รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางทำให้ซ่างกวนซีหันมามอง “หัวเราะอะไร?”เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ข้ากำลังคิดว่าเหตุใดนางจึงได้ชื่อว่าท่านหญิงอิ๋นตั้ง? นางยังไม่ได้ออกเรือนไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงอิ๋นตั้ง? อีกทั้งอิ๋นตั้งก็ไม่ใช่คำเรียกที่ดี[footnoteRef:0]!” [0: อิ๋นตั้ง แปลว่าตัณหา ออกเสียงคล้ายกับอิ๋นตาง ] ซ่างกวนซีเอามือกุมขมับอย่างจนใจ“ไม่ใช่อิ๋นตั้ง แต่เป็นอิ๋นตาง! ‘ปิ่นปักดวงใจ ต่างหูประดับดาว’ อิ๋นตางหมายถึงต่างหูเงิน เปรียบเสมือนขั้นตอนสุดท้ายที่แต่งแต้มความงามของสตรี นี่เป็นชื่อพระราชทานจากเสด็จพ่อ เพื่อสรรเสริญหานอวี่เฟยว่าเป็นวีรสตรี เป็นบุคคลที่โดดเด่น! เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล!”ซ่างกวนซียกมือเคาะหน้าผากของเยี่ยนเว่ยฉือ“โอ๊ย! ฝ่าบาท... ไม่รู้ก็ยังถูกตีหรือ?” เยี่ยนเว่ยฉือลูบหน้าผาก รู้สึกอายอยู่บ้างซ่างกวนซีมองนางด้วยหางตา “ไม่รู้ไม่ถูกตี แต่พูดจาเหลวไหลจึงต้องถูกตี เเจ้าลองดูสิว่าขุนนางทั้งราชสำนักนี่มีสักกี่คนที่อยากจะจับผิดจวนรัชทายาท แต่หาเรื่องไม่ได้ เจ้ายังจะส่งพวกเขาไปจ่อหน้าประตูจวนอีกหรือ?”“โอ้… ทราบแล้ว!” เยี่ยนเว่ยฉือแม้จะปากไม่มีหูรูด แต่ก็เชื่อฟัง ยอมรับผิดท
ซ่างกวนซีและอวี๋เฟยเหยียนหันไปมองซ่างกวนจิ่นพร้อมกัน พบว่าเครื่องแต่งกายของเขาไม่เหมาะสมกับฤดูกาลนี้จริง ๆซ่างกวนซีขมวดคิ้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าชีวิตของเขาในเมืองหลวงจะไม่ราบรื่นนัก คงถูกเจ้ารองและเจ้าสี่รังแกแน่”อวี๋เฟยเหยียนกล่าวด้วยความรู้สึกสะท้อนใจว่า “โชคดีที่ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาญาณส่งศิษย์พี่ใหญ่ไปประจำการที่เขตเฟิงหลิง มิฉะนั้น บัดนี้ศิษย์พี่ใหญ่คงต้องใช้ชีวิตเยี่ยงองค์ชายสาม ทั้งหวาดหวั่นและขัดสน”ซ่างกวนซีหัวเราะอย่างขมขื่นว่า “หากข้าไม่จากไป คงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้หรอก แล้วจะถูกใครังแกได้อย่างไร”ถ้อยคำนี้ทำให้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยเยี่ยนเว่ยฉือกัดขนมในมืออย่างแรงราวกับว่ากัดเนื้อซ่างกวนหลีได้ขณะที่ทั้งสามกำลังพูดถึงซ่างกวนหลี ซ่างกวนหลีก็เดินเข้ามาพร้อมกับซ่างกวนเจวี๋ยและข้างกายซ่างกวนหลีก็มีเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดย่างสิบสองปีอยู่ด้วยเยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความสงสัยว่า “เด็กหญิงคนนั้นเป็นใคร”อวี๋เฟยเหยียนรีบกล่าวว่า “นั่นคือองค์หญิงเหวินหลิง พระธิดาของฮองเฮา เจ้าต้องอยู่ห่าง ๆ นางไว้นะ”เยี่ยนเว่ยฉือกะพริบตาถามว่า “เหตุใดหรือ?”อวี๋เฟยเหยียนบ่
