เขาอยากรู้ว่าฉินเซียงหรูดูผิดหรือไม่ คนคนนั้นใช่ท่านหญิงหมิงหยางจริงหรือเปล่าแต่ทันทีที่เย่เทียนซูลุกขึ้น ก็ถูกฉินเซียงหรูขวางทางไว้ฉินเซียงหรูส่ายหน้าเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้เขานั่งลงเย่เทียนซูขมวดคิ้วถาม “เป็นอะไร?”ฉินเซียงหรูจิบชาพลางพูดว่า “มุมตะวันออกเฉียงใต้ มุมตะวันตกเฉียงเหนือของชั้นสอง มุมตะวันตกเฉียงใต้ มุมตะวันออกเฉียงเหนือของชั้นสาม และมุมทั้งสี่ของชั้นสี่ ล้วนมีผู้มีฝีมืออยู่”ผู้มีฝีมือ?เย่เทียนซูและอวี๋เฟยเหยียนรีบเงยหน้าขึ้นมองฉินเซียงหรูรีบพูด “อย่าจ้องมองพวกเขา นั่งอยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่ง เจ้าไม่กินอะไร ไม่ฟังเพลงดูงิ้ว แต่กลับดูการวางกำลังของพวกเขา นี่เป็นการบอกพวกเขาอย่างชัดเจนว่าพวกเรามีจุดประสงค์แอบแฝง”เย่เทียนซูพยักหน้า “มีเหตุผล สถานเริงรมย์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เหตุใดถึงมีผู้มีฝีมือมากมายขนาดนี้ หอวสันต์อนันตกาลแห่งนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่”อวี๋เฟยเหยียนลดเสียงลง “จะเป็นเหมือนหอหงซิ่วของเจ้าหรือไม่ สถานเริงรมย์เป็นเพียงภาพลักษณ์ ภายนอก แต่จริง ๆ แล้วมีจุดประสงค์อื่น?”เย่เทียนซูบอกไม่ได้ ทำได้เพียงส่ายหน้าเล็กน้อย แสดงว่าเขาไม่รู้ฉินเซียงหรูวางถ้วยชาลง
เย่เทียนซูเลิกคิ้ว “เชื่อข้าเถอะ คนยิ่งทำเรื่องชั่วเท่าไหร่ ยิ่งกลัวตายเท่านั้น!”อวี๋เฟยเหยียนก็อยากรู้อย่างมาก จึงถือไม้ขีดไฟไปยังร้านขายของชำที่อยู่ไม่ไกลนักเมื่อเย่เทียนซูเห็นดังนั้น ก็รีบกลับไปที่หอหงซิ่วเพื่อหาคนเมื่อเย่เทียนซูพาคนออกมา ร้านขายของชำก็ควันโขมงพอดีเย่เทียนซูรีบพาคนตะโกน “หนีเร็ว ไฟไหม้แล้ว ร้านชำไฟไหม้ ทุกคนหนีเร็ว!”ร้านค้าตามถนนเหล่านี้มักจะอยู่ติดกันเมื่อร้านหนึ่งไฟไหม้ มักจะลามไปยังร้านข้างเคียงตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ร้านอื่น ๆ ปิดร้านพักผ่อนกันหมดแล้วมีเพียงหอวสันต์อนันตกาลที่คึกคักเป็นพิเศษเมื่อได้ยินคนตะโกนว่าไฟไหม้ ลูกค้าข้างในก็สูดจมูกดมกลิ่นโดยไม่รู้ตัวเป็นอย่างที่คิด พวกเขาได้กลิ่นควันไฟลอยมาทุกคนตกใจในทันที รีบวิ่งออกไปข้างนอกผู้จัดการร้านหลงหยางเมื่อได้ยินเสียงตะโกนก็กังวล รีบสั่ง “พวกเจ้าออกไปดูว่าเกิดไฟไหม้ที่ไหน แล้วไปช่วยดับไฟเสีย ที่เหลือขึ้นไปแจ้งให้ทุกคนออกไปหลบภัย!”ข้าวของไหม้เป็นเรื่องเล็กหากมีคนตาย นั่นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!หลงหยางยังแยกแยะเรื่องสำคัญออกลูกน้องของเขารีบทำตามคำสั่ง รีบขึ้นไปเคาะประตูในขณะเดียวก
