวว่าไป แต่นั่นก็ยามค่ำคืนแล้ว นางไปทำสิ่งใดล่ะ?ด้านข้าง ซ่างกวนซีเห็นนางไม่ตอบ จึงตัดสินใจตอบแทน “นาง...”“ไปสิ!” เยี่ยนเว่ยฉือตอบอย่างเด็ดเดี่ยวซ่างกวนซีขมวดคิ้วมองเยี่ยนเว่ยฉือ เขาไม่ได้สั่งให้พ่อบ้านจางสั่งกำชับนางให้ปฏิเสธทั้งหมดหรอกหรือ? แล้วนางเป็นอะไรไปเจียงโม่ก็แสดงสีหน้าแปลกใจไม่แพ้กันเขาเอ่ยถาม “ท่าน... ท
เยี่ยนเว่ยฉือเม้มริมฝีปาก “พะ... พูดอะไรน่ะ? พวกท่านเดาได้กันตั้งแต่ต้นแล้วมิใช่หรือ!”อวี๋เฟยเหยียนฮึดฮัด “เดาได้ก็จริงอยู่ แต่เจ้าไม่พูดให้ชัดเจน แล้วศิษย์พี่ใหญ่จะปกป้องเจ้าได้อย่างไร?”เยี่ยนเว่ยฉือเหลือบมองซ่างกวนซี พบว่าเขากำลังจ้องมองนางนิ่ง ๆสายตาที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยพลังทำลายทะลุทะลวงนั้น ทำให้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกราวกับว่าตนเองไม่มีที่ให้หลบซ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจำใจกล่าว “ได้ ได้ ข้าจะพูด ข้าเป็นคนทำเอง แต่ข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องจะบานปลายไปถึงขั้นนี้ มีคนตายหรือไม่?”นี่คือสิ่งที่เยี่ยนเว่ยฉือกังวลที่สุดหากเป็นองค์ชายรองซ่างกวนหลีที่ตายก็ไม่เป็นไร เพราะผู้ที่ทำชั่วย่อมได้รับผลกรรมแต่หากเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ตาย นางก็จะกลายเป็นผู้ทำบาปมหันต์ซ่างกวนซีกล่าว “ตามที่เจียงโม่กล่าว มีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บจากการดับเพลิง แต่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต”เยี่ยนเว่ยฉือตบหน้าอก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็ดีแล้ว!”“เวลานี้เพิ่งจะรู้จักกลัวหรือ? เจ้ามีฝีมือเก่งกาจนัก น้ำมันตุงมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าไปหามาจากที่ใด?” ซ่างกวนซีซักถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เยี่ยนเว่ยฉือก็ร
บัดนี้ นางกลับเอ่ยถ้อยคำว่า ‘ตัดปีก’ ออกมาได้ ก็ทำให้รู้สึกว่านางมีความคิดลึกซึ้งยิ่งนักหรือว่านางจะเข้าใจเรื่องกลอุบายทางการเมืองด้วย?อวี๋เฟยเหยียนเอ่ยถามเพื่อทดสอบ “หักปีก หมายความว่ากระไร?”เยี่ยนเว่ยฉือหันมามองเขา แล้วเบ้ปากกล่าวว่า “ท่านผู้นี้ รูปโฉมเฉลียวฉลาด แต่เหตุใดจึงโง่เขลาเช่นนี้เล่า? บัดนี้ อันกั๋วกงและพวกซ่างกวนหลีในเมืองหลวงนั้นล้วนมีอำนาจรากลึก ยากจะสั่นคลอน แต่ในโลกนี้มีคำกล่าวว่า ‘ต้นไม้เดี่ยวไม่อาจต้านพายุ’ หากเราไม่สามารถโค่นล้มเขาได้ในคราวเดียว ก็จงค่อย ๆ ตัดกิ่งก้านของเขาออกทีละน้อย จนกว่าพวกเขาจะกลายเป็นต้นไม้เพียงต้นเดียวที่ยืนหยัดไม่ได้ แล้วอำนาจในเมืองหลวงก็จะต้องมีการแบ่งขั้วใหม่ มิใช่หรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มหวานมองอวี๋เฟยเหยียน ส่วนอวี๋เฟยเหยียนก็มองซ่างกวนซีด้วยความกังวลซ่างกวนซีลุกขึ้น หยุดยืนตรงหน้าเยี่ยนเว่ยฉือ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าเป็นใครกันแน่?”รอยยิ้มของเยี่ยนเว่ยฉือแข็งค้าง!นาง... นางแสดงความฉลาดมากเกินไปจนน่าหวาดระแวงหรือ?ซ่างกวนซีขมวดคิ้วกล่าว “บุตรีอนุที่ไม่เคยได้รับการศึกษามาตั้งแต่เด็ก เด็กสาวผู้โดดเดี่ยวที่เติบโตมา
ฮวาอวี๋หลบเลี่ยงคำถามของเยี่ยนเว่ยฉือ แล้วพูดต่อว่า “เรื่องเหล่านี้ แค่สืบถามเล็กน้อยก็รู้แล้ว ไม่ใช่ความลับอะไรเลย มารดาที่ให้กำเนิดซ่างกวนซีนั้นมาจากตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์ในเวลานั้นอีกด้วย ในสองแคว้นสี่นคร มีคำเล่าลือกันมาโดยตลอดว่า ผู้ใดได้ตบแต่งสตรีผู้นี้ไว้ในครอบครอง ผู้นั้นจะได้ครองแผ่นดิน”“ดังนั้น ฮ่องเต้คังอู่ถึงได้อภิเษกสมรสกับมารดาของซ่างกวนซีหรือ?” เยี่ยนเว่ยฉือซักถามฮวาอวี๋พยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะการอภิเษกสมรสของเหล่าองค์ชาย โดยปกติจะต้องเลือกผู้ที่สามารถสนับสนุนฐานะของตนเองได้ อย่างน้อยก็ต้องเหมาะสมคู่ควรกัน จะไปเลือกหญิงสาวกำพร้าที่ทั้งตระกูลถูกกวาดล้างมาตบแต่งได้อย่างไร?”ความจริงตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์ได้สูญสิ้นไปแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในเวลานั้น เหลือเพียงมารดาของซ่างกวนซีเท่านั้นที่มีสายเลือดของตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์และในปัจจุบัน ซ่างกวนซีก็เป็นสายเลือดตระกูลหมอศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดวงตาของเยี่ยนเว่ยฉือก็สว่างขึ้น “อ๋อ มิน่าแปลกใจ มิน่าแปลกใจเลยที่ซ่างกวนซีถูกตัดสิน