“เจ้าพูดอะไรบ้า ๆ องค์รัชทายาทเขา...” อวี๋เฟยเหยียนกำลังจะพูดเพื่อแก้ต่างให้ซ่างกวนซี แต่ถูกเยี่ยนเว่ยฉือจับแขนไว้เยี่ยนเว่ยฉือแทรกขึ้นว่า “องค์ชายรอง มีคำกล่าวว่าต้นไม้เล็กต้องตัด เด็กต้องได้รับการอบรม องค์หญิงเหวินหลิงเห็นหม่อมฉัน หนึ่งไม่คำนับ สองไม่ทักทาย แม้แต่คำว่าพี่สะใภ้ก็ไม่เรียก องค์รัชทายาทตำหนินางสักสองคำมีอะไรไม่ควรหรือ? หากอยู่ในบ้าน จะทำอะไรน่าอายก็ช่าง วันนี้มีคณะทูตจากต่างแคว้นมาเยือน นางยังไม่รู้จักมารยาท เหมือนไม่ได้รับการอบรม ใช้ความหยาบช้าเป็นข้ออ้างว่าไร้เดียงสา นี่ไม่ใช่การทำให้แคว้นเราเสียหน้าหรอกหรือ?”พูดจบ เยี่ยนเว่ยฉือหันไปมององค์หญิงเหวินหลิง กล่าวเสียงเย็นว่า “องค์หญิงของบ้างเมืองเราควรมีความรอบคอบ รู้จักการถ่อมตน เข้าใจมารยาท เคารพผู้ใหญ่ ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเอง เย่อหยิ่ง พูดจาหยาบคายประหนึ่งผู้ไร้การศึกษาเช่นนี้!”องค์หญิงเหวินหลิงไม่เคยถูกใครด่าแบบนี้มาก่อน ถึงกับอึ้งไปเลย!เพราะนางยังเด็ก จึงไม่อาจระงับอารมณ์ไว้ได้!“เจ้า! เจ้าด่าใคร เจ้าด่าใครว่าไร้การศึกษา ใครก็ได้ ใครก็ได้ ตบปากนางให้ข้า!”เยี่ยนเว่ยฉือหัวเราะ หันไปมองผู้คนรอบข้างว่า “ทุกคนเห็นแ
การกระทำเช่นนี้ ทำให้ทุกคนตะลึงงันในทันทีแม้แต่อวี๋เฟยเหยียนผู้มักทำตามอำเภอใจก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างเขาเข้าไปใกล้ซ่างกวนซี พึมพำว่า “เอ่อ... นี่ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?”ซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย เป็นเชิงบอกให้เขาอย่ายุ่งซ่างกวนหลีเอื้อมมือไปพยุงน้องสาวของตนขึ้นซ่างกวนเจวี๋ยที่อยู่ไม่ไกลก็วิ่งมาดูซ่างกวนเจวี๋ยขมวดคิ้ว “เยี่ยนเว่ยฉือ เจ้าทำเกินไปแล้ว นางเป็นเพียงเด็ก เจ้าจะถือสาหาความกับนางด้วยเหตุใด?”เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวเสียงเย็นชา “เคารพผู้ใหญ่ถนอมเด็ก คำว่าเคารพอยู่ข้างหน้า นางไม่ได้เคารพองค์รัชทายาทและหม่อมฉันแม้แต่น้อย หม่อมฉันสั่งสอนนางบ้าง ไม่ใช่การถือสาหาความ แต่เป็นการสั่งสอน!”กล่าวจบ เยี่ยนเว่ยฉือมองไปยังองค์หญิงเหวินหลิงที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร กล่าวต่อ “เอาล่ะ ขอโทษองค์รัชทายาทเสีย แล้วเรื่องวันนี้จะจบลงเพียงเท่านี้!”“อะไรกัน? ยังต้องขอโทษอีกหรือ?” ซ่างกวนหลีทำสีหน้าเหลือเชื่อ“ไม่เช่นนั้นเล่า ใส่ร้ายป้ายสี ว่าร้ายพี่ชาย ไม่ต้องขอโทษหรือ?”“แต่เจ้าก็ตีนางแล้วนี่!” ซ่างกวนหลีไม่ยอมเยี่ยนเว่ยฉือผายมือออก “หม่อมฉันตีนางก็เพื่อให้นางขอโทษอย่างไรเล่า!”ก
ต่อมาไม่ลืมที่จะสั่งนางกำนัลข้างกายว่า “ไปเร็ว เปลี่ยนโต๊ะอาหารนี้ให้ข้า”นางกำนัลไม่กล้าขัดคำสั่งพระชายาองค์รัชทายาท รีบเปลี่ยนภาชนะและเครื่องใช้บนโต๊ะของเยี่ยนเว่ยฉือและซ่างกวนซีเป็นชุดใหม่ทุกคนจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉือ เห็นว่านางไม่ก้าวร้าวอีกแล้ว นั่งลงอย่างสงบ ต่างคิดว่าเรื่องนี้คงจบลงด้วยดีแต่ขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องวุ่นวายนี้จะจบลงแล้ว องค์หญิงเหวินหลิงก็ร้องออกมาว่า “กรี๊ด! คัน คันจัง!”