ฉินเซียงหรูพยักหน้า “ไม่มีทางมองดูผิดแน่นอน ท่าทางของคนทั้งสอง...อืม...”“อืม? อืมหมายความว่าอะไร?” อวี๋เฟยเหยียนถามต่อเย่เทียนซูพูดแทรก “เจ้าโง่หรือ การกระทำของคนทั้งสองดูสนิทสนมกัน เห็นก็รู้ว่าคบชู้สู่ชาย ไร้ศีลธรรม ท่านหมอฉินเป็นคนดี จึงไม่อยากกล่าวให้กระดากปาก”“ใคร? ใครคบชู้สู่ชาย? ใครไม่มีศีลธรรม?” เยี่ยนเว่ยฉือวิ่งออกมาจากห้องโถงด้านหน้า มองทั้งสามคนอย่างสนใจ“เอ่อ...พี่สะใภ้ เหตุใดเจ้ายังไม่นอนอีก?” อวี๋เฟยเหยียนคิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือพักผ่อนแล้วก่อนที่เยี่ยนเว่ยฉือจะได้ตอบ ซ่างกวนซีก็เดินออกมาจากห้องโถงด้านหน้า “นางรู้ว่าพวกเจ้าไปที่หอวสันต์อนันตกาล เซ้าซี้ข้าไม่ยอมนอน ต้องรอพวกเจ้ากลับมาให้ได้!”เซ้าซี้?สายตาของทั้งสามคนมองไปมาระหว่างเยี่ยนเว่ยฉือและซ่างกวนซีจากนั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างครุ่นคิดบางอย่างเยี่ยนเว่ยฉือไม่มีอารมณ์ไปสนใจความคิดซุบซิบนินทาของพวกเขา นางอยากรู้คำตอบอย่างยิ่ง“พูดมาสิ พวกท่านไปเห็นใครมา?”ฉินเซียงหรูยิ้ม “เห็นท่านหญิงหมิงหยาง และลู่อู๋จากศาลาจิ่วโยว”เยี่ยนเว่ยฉือกะพริบตาอย่างตกตะลึง “พวกเขาสองคนไปทำอะไรที่หอวสันต์อนันตกาลกัน?”อวี
ในฐานะแพทย์นิติเวช เยี่ยนเว่ยฉือไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งนางจะถูกส่งไปผลิตทายาทใช่แล้ว ผลิตทายาท!นางต้องมีทายาททางสายเลือดคนสุดท้ายกับซ่างกวนซี องค์รัชทายาทผู้ถูกทอดทิ้งแห่งแคว้นจิ่วหลีที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนางเป็นแพทย์นิติเวชจากศตวรรษที่ยี่สิบเจ็ด ผู้ซึ่งเดินทางข้ามเวลามาเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนยังไม่ทันที่วิญญาณจะเข้ากันกับร่างกายได้ดี นางก็ได้สวมชุดแต่งงานแบบลวก ๆ และถูกส่งตัวเข้าคุกหลวง“เชิญทางนี้ องค์รัชทายาทกำลังรอเจ้าอยู่ข้างใน!” เสียงเหยียดหยามของขันทีดังเข้ามาในโสตประสาทของนางเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือมองไปยังห้องขังตรงหน้า พบว่าภายในคุกใหญ่โตนี้ มีเพียงเงาร่างสีขาวนอนขดตัวอยู่บนกองฟางแห้งเขาคือพระโอรสของอดีตฮองเฮา องค์รัชทายาทซ่างกวนซีผู้ไร้ค่าน่ะหรือ?ก่อนที่เยี่ยนเว่ยฉือจะได้ครุ่นคิดอย่างกระจ่างแจ้ง ทันใดนั้นก็มีแรงผลักมหาศาลจากด้านหลังผลักส่งนางเข้าไปในห้องขัง ก่อนจะมีเสียงดังตามมา!ปัง! แกร๊ง!ประตูห้องขังถูกลงกลอนจากด้านนอก ขันทีที่พานางมายืนอยู่ด้านนอกห้องขังพลางพูดว่า “เจ้ามีเวลาสองชั่วยาม เจ้าจะรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะมีทายาทกับฝ่าบาทสำเร็จหรือ
อะไรนะ...ที่ว่าเชี่ยวชาญเรื่องนี้ดีหมายความว่าอย่างไร?หรือสตรีนางนี้เป็นสตรีจากหอนางโลม? ซ่างกวนซีมองคนตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อถึงอย่างไร เยี่ยนเว่ยฉือก็เป็นคนรักษาสัจจะ นางจึงไปปลดผ้ารัดเอวของซ่างกวนซีแม้ใบหน้าของซ่างกวนซีจะถูกปกคลุมไปด้วยเส้นผมที่ยุ่งเหยิง ทว่าเขาก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมาเขาคว้าข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือสุดกำลัง และตะโกนด้วยความโกรธ “นางสารเลว อย่ามาแตะ…”ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค ซ่างกวนซีก็รู้สึกว่าตนขยับตัวไม่ได้แล้วขณะที่เขาหลุบตาลงมามอง ก็เห็นว่าในมือของเยี่ยนเว่ยฉือกำลังถือเข็มเงินเจาะร่างกายของเขา ซึ่งไม่รู้ว่านางทำเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่“เจ้ามาเพื่อสังหารข้ารึ?” ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนนี้ชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ว่าใครกันที่ทำเรื่องที่เกินความจำเป็น ส่งมือสังหารมาปลิดชีพเขาเช่นนี้เยี่ยนเว่ยฉือถอยห่างจากซ่างกวนซี ขณะที่ถอดเสื้อผ้าของเขาออก แล้วพูดว่า “ถึงฆ่าท่านไป ข้าก็คงไม่รอดอยู่ดี ตอนนี้ท่านคือความหวังสุดท้ายของข้า”ซ่างกวนซีกัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าไม่ใช่คุณหนูรองจวนติ้งหย่
เยี่ยนเว่ยฉือตื่นตระหนกในทันที!นางไม่รู้เลยว่าองค์รัชทายาทตกอับที่ป่วยและไร้ประโยชน์ผู้นี้จะมีพิษกู่อยู่ในร่างกาย“อย่า...อย่าทำเช่นนี้เลย มีเรื่องอะไรก็พูดกันดี ๆ เถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ช่วยท่านไว้นะ!”ซ่างกวนซีถอดเสื้อผ้าของเขาที่มีอยู่บนตัวชิ้นเดียว เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งแต่ไม่แน่นเกินไปแม้ตอนนี้ตามเนื้อตัวจะเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน แต่กลับเจือความเย้ายวนอันวิปริตที่อธิบายไม่ถูกเอาไว้ใบหน้าของเยี่ยนเว่ยฉือเปลี่ยนเป็นสีแดง และเริ่มเขินอายโดยไม่รู้ตัวซ่างกวนซีโน้มลงบีบคางของเยี่ยนเว่ยฉือเพื่อบังคับให้นางมองเขา แล้วพูดต่อ “ใช่ เจ้าช่วยข้าไว้ ดังนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าเช่นกัน ข้าทำให้เจ้ามีลูกได้อย่างแน่นอน”ทันทีที่เขาพูดจบ ซ่างกวนซีก็ยื่นมือไปหาเยี่ยนเว่ยฉือหากผ้าชิ้นนี้ถูกฉีกออก องค์รัชทายาทผู้ไร้ค่าก็จะตกอยู่ในห้วงเสน่หา... แม้กำลังจะตายเป็นผีแต่ก็คงยังอยากเสพกามารมณ์“ชั่วช้าสามานย์รึ? เหอะ ในเมื่อทุกคนต่างด่าทอข้าเช่นนี้ ไหน ๆ จะตายอยู่แล้วก็ขอทำเรื่องนั้นให้เป็นจริงเสียเลย! ทำให้นางตั้งครรภ์ ก็ถือว่าเป็นการช่วยชีวิตนางไปด้วย” เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซ่างกวนซีก็ไม่ล
เยี่ยนเว่ยฉือขมวดคิ้วมองเขา “กลยุทธ์ตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้งอย่างไรเล่า!”ซ่างกวนซีไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร?”เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ “ท่านคลายจุดชีพจรให้ข้าก่อน แล้วข้าจะอธิบายให้ฟัง”ขณะนี้ชะตาชีวิตของทั้งสองคนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ถือว่าคนทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างกัน ซ่างกวนซีจึงไม่กลัวว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะพูดโกหกหากเขาตาย นางก็ต้องถูกฝังตามเขาไปด้วยดังนั้นซ่างกวนซีจึงคลายจุดชีพจรของเยี่ยนเว่ยฉือทันทีทว่าเยี่ยนเว่ยฉือที่เพิ่งได้รับอิสรภาพ กลับใช้เข็มแทงเข้าที่ต้นขาของซ่างกวนซี อาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงได้ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ซ่างกวนซีมองนางอย่างเหลือเชื่อ พลางพูดอย่างยากลำบาก “จะ...เจ้าหลอกข้า เจ้าเป็นมือสังหารจริง ๆ!”เยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นนั่งและผลักซ่างกวนซีให้ล้มไปที่พื้นขณะที่สวมเสื้อผ้า นางก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้าจะฆ่าท่านกับผีน่ะสิ! ก็พูดอยู่ว่าจะใช้กลยุทธ์ตายแล้วเกิดใหม่ หากท่านไม่ตายแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? ในเมื่อร่างกายท่านมีพิษกู่เย็น ก็อย่าโทษข้าที่ลงมือหนักหน่อยแล้วกัน!”ซ่างกวนซีไม่ได้ยินประโยคหลังที่เยี่ยนเว่ยฉือพูด เพราะเขาได้เข้าสู่สภาวะเสม
“บังอาจ!” ฮองเฮาก้าวมาข้างหน้าพลางมองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยสายตาเย็นชา และตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรถึงมาตั้งคำถามกับการตัดสินใจของฝ่าบาท!”ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินลงโทษซ่างกวนซี และฝ่าบาทก็เป็นผู้ปลดซ่างกวนซีออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทด้วยการบอกว่าองค์รัชทายาทถูกใส่ความ จะไม่ถือเป็นการตั้งคำถามกับคำตัดสินของฝ่าบาทหรือ?ดูเผิน ๆ คำพูดของฮองเฮานั้นก็นับว่าไม่ผิดอะไรแต่เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่ามีคำว่า “น้ำท่วมปาก” ถูกเขียนบนพระพักตร์ของฮ่องเต้เอาไว้ด้วยสถานะปัจจุบันของนาง นางมีโอกาสน้อยมากที่จะได้พูด ดังนั้นนางจึงต้องบอกเรื่องสำคัญก่อนที่ฮองเฮาจะสั่งประหารนางเยี่ยนเว่ยฉือจึงตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเล “ฝ่าบาททรงพิจารณาเถิดเพคะ องค์รัชทายาททรงป่วยเป็นโรคนกเขาไม่ขัน หม่อมฉันขอทูลถามว่าคนที่นกเขาไม่ขันจะขืนใจสวีเหม่ยเหรินได้อย่างไร? องค์รัชทายาททรงถูกใส่ความเพคะ!”คำพูดเหล่านั้นเหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจทุกคนต่างอ้าปากค้างจากความตกใจ!“จะ...เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?” ฮองเฮามองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความตกใจเยี่ยนเว่ยฉือตอบอย่างจริงจัง “หม่อมฉันไม่ได้พูดเหลวไหลนะเพคะ ฝ่าบาททรงส่งหม่
ฉินเซียงหรูพยักหน้า “ไม่มีทางมองดูผิดแน่นอน ท่าทางของคนทั้งสอง...อืม...”“อืม? อืมหมายความว่าอะไร?” อวี๋เฟยเหยียนถามต่อเย่เทียนซูพูดแทรก “เจ้าโง่หรือ การกระทำของคนทั้งสองดูสนิทสนมกัน เห็นก็รู้ว่าคบชู้สู่ชาย ไร้ศีลธรรม ท่านหมอฉินเป็นคนดี จึงไม่อยากกล่าวให้กระดากปาก”“ใคร? ใครคบชู้สู่ชาย? ใครไม่มีศีลธรรม?” เยี่ยนเว่ยฉือวิ่งออกมาจากห้องโถงด้านหน้า มองทั้งสามคนอย่างสนใจ“เอ่อ...พี่สะใภ้ เหตุใดเจ้ายังไม่นอนอีก?” อวี๋เฟยเหยียนคิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือพักผ่อนแล้วก่อนที่เยี่ยนเว่ยฉือจะได้ตอบ ซ่างกวนซีก็เดินออกมาจากห้องโถงด้านหน้า “นางรู้ว่าพวกเจ้าไปที่หอวสันต์อนันตกาล เซ้าซี้ข้าไม่ยอมนอน ต้องรอพวกเจ้ากลับมาให้ได้!”เซ้าซี้?สายตาของทั้งสามคนมองไปมาระหว่างเยี่ยนเว่ยฉือและซ่างกวนซีจากนั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างครุ่นคิดบางอย่างเยี่ยนเว่ยฉือไม่มีอารมณ์ไปสนใจความคิดซุบซิบนินทาของพวกเขา นางอยากรู้คำตอบอย่างยิ่ง“พูดมาสิ พวกท่านไปเห็นใครมา?”ฉินเซียงหรูยิ้ม “เห็นท่านหญิงหมิงหยาง และลู่อู๋จากศาลาจิ่วโยว”เยี่ยนเว่ยฉือกะพริบตาอย่างตกตะลึง “พวกเขาสองคนไปทำอะไรที่หอวสันต์อนันตกาลกัน?”อวี
เย่เทียนซูเลิกคิ้ว “เชื่อข้าเถอะ คนยิ่งทำเรื่องชั่วเท่าไหร่ ยิ่งกลัวตายเท่านั้น!”อวี๋เฟยเหยียนก็อยากรู้อย่างมาก จึงถือไม้ขีดไฟไปยังร้านขายของชำที่อยู่ไม่ไกลนักเมื่อเย่เทียนซูเห็นดังนั้น ก็รีบกลับไปที่หอหงซิ่วเพื่อหาคนเมื่อเย่เทียนซูพาคนออกมา ร้านขายของชำก็ควันโขมงพอดีเย่เทียนซูรีบพาคนตะโกน “หนีเร็ว ไฟไหม้แล้ว ร้านชำไฟไหม้ ทุกคนหนีเร็ว!”ร้านค้าตามถนนเหล่านี้มักจะอยู่ติดกันเมื่อร้านหนึ่งไฟไหม้ มักจะลามไปยังร้านข้างเคียงตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ร้านอื่น ๆ ปิดร้านพักผ่อนกันหมดแล้วมีเพียงหอวสันต์อนันตกาลที่คึกคักเป็นพิเศษเมื่อได้ยินคนตะโกนว่าไฟไหม้ ลูกค้าข้างในก็สูดจมูกดมกลิ่นโดยไม่รู้ตัวเป็นอย่างที่คิด พวกเขาได้กลิ่นควันไฟลอยมาทุกคนตกใจในทันที รีบวิ่งออกไปข้างนอกผู้จัดการร้านหลงหยางเมื่อได้ยินเสียงตะโกนก็กังวล รีบสั่ง “พวกเจ้าออกไปดูว่าเกิดไฟไหม้ที่ไหน แล้วไปช่วยดับไฟเสีย ที่เหลือขึ้นไปแจ้งให้ทุกคนออกไปหลบภัย!”ข้าวของไหม้เป็นเรื่องเล็กหากมีคนตาย นั่นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!หลงหยางยังแยกแยะเรื่องสำคัญออกลูกน้องของเขารีบทำตามคำสั่ง รีบขึ้นไปเคาะประตูในขณะเดียวก
เขาอยากรู้ว่าฉินเซียงหรูดูผิดหรือไม่ คนคนนั้นใช่ท่านหญิงหมิงหยางจริงหรือเปล่าแต่ทันทีที่เย่เทียนซูลุกขึ้น ก็ถูกฉินเซียงหรูขวางทางไว้ฉินเซียงหรูส่ายหน้าเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้เขานั่งลงเย่เทียนซูขมวดคิ้วถาม “เป็นอะไร?”ฉินเซียงหรูจิบชาพลางพูดว่า “มุมตะวันออกเฉียงใต้ มุมตะวันตกเฉียงเหนือของชั้นสอง มุมตะวันตกเฉียงใต้ มุมตะวันออกเฉียงเหนือของชั้นสาม และมุมทั้งสี่ของชั้นสี่ ล้วนมีผู้มีฝีมืออยู่”ผู้มีฝีมือ?