ทุกคนหันไปมอง เห็นว่าใบหน้าขององค์หญิงเหวินหลิงมีผื่นแดงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อนางเกา ผื่นแดงก็กลายเป็นตุ่มแดง ๆ ราวกับถูกยุงกัดเต็มใบหน้า“เกิดอะไรขึ้น? เหวินหลิง เหวินหลิง? เป็นอะไรไป?” ซ่างกวนหลีดูวิตกกังวลมากองค์หญิงเหวินหลิงใช้มือเกาหน้า เพียงไม่กี่ครั้ง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยแดง บางแห่งถึงกับถลอกซ่างกวนหลีเห็นดังนั้นจึงรีบกล่าวว่า “ห้ามเกา ห้ามเกาเด็ดขาด จะเสียโฉมนะ ไปเถอะ ไปตามหมอหลวงมา เร็วเข้า”ขณะที่กำลังตามหมอหลวง ซ่างกวนซี อวี๋เฟยเหยียนและฉินเซียงหรู ต่างหันไปมองเยี่ยนเว่ยฉือแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับสงบนิ่ง จิบชาอย่างใจเย็น“อืม... ชาหอมจัง หอมจริง ๆ! ฝ่าบาท ไม่ลองชิมดูบ้างหรือ?”
เริ่มตรวจสอบจากฝ่ายในงั้นหรือ?ฮองเฮาดูแลกิจการทั้งปวงในพระราชวังหลังงานเลี้ยงรับเสด็จก็ย่อมต้องเป็นฮองเฮาที่จัดเตรียม หากเริ่มตรวจสอบจากฝ่ายใน ก็เท่ากับเริ่มตรวจสอบจากฮองเฮามิใช่หรือ?เยี่ยนเว่ยฉือเอียงกายเล็กน้อย มองข้ามร่างของซ่างกวนหลีไปยังองค์หญิงเหวินหลิงที่ยังคงเกาใบหน้าไม่หยุดอยู่ด้านหลังเขานางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงมีบุญหนักหนา เพิ่งจะติเตียนว่าองค์รัชทายาทของเรางดงามล่มเมืองได้ไม่ทันไร สวรรค์ก็หาทางประทานใบหน้าอัปลักษณ์ให้นาง เพื่อมิให้ต้องถูกความงามฉุดรั้ง หากวันหน้ายังมีผู้ใดชื่นชอบนาง ผู้นั้นก็คงต้องหลงใหลในจิตวิญญาณอันน่าสนใจของนางเป็นแน่ นางก็ไม่ต้องหวาดหวั่นว่าผู้อื่นจะครหาเรื่องใช้โฉมงามล่อลวงใครอีกต่อไป”เยี่ยนเว่ยฉือไม่ไม่กล่าวเช่นนั้นก็แล้วไป แต่นางยิ่งกล่าว ซ่างกวนหลีก็ยิ่งมั่นใจว่านางเป็นผู้ลงมือกระทำในขณะนั้นเอง หมอหลวงตู้จากสำนักหมอหลวงก็มาถึงหมอหลวงตู้รีบเข้าไปตรวจชีพจรแก่องค์หญิงเหวินหลิง แต่เมื่อตรวจไปได้ครู่หนึ่ง คิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นซ่างกวนหลีถามอย่างร้อนใจ “ตกลงเป็นอย่างไรกันแน่ ถูกพิษหรือไม่ ท่านรีบว่ามา!”“ถูก...ถูกพิษหรื
เยี่ยนเว่ยฉือยกยิ้มเยาะ “ถูกแล้ว ๆ คนผู้นั้นก็เพียงกล่าววาจาเท็จ เช่นเดียวกับที่องค์หญิงเหวินหลิงเพิ่งตรัสออกมา ทุกท่านโปรดอย่าได้เชื่อถือ!”อวี๋เฟยเหยียนเม้มริมฝีปากแอบหัวเราะ กระซิบเสียงเบา “ศิษย์พี่ใหญ่ วิชาหนามยอกเอาหนามบ่งของพี่สะใภ้ ใช่ได้เชี่ยวชาญยิ่งนัก”ซ่างกวนซีก็รู้สึกว่าเยี่ยนเว่ยฉือมีปฏิภาณไหวพริบที่ว่องไวยิ่งนักส่วนฉินเซียงหรูที่อยู่ด้านข้าง กลับใคร่รู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือได้กระทำสิ่งใดแก่องค์หญิงเหวินหลิงกันแน่เหตุใดหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงจึงไม่อาจมองเห็นสิ่งผิดปกติ?เป็นเพราะวิชาแพทย์ของหมอหลวงผู้นั้นไม่สูงส่งเพียงพอหรือ?เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ หากวิชาแพทย์ไม่สูงส่ง แล้วจะมาเป็นหมอหลวงได้อย่างไรดังนั้น ใช่ว่าวิชาแพทย์ของหมอหลวงไม่สูงส่ง แต่เป็นเพราะวิชาพิษของเยี่ยนเว่ยฉือเหนือชั้นเกินไปหมอหลวงตู้ร้อนรนจนเหงื่อโทรมกาย เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้คังอู่กำลังจะเสด็จพร้อมด้วยเหล่าสนมมาเข้าร่วมงานเลี้ยง เขานึกขึ้นได้จึงกล่าวว่า “หรือว่า จะนำตัวไปที่สำนักหมอหลวงก่อนดีพ่ะย่ะค่ะ?”“นำไปสำนักหมอหลวงด้วยเหตุใด เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ? รีบส่งองค์หญิงกลับวังหลังเร็วเข้า!” อ๋องจ่างซิ่นที่
การทะเลาะเบาะแว้งของสองพ่อลูกนั้นส่งเสียงดังอยู่บ้าง ทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบในทันทีเยี่ยนเว่ยฉือมองดูพวกเขาทั้งสองด้วยความสงสัย จากนั้นจึงถามว่า “ฝ่าบาท ดูเหมือนอ๋องจ่างซิ่นจะเกรงกลัวบุตรสาวของตนเองนะ?”ซ่างกวนซีตอบว่า “มิใช่เกรงกลัว แต่หวงแหน อ๋องจ่างซิ่นอายุเกินครึ่งศตวรรษแล้ว มีทั้งภรรยาและอนุภรรยามากมาย แต่กลับมีบุตรสาวเพียงคนเดียว เขาย่อมรักประดุจดวงใจ”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า “เป็นเช่นนี้นี่เอง รูปโฉมของท่านหญิงอิ่นตางนั้นดูซื่อๆ แต่แววตาของนางกลับดูหยาบคายยิ่งนัก เอาแต่จ้องมองท่านอยู่ร่ำไป หึ! เหมือนสุนัขป่าที่เห็นซาลาเปาเนื้อ”ซ่างกวนซีจนปัญญา “พูดจาเหลวไหล ข้าจะเป็นซาลาเปาได้อย่างไร?”เยี่ยนเว่ยฉือโผเข้ากอดแขนของซ่างกวนซี พลางยิ้มหวาน “ฝ่าบาทมิใช่ซาลาเปา แต่คือดวงใจของข้า ผู้ใดบังอาจหมายปององค์รัชทายาทของข้า ข้าจะควักลูกนัยน์ตาผู้นั้นเสีย!”ฝ่าบาท…ของ…ข้า?ซ่างกวนซีเม้มริมฝีปาก ในใจรู้สึกยินดีอยู่บ้าง แต่ภายนอกกลับแสร้งทำเป็นสงวนท่าที“พอแล้ว อย่าได้พูดจาเหลวไหล!” ซ่างกวนซีดึงแขนของตนเองกลับ ยกมือขึ้นลูบผมของเยี่ยนเว่ยฉือเบา ๆท่าทางที่แสดงความเอ็นดูนั้นทำให้
อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นมองไปที่ซ่างกวนหลี ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “ของขวัญชิ้นที่สองและชิ้นที่สามมีความเกี่ยวข้องกัน”“โอ้? ข้าอยากฟังรายละเอียด!” ซ่างกวนหลีก็ยิ้มอย่างสดใสคนดูรอบข้างมองออกว่าเป้าหมายของอวี้ฉืออวิ๋นจิ่น ส่วนใหญ่แล้วคือซ่างกวนหลีมิฉะนั้นคงไม่ยิ้มเอาใจเช่นนี้แต่ซ่างกวนหลีจะแต่งงานกับอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นหรือไม่นั้นก็บอกไม่ได้อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นตบมือ นางกำนัลชาวเป่ยอิ้นสองคนเดินเข้ามานางเปิดผ้าแดงทางซ้ายมือก่อน ทุกคนยื่นคอดู พบว่าถาดนั้นว่างเปล่าฮ่องเต้คังอู่บนที่สูงขมวดพระขนงด้วยความสงสัยฮองเฮาก็เอ่ยถาม “นี่…คือสิ่งใด? หรือว่าของขวัญคือถาดนี้?”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นถอนหายใจกล่าว “ขอทูลตามตรง สมบัติล้ำค่าชิ้นที่สองนี้คือสมบัติประจำชาติเป่ยอิ้นของเรา คัมภีร์ลับสวรรค์ไร้อักษร!”“อะไรนะ? คัมภีร์ลับสวรรค์ไร้อักษร?!” อันกั๋วกงตื่นเต้นจนเกือบจะลุกขึ้นยืนเห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้คังอู่ก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาถามว่า “คือคัมภีร์ที่สามารถหยั่งรู้อดีตและอนาคตได้ใช่หรือไม่?”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”“แล้วหนังสือเล่มนั้นอยู่ที่ใด?” อ๋องจ่างซิ่นก็ถามอย่างใจ
เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มเล็กน้อย “มีความสามารถหรือไม่มี ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะมองอย่างไร ในสายตาข้า คนมีความสามารถย่อมใจกว้างอ่อนน้อม ฉลาดอย่างลึกซึ้งไม่โอ้อวด รู้โลกแต่ไม่ฉ้อฉล มีเสน่ห์แต่ไม่ต่ำช้า ส่วนคนไร้ความสามารถ…ทำได้เพียงแค่โกรธเกรี้ยว! โกรธเกรี้ยวเยี่ยงคนไร้ความสามารถ!”โกรธเกรี้ยวอย่างคนไร้ความสามารถ นี่ไม่ได้หมายถึงหานอวี่เฟยและอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นที่อยู่ตรงหน้าหรอกหรือ?“เจ้า บังอาจนัก!” หานอวี่เฟยโกรธจนหน้าแดงคอแดงท่าทีที่ฉุนเฉียวนั้นยิ่งเหมือนอ๋องจ่างซิ่นเข้าไปทุกที“ใครกันแน่ที่บังอาจ?” ซ่างกวนซีกล่าวเบา ๆ ประโยคเดียวกลับหยุดยั้งเสียงคำรามของหานอวี่เฟยได้ทันทีเขากล่าวต่อ “ต่อหน้าคณะทูต ทำเสียงดังโวยวาย ดูเหมือนว่าท่านหญิงอิ๋นตางจะมีความสามารถในการแก้หมากกระดานนี้ เช่นนั้นเชิญเจ้าลองดูเถิด อย่าให้ผู้อื่นมองข้ามความสามารถของเจ้าไป!”เยี่ยนเว่ยฉือเลิกคิ้ว “ใช่แล้ว หากเจ้าเก่งเจ้าก็เล่นเองสิ!”หานอวี่เฟยไม่มีไหวพริบ จึงทนการยั่วยุเช่นนี้ไม่ได้ นางออดอ้อนซ่างกวนซีทันที “เสด็จพี่องค์รัชทายาท ท่านก็รู้แต่จะช่วยนาง ลองก็ลอง ข้าไม่กลัวหรอก!”โอ๊ย ๆ ๆ…เมื่อเห็นหญิงอ้วนน้ำหนักสองร้อ
ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือเติบโตมาในเล้าหมู!อย่าว่าแต่เล่นหมากเลย เยี่ยนเว่ยฉือสามารถเขียนชื่อตัวเองได้หรือไม่นับว่ายังยากที่จะบอกให้แก้หมาก นั่นไม่ใช่การจงใจดูถูกนางหรอกหรือ?อวี๋เฟยเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้ว “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าจะให้ฝ่าบาททรงแก้หมากนี่นา เหตุใดยามนี้จึงหันเหมาสนใจพระชายาองค์รัชทายาทเล่า? หรือว่าจงใจหาเรื่อง?”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นยิ้ม “เหตุใดรัฐทายาทอวี๋ต้องตื่นเต้นเช่นนี้ด้วย ที่จริงเสด็จพ่อเคยตรัสไว้ ไม่ว่าผู้ใดจะแก้หมาก ขอเพียงแต่เป็นชาวต้าหลี่ หากสามารถแก้หมากกระดานนี้ได้ก็ถือว่าเป็นฝีมือของฮ่องเต้แห่งต้าหลี่ เราก็ยินดีจะมอบหมากหยกเย็นและหยกอุ่นให้ด้วยความเต็มใจ”ขอเพียงแต่เป็นชาวต้าหลี่ก็พอหรือ?ทั้งต้าหลี่มีประชากรมากมาย อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นกล้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าหมากกระดานนี้คงแก้ยากยิ่งอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นมองไปยังเยี่ยนเว่ยฉือ ก่อนกล่าวต่อ “เป็นอย่างไร พระชายา จะลองดูหรือไม่? ท่าน…คงไม่กลัวหรอกกระมัง?”เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก “ข้าไม่ได้กลัว!”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นหัวเราะเยาะ “เช่นนั้นก็เชิญ!”เยี่ยนเว่ยฉือแบมือ “แต่ข้าเล่นไม่เป็น!”เล่นไม่เป็น?เมื่อได้ยินเช่น