เย่เทียนซูและอวี๋เฟยเหยียนรีบเงยหน้าขึ้นมองฉินเซียงหรูรีบพูด “อย่าจ้องมองพวกเขา นั่งอยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่ง เจ้าไม่กินอะไร ไม่ฟังเพลงดูงิ้ว แต่กลับดูการวางกำลังของพวกเขา นี่เป็นการบอกพวกเขาอย่างชัดเจนว่าพวกเรามีจุดประสงค์แอบแฝง”เย่เทียนซูพยักหน้า “มีเหตุผล สถานเริงรมย์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เหตุใดถึงมีผู้มีฝีมือมากมายขนาดนี้ หอวสันต์อนันตกาลแห่งนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่”อวี๋เฟยเหยียนลดเสียงลง “จะเป็นเหมือนหอหงซิ่วของเจ้าหรือไม่ สถานเริงรมย์เป็นเพียงภาพลักษณ์ ภายนอก แต่จริง ๆ แล้วมีจุดประสงค์อื่น?”เย่เทียนซูบอกไม่ได้ ทำได้เพียงส่ายหน้าเล็กน้อย แสดงว่าเขาไม่รู้ฉินเซียงหรูวางถ้วยชาลง
อวี๋เฟยเหยียนเบิกตากว้าง ราวกับได้ยินเรื่องเหลือเชื่อเขาถามอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “แขก...แขกสตรี? เป็น...เป็นอย่างที่ข้าคิดใช่หรือไม่?”หลงหยางยิ้มเล็กน้อย ตอบอย่างใจเย็น “เป็นอย่างที่คุณชายคิด สุภาษิตว่า อาหารและกามารมณ์เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ฟ้าดินกลมกลืน หยินหยางประสานกัน เป็นธรรมดาสามัญของมนุษย์ ในเมื่อเป็นเรื่องปกติธรรมดา แน่นอนว่าทั้งแขกชายและแขกหญิงควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน”อวี๋เฟยเหยียนพูดอย่างตกใจ “แต่...แต่ที่นี่ไม่มีแขกสตรีนี่นา มองไปทางไหนก็มีแต่บุรุษทั้งนั้น”เย่เทียนซูขมวดคิ้ว “อย่าเอะอะไป แขกสตรีเข้าทางประตูหลัง”อวี๋เฟยเหยียนนึกขึ้นได้ จริงสิ แขกสตรีเข้าทางประตูหลังที่นี่เป็นสถานที่ที่...มหัศจรรย์จริง ๆอวี๋เฟยเหยียนถามอย่างใจจดใจจ่อ “แล้วชั้นสุดท้ายเล่า? ไอ้เจ้า ‘เบญจมาศ’ นั่นหมายความว่าอะไร?”หลงหยางยิ้ม ไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่พูดว่า “ทั้งสามท่านมาที่นี่ครั้งแรก ลองนั่งที่ห้องโถงชั้นหนึ่งก่อน ประเดี๋ยวจะมีคณะงิ้วที่ดีที่สุดในเมืองหลวงมาทำการแสดงที่นี่ขอรับ”ในขณะที่อวี๋เฟยเหยียนกำลังจะถามต่อ ฉินเซียงหรูก็จับแขนเขาไว้ พูดด้วยรอยยิ้ม “ก็ดี พวกเรานั่งตร
เยี่ยนเว่ยฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำกับตัวเองอย่างประหลาดใจ “เจ้านั่นหายไปตั้งหลายวัน พิษในร่างกายคงจะหมดสิ้นแล้วเป็นแน่ หรือเขาอาจรู้ว่าข้าไม่ได้วางยาเขา จึงหนีไป? ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าเขามีไหวพริบอยู่บ้าง แต่ยาของข้ามีช่วงระยะแรกและระยะท้าย ไม่รู้ว่าระยะท้ายจะเป็นอย่างไร?”เยี่ยนเว่ยฉือยกยิ้ม เริ่มนับวันถอยหลังแต่นางไม่รู้ลยว่าลู่อู๋ไม่ได้หนี ไม่เพียงแต่จะไม่หนี เขายังไม่คิดจะหนีไปไหนอีกด้วย……คืนนั้น หอวสันต์อนันตกาลอวี๋เฟยเหยียน เย่เทียนซู ฉินเซียงหรู ชายสามคนปรากฏตัวพร้อมกันที่หน้าประตูหอวสันต์อนันตกาลฉินเซียงหรูมองแสงไฟที่สว่างไสวภายในหอวสันต์อนันตกาล ได้ยินเสียงดนตรีที่ไพเราะดังออกมา อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ดูแล้ว ที่นี่เหมือนจะเป็นสถานที่ที่ดูดีมีระดับ”เย่เทียนซูยกยิ้ม “ท่านหมอฉิน ท่านเคยไปสถานที่อโคจรด้วยหรือ?”ฉินเซียงหรูชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างอึดอัด เขาไม่เคยไปจริง ๆเย่เทียนซูพูดต่อ “คนชั่วที่ยิ่งใหญ่ดูเหมือนคนซื่อสัตย์ คนเลวที่ยิ่งใหญ่ดูเหมือนคนดี สถานที่ที่หรูหราดูดี มักจะซ่อนสิ่งสกปรกไว้ ไปดูกันเถอะ”ทั้งสามคนแต่งกายดี เมื่อเดินเข้าไปในประตูหอวสัน
ซ่างกวนซีกำลังยุ่งกับการแต่งตัว จึงวิ่งทางตามออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงพูดว่า “ไปหาเฟยเหยียนและเทียนซู ให้พาเจ้าไปด้วยกัน!”มีศิษย์น้องสองคนนี้คอยคุ้มกัน ซ่างกวนซีถึงจะวางใจได้บ้างเยี่ยนเว่ยฉือไม่ปฏิเสธ รับคำแล้วรีบวิ่งออกจากเรือนซวงหานซ่างกวนซีแต่งตัวเสร็จเดินออกมา มองประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่ ส่ายหน้าอย่างจนใจเขาไม่อยากให้เยี่ยนเว่ยฉือไปเสี่ยงอันตรายแต่ฮวาอวี๋คนนั้นมีร่องรอยที่ลึกลับ เขากังวลว่าต่อให้คนของเขาถึงจะพลิกแผ่นดินหา ก็อาจจะหาฮวาอวี๋ไม่พบแต่ในเมื่อฮวาอวี๋เคยสนใจเยี่ยนเว่ยฉือครั้งหนึ่ง บางทีครั้งนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือปรากฏตัว อาจจะยอมออกมาพบก็เป็นได้ดังนั้นแทนที่จะให้เยี่ยนเว่ยฉือไปหาคน สู้ให้เยี่ยนเว่ยฉือเป็นเหยื่อล่อ ใช้ตกปลาที่ชื่อฮวาอวี๋ตัวนั้น……หลังจากที่เยี่ยนเว่ยฉือได้รับอนุญาตจากซ่างกวนซีแล้ว ก็วิ่งมาที่เรือนรับรองแขกอย่างมีความสุข เพื่อให้ฉินเซียงหรูให้แกะผ้าพันแผลออกให้ฉินเซียงหรูยังคงยุ่งอยู่กับสมุนไพรของเขา ราวกับว่าสมุนไพรเหล่านั้นเป็นของล้ำค่า ต้องตากแดดทุกวัน ต้องจับอย่างเบามือเมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือมา ฉินเซียงหรูมองไปข้างหลังนางเพื่อดูว่ามีซ่
เยี่ยนเว่ยฉือพูดติดตลก “ฝ่าบาทบอกว่าจะใช้ข้าเป็นหมอนข้าง ไฉนเพิ่งกอดได้สองวันก็ไม่กอดแล้ว? ในฐานะหมอนข้างที่ดี ข้าก็ต้องมีจิตสำนึกสิ นี่ไง อาบน้ำมาสะอาดเอี่ยมมาให้ท่านกอดแล้ว”ซ่างกวนซีสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง เด็กคนนี้นี่อย่างไร ไม่ตั้งใจก็ทำให้ใจคนสั่นไหวได้“มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ อย่าได้อ้อมค้อม!” ซ่างกวนซีเร่งเร้าอย่างเย็นชาเยี่ยนเว่ยฉือนั่งลงข้าง ๆ ซ่างกวนซี เข้าไปใกล้เขา ยิ้มหวาน “ฝ่าบาท ข้าอยากออกไปข้างนอก”“ไปไหน?” ซ่างกวนซีลุกขึ้นรินชา หลบเลี่ยงความใกล้ชิดของเยี่ยนเว่ยฉือกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวนาง ลอยกรุ่นเข้าไปในโพรงจมูกของเขาไม่หยุดกลิ่นสมุนไพรที่ควรจะทำให้จิตใจสงบ กลับกลายเป็นเหมือนยาปลุกอารมณ์ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นบุรุษในยามเช้าตรู่มักจะตื่นตัวเป็นพิเศษ เยี่ยนเว่ยฉือเลือกเวลาได้เหมาะเจาะจริง ๆเยี่ยนเว่ยฉือไม่ได้คิดอะไรมากถึงนางจะมีจิตวิญญาณของคนยุคปัจจุบัน แต่ในเรื่องชายหญิงยังถือว่าไม่ประสีประสา สำหรับเรื่องที่อ่อนประสบการณ์ นางจึงไม่ได้คิดรายละเอียดมากนักเมื่อเห็นซ่างกวนซีถาม เยี่ยนเว่ยฉือก็ไม่ปิดบัง ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าฝ่าบาท