เยี่ยนเว่ยฉือแบมือกล่าว “องค์หญิงห้าตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หม่อมฉันอยู่ในที่ของหม่อมฉัน ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน มันฆ่าตัวตายเอง เกี่ยวอะไรกับหม่อมฉัน?”ใช่แล้ว ทุกคนเห็นว่าเป็นปลาตัวนั้นกระโดดออกมาเอง เกี่ยวอะไรกับเยี่ยนเว่ยฉือ?ซ่างกวนซีสะบัดแขนเสื้อ กล่าวอย่างเฉยเมย “ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีวาสนาได้รับความหวังดีจากท่านทั้งสอง”เมื่อซ่างกวนซีกล่าวจบ ก็กลับไปยังที่นั่งของตน สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆฮ่องเต้คังอู่บนที่สูงกลับทรงผิดหวัง ตรัสถามอย่างอดไม่ได้ “นี่…เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ น่าเสียดายจริง ๆ ไม่ทราบว่าปลาที่ตายแล้วยังมีประโยชน์หรือไม่?”สองพี่น้องชาวเป่ยอิ้นสบตากัน อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ที่จริงแล้ว มัจฉาทองคำจิ่วหยางต้องรับประทานเข้าไป เพียงแต่หากองค์รัชทายาทไม่ได้ป่วยด้วยพิษกู่เย็น หากรับประทานเข้าไปโดยพลการ เกรงว่าจะทำร้ายตนเอง”กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต้องทดลองก่อนจึงจะตัดสินใจได้ว่าจะใช้ได้หรือไม่ เมื่อไม่ได้ทดลอง ตอนนี้ปลาตายแล้ว ก็ไม่สามารถรับประทานโดยพลการได้ฮ่องเต้คังอู่ถอนหายใจ ทอดพระเนตรพระโอรสด้วยความสงสารซ่างกวนซีสงบนิ่งเช่นเคย แย้มพระสรวลให้พระบิดาเล
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซ่างกวนซีก็เอ่ยปากทันที “เสด็จพ่อ กระหม่อม…”“องค์รัชทายาท สิ่งที่ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้ว รีบสัมผัสเถิด อย่าให้ฝ่าบาททรงกังวลไปเลย” เยี่ยนเว่ยฉือจับมือของซ่างกวนซีแล้วลูบเบา ๆทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน การกระทำที่ใกล้ชิดเช่นนี้จึงดูไม่แปลกแต่ซ่างกวนซีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเยี่ยนเว่ยฉือทาบางสิ่งบางอย่างลงบนมือของเขาเขาหันไปมองเยี่ยนเว่ยฉือ ใช้สายตาเอ่ยถามเยี่ยนเว่ยฉือกลับยิ้มตาหยี กล่าวต่อไป “ไปเถอะ ไปเถอะ หม่อมฉันก็อยากจะเห็นปลาที่เก่งกาจตัวนี้เช่นกัน”เมื่อซ่างกวนซีเห็นท่าทีที่มั่นใจของเยี่ยนเว่ยฉือ ก็รู้ว่าการที่เขาไปสัมผัสปลาคงไม่มีปัญหาอะไรจึงลุกขึ้นกล่าวว่า “เสด็จพ่อ กระหม่อมจะไปทดลองดูพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้คังอู่พยักหน้า สายตาจับจ้องไปที่ซ่างกวนซีคนอื่น ๆ ก็จับจ้องไปที่ซ่างกวนซีเช่นกันอวี๋เฟยเหยียนกำหมัดแน่นทั้งสองข้าง ฝ่ามือมีเหงื่อออกซ่างกวนซีมาถึงข้างอ่างปลา พบว่าน้ำในอ่างมีไอน้ำระอุขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอุณหภูมิน้ำค่อนข้างอุ่นเมื่อมองดูปลาในอ่าง จึงพบว่ามันตัวใหญ่มาก อย่างน้อยก็สองฉื่อเข้าไปแล้วปลาทั้งตัวเป็นสีทอง เกล็ดเป็นประกายดูสวยงา