หน้ากากสีทองบดบังใบหน้าของฝูกวง แน่นอนว่ามันบดบังสีหน้าของเขาด้วยมิฉะนั้นเยี่ยนเว่ยฉือคงได้เห็นความดูถูกและความไม่แยแสบนใบหน้าของฝูกวงแล้วฝูกวงพูดอย่างเย็นชา “ศาลาจิ่วโยวได้รับงานใหม่ บอกว่าจวนรัชทายาทกำลังหาคนชื่อฮวาอวี๋ ใช่หรือไม่?”เยี่ยนเว่ยฉือชะงักเล็กน้อย พูดอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “ซ่างกวนซีเขา...เขาช่วยข้าหาคนจริง ๆ หรือ?”ฝูกวงขมวดคิ้วมองเยี่ยนเว่ยฉือ เร่งเร้า “ข้าถามเจ้าอยู่ ใช่หรือไม่ใช่?”เยี่ยนเว่ยฉือได้สติ รีบพยักหน้า “อ่า ใช่ ใช่ ใช่ เป็นอย่างไร? เจ้าหาเจอแล้วหรือ?”ฝูกวงพูดตรง ๆ “หนึ่งพันตำลึง”มุมปากของเยี่ยนเว่ยฉือกระตุก “เจ้ามาไถเงินจริง ๆ ด้วย แต่ก็ยังดี เมื่อเทียบกับหนึ่งหมื่นตำลึงครั้งก่อน ถือว่าเจ้าไว้หน้าข้ามากแล้ว”ฝูกวงเสริม “หนึ่งพันตำลึง หนึ่งเบาะแส”เบาะแส?เยี่ยนเว่ยฉือกะพริบตาปริบ “สรุปว่าเจ้ายังหาคนไม่เจอ เพียงแค่ได้หนึ่งเบาะแส”ฝูกวงตอบอย่างเย็นชา “เจ้าจะไม่ซื้อก็ได้ เช่นนั้นข้าขอตัว!”ฝูกวงกำลังจะหันหลังเดินจากไปเยี่ยนเว่ยฉือเห็นดังนั้นจึงรีบพูด “เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! เจ้าคนนี้ เหตุใดไม่มีความอดทนเลย ใครซื้อของก็ต้องต่อราคาทั้งนั้น!”ฝูก
เนื่องจากมีคำสั่งของซ่างกวนซี ดังนั้น...หลังจากธูปหมดดอก เยี่ยนเว่ยฉือก็ถูกพันมือทั้งสองข้างจนเหมือนบ๊ะจ่าง ไม่มีผิวส่วนใดโผล่ออกมาเลยตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงการจับสิ่งของ แม้แต่ถ้วยชานางก็ยังยกไม่ได้เยี่ยนเว่ยฉือยกมือทั้งสองข้างที่พันไว้เหมือนบ๊ะจ่าง โบกไปมาตรงหน้าซ่างกวนซี “ฝ่าบาท ท่านคงไม่ได้แกล้งข้าอยู่กระมัง?!”ซ่างกวนซีเหลือบมองนาง “ข้าไม่มีเวลาว่างถึงเพียงนั้นหรอก!”พูดจบ ซ่างกวนซีก็หันหลังเดินจากไป พร้อมกับกำชับอย่างไม่พอใจ “ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะหายดี เจ้าห้ามออกไปไหน เรื่องเถาเหลยกงก็ไม่ต้องสนใจ!”เมื่อพูดจบ ซ่างกวนซีก็หายตัวไปในเรือนหลังเยี่ยนเว่ยฉือหันไปมองอวี๋เฟยเหยียน “ฝ่าบาท… ดูเหมือนจะไม่พอใจบางอย่าง?”อวี๋เฟยเหยียนเกาศีรษะ “ตอนทานมื้อกลางวันยังดี ๆ อยู่เลย ออกไปเจอเรื่องอะไรมา?”“ฝ่าบาทออกไปทำอะไรหรือ?” เยี่ยนเว่ยฉือถามต่ออวี๋เฟยเหยียนส่ายหน้า เขาเองก็ไม่รู้ ซ่างกวนซีไม่ได้บอกอะไรทั้งสองคนไม่เข้าใจ จึงหันไปมองฉินเซียงหรูฉินเซียงหรูลูบจมูก ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “ใจคนเป็นองค์รัชทายาทยากจะหยั่งถึง ข้าเองก็ไม่เข้าใจ” เขาไม่ใช่ไม่เข้าใจ แค่พูดไม่ได้เท่านั้นซ