อย่างไรก็ตาม เมื่อฮ่องเต้คังอู่ได้ยินเช่นนั้นกลับยินดีปรีดาอย่างยิ่งทุกคนรู้ดีว่าพระโอรสที่เขารักมากที่สุดคือองค์รัชทายาทซ่างกวนซีและพิษของซ่างกวนซีเป็นความกังวลใจของเขามาโดยตลอดฮ่องเต้คังอู่เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “เจ้าพูดจริงหรือ? ปลาตัวนี้สามารถสลายพิษกู่เย็นในร่างของชูจิ่งได้?”เมื่อเห็นท่าทีของฮ่องเต้คังอู่เช่นนี้ สองพี่น้องชาวเป่ยอิ้นก็สบตากัน ทั้งสองรู้สถานการณ์ของซ่างกวนซีในใจแล้วดูเหมือนว่าพิษในกายซ่างกวนซียังไม่หายดี ฮ่องเต้จึงตื่นเต้นและดีใจเช่นนี้แต่เพื่อความไม่ประมาท ยังคงต้องทดสอบดูก่อนอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นกล่าวต่อ “ทูลฝ่าบาท มัจฉาทองคำจิ่วหยางสามารถสลายพิษกู่เย็นได้จริง แต่จะช่วยองค์รัชทายาทได้หรือไม่ ต้องให้องค์รัชทายาททดลองดูก่อน”“จะทดลองอย่างไร?” ฮ่องเต้คังอู่ทรงตรัสถามอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นมองไปยังซ่างกวนซี กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ง่ายมาก ขอเชิญองค์รัชทายาทมาสัมผัสปลาตัวนี้ มัจฉาทองคำจิ่วหยางสามารถดูดซับพิษกู่เย็นได้ หากมันสามารถดูดซับพิษกู่เย็นในร่างกายของเขาได้ เมื่อเขาสัมผัสมัน มันก็จะดูดพิษกู่เย็นออกมา ทำให้น้ำในอ่างค่อย ๆ กลายเป็นน้ำแข็ง นี่แสดงให้
แม้แต่ม้าเร็วที่เดินทางได้แปดร้อยลี้และกระทั่งพิราบสื่อสาร ก็ยังไม่อาจเทียบความเร็วกับนกฮูกหิมะเหล่านี้ได้เลย!ทุกคนจ้องมองไข่นกคู่นั้นตาเป็นประกาย โดยเฉพาะอ๋องจ่างซิ่นที่อยู่ในสนามรบมาครึ่งชีวิต ยิ่งรู้ถึงประโยชน์ของนกฮูกหิมะเหล่านี้เขาหันไปมองฮ่องเต้คังอู่ กล่าวว่า “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมเลี้ยงดูนกฮูกหิมะคู่นี้ให้ฝ่าบาทได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”อันกั๋วกงไม่สนใจนก แต่เขาไม่อยากให้อ๋องจ่างซิ่นได้หน้าไปคนเดียวจึงหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ท่านคงไม่ได้ยินสิ่งที่องค์หญิงห้ากล่าว ใครเลี้ยงดู พวกมันก็จะเชื่อฟังคนนั้น นกฮูกหิมะเหล่านี้มอบให้ฝ่าบาท แน่นอนว่าฝ่าบาทต้องทรงเลี้ยงดูด้วยพระองค์เองจึงจะเหมาะสม”อ๋องจ่างซิ่นเหลือบมองอันกั๋วกง ไม่ได้กล่าวอะไรอีกเห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้คังอู่ก็ไม่คิดจะมอบนกฮูกหิมะให้แก่อ๋องจ่างซิ่น จึงมองไปยังอวี้ฉืออวิ๋นจิ่น เอ่ยถามต่อไป “ฮ่องเต้แห่งเป่ยอิ้นช่างมีน้ำใจ ของที่มีชีวิตชิ้นที่สามคือสิ่งใด?”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นเดินไปยังวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ที่อยู่กลางท้องพระโรงสิ่งนั้นเพิ่งถูกยกเข้ามา วางอยู่บนพื้น มีขนาดใหญ่ เนื่องจากมีผ้าแดงคลุมอยู่ ทุกคนจึงมองไม่ออกว่าข้างในคืออ
ซ่างกวนซียกมือเคาะหน้าผากของเยี่ยนเว่ยฉือ “พูดจาไม่ระวังปาก!”เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก ยกมือลูบผมที่หน้าผาก ไม่พูดอะไรอีกทุกคนจึงกลับมาสนใจสิ่งที่อยู่บนท้องพระโรงอีกครั้งฮ่องเต้คังอู่เห็นว่าบรรยากาศไม่สู้ดีนัก จึงเหลือบมองฮองเฮาที่อยู่ข้างกายฮองเฮาเข้าใจในทันที รีบตรัสว่า “เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจตัดสินได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ในเมื่อองค์ชายสามและองค์หญิงห้าจะประทับอยู่ที่นี่ เราลองค่อย ๆ ปรึกษากันอก็ได้ วันนี้เชิญเข้าที่พักก่อน เราได้จัดเตรียมอาหารเลิศรสของต้าหลี่ไว้ เพื่อให้ท่านทั้งสองได้ลิ้มลองขนบธรรมเนียมประเพณีของต้าหลี่”ไม่ได้ปฏิเสธ และไม่ได้รับปาก เป็นการประนีประนอมที่ชาญฉลาดอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวดูเหมือนจะคาดการณ์ไว้แล้ว จึงไม่ได้โกรธเคือง เพียงแต่กล่าวตามที่ฮองเฮาตรัส “สิ่งที่ฮองเฮาตรัสถูกต้องที่สุด เรื่องนี้ยังสามารถปรึกษากันได้ ก่อนเข้าที่พัก กระหม่อมยังได้นำของกำนัลที่เสด็ตพ่อมอบให้แก่ต้าหลี่มาด้วย มีชื่อว่า ‘สามชาติสามภพ’ ขอฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดรับไว้”ของกำนัล?แถมยังชื่อ ‘สามชาติสามภพ’ อีก?เป็นสิ่งใดกัน?ทุกคนต่างก็สงสัยฮ่องเต้คังอู่กล่าว “ฮ่องเต้แห่งแ
อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นผู้นี้เป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากพระสนมที่มีฐานะไม่สูงนักการส่งนางมาอภิเษกกับซ่างกวนหลีที่เกิดจากฮองเฮา ถือเป็นการยกย่องนางแล้วการส่งนางมาแต่งงานกับองค์ชายองค์อื่นที่เกิดจากพระสนม ก็ไม่มีผู้ใดติเตียนได้เช่นกันแต่อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวผู้นี้คือโอรสองค์รองของฮองเฮาแห่งเป่ยอิ้น เป็นองค์ชายที่เกิดจากฮองเฮาโดยตรงกล่าวอีกนัยหนึ่ง อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวย่อมต้องการแต่งงานกับองค์หญิงที่เกิดจากฮองเฮาของต้าหลี่โดยตรงเช่นกันหรือ?แม้ว่าฮองเฮาองค์ก่อนจะมีโอรสและธิดาอย่างละองค์ โอรสคือซ่างกวนซี แต่ธิดาซ่างกวนฉิงหายสาบสูญไปในเหตุการณ์อันน่าเศร้าเมื่อหลายปีก่อน บัดนี้คงกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้วและธิดาของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน มีเพียงซ่างกวนเหวินหลิงเพียงคนเดียวหรือว่า อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวหมายปองซ่างกวนเหวินหลิง?แต่จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?ซ่างกวนเหวินหลิงเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดปีเท่านั้น!จะไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ได้อย่างไร?ฮองเฮากังวลขึ้นมาในทันที รีบกล่าวว่า “องค์ชายสามกล่าวเกินไปแล้ว การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นเรื่องใหญ่ของทั้งสองแคว้น การเชื่อมสัมพันธ์เพียงครั้งเดียว แต่จัดงานมงคลสองครั้ง